พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 23 มิถุนายน 2567
มีวัยรุ่นคนหนึ่งชื่อ ทิกเกอร์ เป็นคนไทย ตอนนี้ก็เรียนอยู่ชั้น ม.6 ทุกปีช่วงปิดเทอมใหญ่เขาจะไปเป็นจิตอาสา ปิดเทอมนี้วัยรุ่นส่วนใหญ่ก็นึกถึงแต่การไปเที่ยว หาที่เที่ยว แต่ทิกเกอร์นี้เขาหาที่ที่จะไปเป็นจิตอาสา ก่อนหน้านี้ก็ไปเป็นจิตอาสาที่โรงพยาบาลรามา ไปเป็นจิตอาสาที่ศูนย์อนามัยใกล้บ้าน และบางครั้งก็ไปเป็นจิตอาสาของโรงเรียน เช่น ทาสี หรือว่าทำความสะอาด
บางครั้งก็ไปเป็นจิตอาสาแถวสวนลุมพินี ไปเป็นไกด์รันเนอร์ ไกด์รันเนอร์ คือคนที่ไปเดินเคียงข้างผู้พิการทางสายตาหรือตาบอด คนตาบอดเขาอยากจะเดินอยากจะวิ่ง แต่ว่าตาเขาไม่ค่อยดีถ้ามีคนช่วยเดินหรือวิ่งประกบ ก็ทำให้เขาวิ่งหรือเดินได้ถูกทาง
กิจกรรมบางอย่างเขาก็ทำกับครอบครัวคือพ่อแม่ บางช่วงพ่อแม่ก็ชวนเขาไปวิ่งมินิมาราธอน ไปกันทั้งครอบครัวเลย เป็นการใช้ช่วงเวลาที่ปิดเทอมนี้อย่างมีประโยชน์มาก แทนที่จะไปเที่ยวสนุกสนานก็ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ แทนที่จะไปหาที่เสพ หาสิ่งเสพแปลก ๆ ใหม่ ๆ ตามประสาวัยรุ่น เขาก็หาโอกาสที่จะทำความดี
ล่าสุดหน้าร้อนที่ผ่านมา เขาก็ไปเป็นจิตอาสาที่โรงพยาบาลสงฆ์ โรงพยาบาลสงฆ์ตอนนี้มีโครงการรับจิตอาสา ทำอะไร อำนวยความสะดวกให้กับผู้ป่วย ผู้ป่วยก็คือพระสงฆ์ หลายท่านก็ไม่คุ้นกับระบบของโรงพยาบาล แต่ถ้ามีจิตอาสามาช่วยอำนวยความสะดวก ก็จะช่วยทำให้ท่านรับการพยาบาลได้ดีขึ้น ก็นับว่าน่าสนใจเพราะว่าตอนนี้หลายโรงพยาบาลขาดจิตอาสา จิตอาสาที่จะไปอำนวยความสะดวกกับผู้ป่วยและญาติ ตอนนี้มูลนิธิเครือข่ายพุทธิกาก็ไปทำโครงการจิตอาสาให้กับโรงพยาบาลหลายโรงพยาบาล เช่น สถาบันประสาทวิทยา สถาบันมะเร็ง โรงพยาบาลราชวิถี
ทิกเกอร์กำลังหาที่จะทำประโยชน์ ก็มาเจอโครงการนี้ ของโรงพยาบาลสงฆ์ แล้วก็เลยไปเป็นจิตอาสาช่วงปิดเทอม เขาบอกว่าเขาได้เรียนรู้อะไรมากเลย เพราะว่าพระสงฆ์ซึ่งเป็นผู้ป่วยท่านจะไม่ค่อยแสดงอาการเท่าไหร่ เพราะว่าเป็นพระก็ต้องสำรวม บางครั้งปวดก็ไม่ได้แสดงอาการปวด มีปัญหาก็ไม่ได้เรียกร้อง เขาก็ได้มีโอกาสฝึกสังเกต ฝึกสังเกตกิริยาท่าทาง หรือภาษาร่างกายว่า พระสงฆ์ที่มาโรงพยาบาลสงฆ์นี้ท่านต้องการอะไร มีปัญหาอะไรก็เข้าหาเลย ไม่ต้องไปรอให้ท่านเอ่ยปาก
ทิกเกอร์ได้เรียนรู้จากการเป็นจิตอาสา เขาเล่าว่าเคยมีครั้งหนึ่งดูบอลดึก บอลมันเลิกดึกมาก กว่าจะเลิกก็ตี 3 ตี 4 อย่างตอนนี้ฟุตบอลบางคู่จะเลิกก็ตี 5 ดูบอลเพลินก็เลยนอนไม่พอ นอนได้แค่ชั่วโมง 2 ชั่วโมง แล้วไปเป็นจิตอาสาตามหน้าที่ แต่ตอนนั้นไม่ได้เป็นจิตอาสาที่โรงพยาบาลสงฆ์ เป็นจิตอาสาที่โรงพยาบาลอื่น ปรากฏว่า นอนไม่พอก็เลยเกิดความผิดพลาดขึ้นมา เขาเสียใจมาก ทีแรกคิดว่าจะถอนตัวแล้วเพราะว่าลงโทษตัวเองที่ทำผิดพลาด แต่ตอนหลังก็ได้กำลังใจจากพี่ ๆ ที่เป็นจิตอาสาด้วยกัน ทำให้ทำงานต่อและก็ได้ข้อคิดว่า ถ้าเราจะทำงานจิตอาสาให้ได้ดี เราต้องรู้จักควบคุมตัวเอง รู้จักยับยั้งชั่งใจ อย่าทำตามใจอยาก
แต่ก่อนนี้เป็นวัยรุ่นก็ใช้ชีวิตตามสบาย อยากนอนดึกก็นอนดึก อยากดูบอลจนเช้าก็ทำ แต่พอเป็นจิตอาสาแล้วขืนทำเช่นนั้นก็จะเกิดผลเสียกับผู้ป่วย กับหน่วยงาน กับโรงพยาบาล ก็เลยรู้จักควบคุมตัวเองให้นอนเป็นเวลา ตื่นเป็นเวลา ปรากฏว่าผลดีก็เกิดขึ้นกับตัวเอง ความคิดที่อยากจะไปช่วยผู้อื่น ไม่อยากให้ผู้อื่นเดือดร้อนจากการกระทำของตัวเอง หรือจากการผิดพลาดของตัวเองนี้ มันทำให้เขารู้จักมีวินัยในการใช้ชีวิต รู้จักควบคุมอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นความอยาก ก็กลายเป็นว่าได้ประโยชน์จากการเป็นจิตอาสา นึกถึงผู้อื่น อยากจะช่วยผู้อื่นก็เลยต้องดูแลตัวเองให้ดี
มีหลายคนพบว่าการเป็นจิตอาสาแล้ว ตัวเองได้ประโยชน์เต็ม ๆ เลย เช่น บางคนอารมณ์ร้อน แต่พอไปใช้อารมณ์นั้นกับเด็กที่ตัวเองเป็นพี่เลี้ยง ก็รู้ว่าไม่ถูกต้อง เด็กเขาบอบบาง เด็กเขาต้องการความอดทน ความรัก เจ้าตัวก็ต้องอดทน ควบคุมอารมณ์ของตัวเอง พูดจาก็พูดจาดี ๆ อ่อนโยน ไม่กระโชกกระชากโฮกฮากเหมือนกับที่เคยทำกับลูกน้อง ปรากฏว่านิสัยเปลี่ยนไป ลูกน้องเขายังทักเลยว่า เดี๋ยวนี้เจ้านายเปลี่ยนไปเลย เดี๋ยวนี้อารมณ์ดี พูดจานุ่มนวล เขาก็เลยรู้ตัวว่าเป็นเพราะเด็กสอน เป็นเพราะการนึกถึงเด็ก ก็เลยทำให้ต้องรู้จักควบคุมตัวเอง ควบคุมอารมณ์ฉุนเฉียวของตัวเอง แล้วคนที่ได้ประโยชน์นี้ไม่ใช่แค่เด็กอย่างเดียวแต่คือตัวเองด้วย
จิตอาสาหลายคนอย่างทิกเก้อร์นี้ก็พบว่า ไปช่วยคนอื่นแล้วตัวเองได้ประโยชน์ นิสัยดีขึ้น อดทนอดกลั้น มีวินัยในการใช้ชีวิตมากขึ้น และที่เขาไม่คาดคิดว่าจะได้คือได้รับความสุข เขาบอกว่าการที่เราไปเป็นจิตอาสานี้ก็คือ การที่เราให้พลังบวกแก่ผู้อื่นเพื่อให้เขามีความสุข แต่สุดท้ายความสุขก็กลับมาสู่เรา เราก็มีความสุขไปด้วยที่ได้ช่วยคนอื่นให้เขาผ่านพ้นอุปสรรคปัญหาต่าง ๆ
ที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งคือ พ่อแม่ของทิกเกอร์ ตั้งแต่เด็กแล้วเมื่อถึงเวลาปิดเทอม ครอบครัวนี้ก็ให้เวลากับลูก พาลูกไปออกค่าย พาลูกไปวิ่งมินิมาราธอน แม้ลูกนี้จะโตเป็นวัยรุ่นแล้วก็ยังให้เวลากับลูก แทนที่จะปล่อยให้ลูกใช้ชีวิตตามอิสระ ซึ่งส่วนใหญ่ก็ไปหมกอยู่กับโทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต ก็กลับให้เวลากับลูก ทำกิจกรรมร่วมกัน ไปวิ่งด้วยกันมินิมาราธอนนี่ก็ไม่ใช่ว่าง่าย หรือชวนไปเป็นไกด์รันเนอร์ เป็นจิตอาสาให้กับผู้พิการทางสายตาที่สวนลุมก็ตาม
อันนี้ก็ถือว่าพ่อแม่นี้เป็นแบบอย่างที่ดี ให้เวลากับลูก ชวนลูกไปเป็นจิตอาสา ตอนหลังลูกก็เลยกลายเป็นคนที่ขวนขวาย ปิดเทอมแล้วไม่ได้คิดจะไปเที่ยวที่ไหน หรือจะไปหาที่เสพที่ไหน เที่ยวห้าง ดูคอนเสิร์ต แต่ว่าจะไปเป็นจิตอาสา เรียกว่ากลายเป็นผู้ใฝ่ธรรมมากกว่าใฝ่เสพ ซึ่งผลดีก็จะเกิดขึ้นกับลูกเองถ้ามีพ่อแม่พี่ให้เวลากับลูกแบบนี้.