พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 21 มิถุนายน 2567
เด็กชายคนหนึ่งอายุ 10 ขวบเดินเข้าไปในร้านขายของก็ตรงไปที่ตู้โทรศัพท์ แต่เนื่องจากหูโทรศัพท์นี่อยู่สูง สูงกว่าตัวเด็ก เด็กก็เลยต้องเอาลังน้ำอัดลมมาวางไว้แล้วยืนบนลังนั้น กดโทรศัพท์ พอปลายทางรับสาย เด็กก็พูดขึ้นมาว่า “คุณผู้หญิงครับ ของานตัดหญ้าให้ผมทำด้วยครับ”
ปลายสายก็บอกว่าตอนนี้ฉันมีคนตัดหญ้าอยู่แล้ว เด็กชายตอบ “ผมคิดราคาแค่ครึ่งเดียวของคนที่ตัดหญ้าให้คุณผู้หญิงอยู่ตอนนี้” แต่ปลายสายก็บอก “ฉันพอใจแล้วกับคนที่ตัดหญ้าให้ฉันอยู่ตอนนี้” เด็กชายก็ยังไม่ลดละความพยายาม บอกว่า “ผมจะทำความสะอาดขอบถนน แล้วก็ฟุตบาทหน้าบ้านของคุณผู้หญิงด้วยนะครับ” ปลายทางบอก “ไม่ล่ะนะ ฉันก็ไม่ต้องการคนตัดหญ้าคนใหม่แล้วล่ะ” แล้วก็วางหูไป เด็กชายก็วางหูพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า
เจ้าของร้านได้ยินการสนทนาก็เลยพูดกับเด็กชายคนนี้ว่า “ผมชื่นชมความตั้งใจของหนูนะ เดี๋ยวจะหางานให้หนูทำ” เด็กชายบอก “ผมไม่ต้องการงานทำครับ”
“อ้าว ก็เมื่อตะกี้เธอของานทำจากคุณผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่เหรอ” เด็กชายตอบว่า “เปล่าครับ ผมก็แค่ต้องการตรวจสอบผลงานของผม ตอนนี้ผมตัดหญ้าให้กับบ้านของผู้หญิงคนที่เพิ่งคุยเมื่อสักครู่นี้เองครับ”
เด็กคนนี้อายุไม่มากแต่ว่าน่าชื่นชมมาก ข้อแรกคือ แค่อายุ 10 ขวบ แต่ว่ารู้จักหางานแทนที่จะแบมือขอเงินพ่อขอเงินแม่ แต่กลับขวนขวายหาเงินด้วยการไปรับจ้างตัดหญ้าให้กับบ้านคนอื่น แบบนี้เด็กไทยไม่ค่อยมี ยิ่งพ่อแม่รวยเท่าไหร่ก็ไม่เห็นความจำเป็นที่จะไปหางานทำ แต่เด็กฝรั่งนี่เขารู้จักหางาน รู้จักหาเงินตั้งแต่เล็ก แม้จะเป็นงานตัดหญ้าก็ไม่ได้เป็นงานที่น่ารังเกียจ
แล้วเด็กคนนี้ไม่เพียงแต่ว่ารู้จักหางานทำนะ ยังมีความตั้งใจทำงานให้ดีด้วย ไม่ใช่สักแต่ว่าทำ สักแต่ว่าได้ค่าจ้างแต่อยากจะทำให้ดี ให้นายจ้างพอใจ แล้วทำยังไงถึงจะรู้ว่าทำได้ดี ก็ต้องสอบถามนายจ้าง แต่จะสอบถามนายจ้างยังไงถึงจะได้ความจริง
เด็กคนนี้ฉลาด แล้วไม่ใช่แค่ขยันอย่างเดียว ไม่ใช่แค่รู้จักพึ่งตัวอย่างเดียว ขยันแล้วก็ฉลาด รู้ว่าวิธีที่จะได้รับคำตอบที่ถูกต้องแท้จริงจากนายจ้างก็คือ แกล้งโทรไปหาผู้หญิงคนนี้ด้วยการปลอมตัวว่าเป็นคนอื่น พร้อมทั้งเสนอเงื่อนไขแบบลดแลกแจกแถมเลย ลดครึ่งราคา แล้วก็แถมทำความสะอาดฟุตบาทหน้าบ้าน ทำความสะอาดขอบถนน ขนาดลดแลกแจกแถมแล้ว นายจ้างก็ยังไม่สนใจ เพราะอะไร ก็เพราะว่าพอใจกับผลงานของเด็กที่ทำอยู่แล้วตอนนี้ ก็คือตัวเด็กคนนี้นั่นเอง
เด็กคนนี้ฉลาดนอกจากตั้งใจทำงานให้ดีแล้ว ก็ยังรู้จักตรวจสอบคุณภาพของงานที่ตัวเองทำอยู่ เพราะอะไร เพราะอยากทำให้ดีแล้วก็อยากจะรู้ว่า มีอะไรที่ต้องปรับปรุงแก้ไขไหม หรือว่าทำได้ดีพอ เป็นที่พอใจของเจ้านายหรือผู้ว่าจ้างหรือเปล่า แล้วก็ใช้วิธีนี้แกล้งไปเสนอเงื่อนไขลดแลกแจกแถม ปรากฏว่าเจ้านายนี่พอใจผลงานที่มีอยู่แล้ว เด็กก็เลยยิ้ม
ถ้าดูดีๆ สิ่งที่เด็กทำ สอดคล้องกับธรรมะที่เรารู้จักกันดี อิทธิบาท 4 อิทธิบาท 4 นี่เราจำได้ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา แต่ว่าจำนวนมากไม่เข้าใจ ยิ่งเอามาใช้กับการทำงานด้วยแล้วก็ยิ่งน้อยเข้าไปใหญ่ แต่เด็กคนนี้เชื่อเลยว่าเขาเป็นคนที่มีฉันทะ
คนที่เวลาทำอะไรต้องทำให้ดี ไม่สักแต่ว่าขอไปที คนที่ทำอะไรแล้วอยากทำให้มันดีนั้นต้องมีฉันทะ ความชอบความรักในงาน รู้จักภูมิใจในงานที่ตัวเองทำ แม้จะเป็นงานตัดหญ้า คนถ้าไม่มีฉันทะมีความสนใจจะทำให้ดี สนใจแต่ว่าจะได้ค่าจ้างเท่าไหร่ แต่เด็กคนนี้แกไม่ได้สนใจค่าจ้าง แกสนใจว่าทำดีมากหรือน้อย แล้วเมื่อลงมือทำก็อยากทำให้ดี อันนี้คือฉันทะ
แล้วก็คงจะมีความขยันด้วยวิริยะ แล้วก็จดจ่อกับการทำงาน นายจ้างจึงพอใจ เพราะว่าถ้าหากว่าไม่มีวิริยะ ไม่มีจิตตะ ไม่มีความเพียร ไม่มีความใส่ใจ เจ้านายคงจะอยากจะได้คนใหม่มาทำงานแทน
พอมีจิตตะ มีวิริยะแล้ว วิมังสานี้หลายคนก็รู้คืออะไร แต่ว่าไม่เข้าใจ วิมังสาคือการรู้จักตรวจสอบใคร่ครวญว่าที่ทำ ดีแค่ไหน มีอะไรที่ต้องปรับปรุงแก้ไขบ้าง ส่วนหนึ่งก็ต้องอาศัยการใคร่ครวญด้วยตัวเอง เด็กคนนี้ก็คงทำแหละ แต่คิดว่ามันไม่พอ ต้องประเมินหรือสอบถามความเห็นของนายจ้างด้วย
เป็นเพราะมีความใฝ่รู้ และอยากทำให้ดี ก็เลยหาทางไปหลอกถาม พูดง่ายๆ หลอกถามความเห็นของเจ้านายด้วยการปลอมตัวเป็นผู้เสนองาน เสนอตัวว่าจะลดแลกแจกแถม แล้วคำตอบที่นายจ้างตอบ แสดงว่า เด็กชายคนนี้ทำได้ดีแล้ว เจ้านายพอใจแล้ว ก็ถือว่าสมประโยชน์ของการใช้วิมังสา
อิทธิบาท 4 ไม่ใช่เป็นเรื่องยาก ไม่ใช่เรื่องนามธรรม ขนาดเด็ก 10 ขวบนี่ก็ทำได้ ชี้ให้เห็นว่า หากว่าเราเข้าใจแล้วการนำมาใช้ในการทำงานก็ไม่ใช่เรื่องยาก มันเป็นรูปธรรม เรื่องของเด็กคนนี้เป็นรูปธรรมของอิทธิบาท 4 ซึ่งน่าจะนำมาปฏิบัติกันมากๆ เอามาสอนเด็กก็ได้ แล้วทำให้เห็นว่าอิทธิบาท 4 มีความสำคัญยังไง แล้วมีตัวอย่างรูปธรรมอย่างไรบ้าง.