พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2567
ช่วงนี้เริ่มเข้าหน้าร้อนแล้ว เมื่อถึงหน้าร้อนไม่ใช่แค่แดดร้อนอย่างเดียว แถววัดป่าสุคะโตหรือบนหลังเขา สิ่งที่ต้องเจอก็คือไฟ ไฟป่า ซึ่งก็ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะที่นี่ที่เดียว เกิดขึ้นทั่วประเทศทั่วโลก ไฟป่าที่นี่หรือว่าที่ไหนก็ตามในเมืองไทย แทบจะร้อยทั้ง ร้อยเกิดจากฝีมือมนุษย์ อาจจะตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจ
ไม่ตั้งใจคือ จุดไฟเผาไร่ แล้วไม่สนใจที่จะดับให้สนิท หรือว่าพยายามดับแต่ว่าลมเปลี่ยนทิศ ลมแรง ก็ลามเข้ามาในเขตป่า ส่วนที่ตั้งใจก็มี อย่างพวกที่จะตีผึ้ง เขาจุดไฟเพื่อใช้ควันไล่ผึ้ง แต่ว่าไฟป่าบางครั้งอาจจะไม่ได้เกิดจากฝีมือมนุษย์ก็ได้ พบว่ามันมีสัตว์ชนิดหนึ่งที่เป็นตัวการในการจุดไฟป่า หรือว่าทำให้ไฟป่าลุกลามคือ เหยี่ยว
มีเหยี่ยวชนิดหนึ่ง เขาจะรู้จักคว้าเอากิ่งไม้ที่ติดไฟ อาจจะเกิดจากไฟที่ไหม้ตามธรรมชาติ แล้วมีกิ่งไม้ที่ถูกไฟเผา เหยี่ยวชนิดนี้จะเลือกเอากิ่งที่ยังมีไฟติดอยู่แต่ไม่แรงนัก แล้วบินไปเลือกหาตำแหน่งที่จะจุดไฟ ด้วยการปล่อยกิ่งไม้ลงไปในพงหญ้าแห้ง พงหญ้าแห้งพอมันเจอไฟเข้า แม้จะเป็นเปลวไฟเล็กๆ จากกิ่งไม้ มันก็ไหม้
เหยี่ยวทำอย่างนั้นทำไม ก็เพื่อจะให้ไฟไล่สัตว์ที่ซุกซ่อนอยู่ในพงหญ้าหรือบริเวณนั้นให้หนีออกมา ธรรมชาติสัตว์พอเจอไฟ มันก็หนีอยู่แล้ว สัตว์เล็กสัตว์น้อย กระต่าย กระรอก กบ พวกนี้เจอไฟก็หนีเลย ออกมายังที่โล่งแจ้ง
เหยี่ยวรออยู่แล้ว บินอยู่ข้างบนฟ้า ตามันคมมาก คมกว่ามนุษย์เรา 10 เท่าหรือว่าหลายสิบเท่าทีเดียว ถึง ถึงแม้จะบินสูง ควันไปไม่ถึง มันเห็นได้ พอมีกระรอก มีกระต่าย หรือมีลูกสัตว์เล็กๆ ลูกจิ้งจอก ลูกหมูป่า มันก็บินโฉบลงมาเลย
มันเป็นวิธีการหาอาหารที่ฉลาดมาก ใช้ไฟไล่สัตว์ ถามว่ามันรู้มาจากไหน คงไม่มีใครสอนมัน แต่อาศัยการเรียนรู้จากมนุษย์ เพราะมนุษย์เราใช้ไฟล่าสัตว์เหมือนกัน อย่างพรานที่อยากจะจับหมูป่า รู้ว่าหมูป่ามันซ่อนอยู่ในพงหญ้าที่หนาๆ ทำยังไง ก็จุดไฟเผาพงหญ้าเลย หมูป่าก็วิ่งออกมา พรานรออยู่แล้วก็ยิง สงสัยมันจะเรียนรู้จากมนุษย์ เห็นมนุษย์จุดไฟเผาป่าแล้วมีสัตว์มันหนีออกมามากมายทั้งสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ เหยี่ยวเห็น มันก็เรียนรู้วิธีนี้จากมนุษย์แล้วทำบ้าง
สัตว์มันฉลาด มันเรียนจากคนได้ นับประสาอะไรคนซึ่งถือว่าฉลาดก็ควรจะเรียนจากสัตว์ได้เหมือนกัน เรามีหลายอย่างที่เราสามารถจะเรียนจากสัตว์ได้ รวมทั้งคุณธรรมด้วย ไม่ใช่เฉพาะวิถีการหาเหยื่อ ที่กำแพงเพชรมีหมาอยู่ตัวหนึ่งนอนเฝ้าอยู่ที่หน้าร้านอาหาร มันนอนมันนั่งเฝ้าเป็นวันๆ เลย เจ้าของร้านเห็นก็เลยปลอบหมาตัวนี้ว่า “วันนี้เขาไม่มาหรอก วันหลังค่อยมาเฝ้าละกัน เพราะเขาอาจจะมาก็ได้”
เขาคือใคร เขาคือคนที่เคยช่วยหมาตัวนี้ หมาตัวนี้มันอยู่ในซอยมีเจ้าของ แต่ว่าวันหนึ่งมันป่วย ป่วยมากเลย ก็มีผู้ชายคนหนึ่งเช่าบ้านอยู่แถวนั้น ใกล้ๆ ร้านอาหาร ก็พาหมาตัวนี้ไปรักษาที่โรงพยาบาล จนหาย มันกลับมาที่บ้านเดิม มันก็สำนึกบุญคุณของคนที่ช่วยเขาเอาไว้
แต่ก่อนชายคนนี้มากินที่ร้านอาหารนี้เป็นประจำ เพราะว่าพักอยู่แถวนั้น มันเห็นมันก็ดีใจ มันก็รอที่หน้าร้านจนกระทั่งชายคนนั้นกินข้าวเสร็จออกจากร้าน มันเข้ามานัวเนียด้วย แล้วก็ดีใจที่ชายคนนั้นลูบหัวมัน แล้วต่างคนต่างก็แยกย้ายไป รุ่งขึ้นก็มารอเจอชายคนนี้ใหม่ที่ร้านอาหาร ทำอย่างนี้เป็นประจำ
แต่ว่าหลังๆ ต่อมา ชายคนนี้เขาย้ายบ้านไปอยู่ที่อื่นไม่ไกล แต่นานๆ จะมาร้านอาหารที มาร้านนี้ทีไรหมาตัวนี้ก็ดีใจ รอให้ลูบหัวแล้วก็มารอทุกวัน แต่นานๆ จะได้เจอชายคนสักนี้ทีแต่ก็ไม่ลดละความพยายาม ทุกวันก็มารอเจอชายคนนี้ เพราะว่ารู้สึกสำนึกบุญคุณผูกพันที่ชายคนนี้ช่วยชีวิตเขาเอาไว้
แต่ว่าระยะหลังมารอเก้อ รอเป็นวันก็ไม่เห็นชายคนนี้ ก็หงอยเลย จนเจ้าของร้านต้องมาบอกว่า “มารอวันหลังก็แล้วกันน่ะ เพราะวันนี้คงไม่มาแล้ว กลับไปบ้านได้แล้ว วันหน้าค่อยมาใหม่ เขาอาจจะแวะมาก็ได้ คนที่ช่วยเธอเอาไว้” ก็ไม่รู้ว่าหมาตัวนี้จะเข้าใจหรือเปล่า หรือฟังภาษาหรือเปล่า แต่ว่าคือความซื่อสัตย์ ความกตัญญู แม้ไม่ใช่เจ้าของ แต่เป็นคนที่ช่วยชีวิตเขา
เขารู้สึกสำนึกบุญคุณ ซึ่งเป็นสิ่งที่คนเราก็สามารถจะเรียนจากสัตว์ เช่น หมาได้ ความซื่อสัตย์ ความรู้สึกสำนึกบุญคุณ หรือความกตัญญูกตเวที ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็ลดน้อยถอยลงในหมู่มนุษย์ เพราะว่าเห็นแก่ตัวเองมากขึ้น เห็นแต่ความสุขสบาย ถ้าเราเรียนรู้จากสัตว์ เราก็จะได้ประโยชน์หลายอย่าง เหมือนกับที่สัตว์ก็รู้จักเรียนรู้จากคน.