พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้า วันที่ 25 พฤษภาคม 2567
มีวันหนึ่ง อาจารย์ถามนักศึกษาว่า คําหรือข้อความอะไรที่ตรงข้ามกับคําว่า ขอบคุณ นักศึกษาบางคนบอกว่า ไม่เป็นไร บางคนก็บอกว่า ขอโทษ อาจารย์ยังรู้สึกว่าคําตอบนี้ยังไม่ถูกใจ หลังจากที่มีนักศึกษาหลายคนแสดงความเห็นแล้ว อาจารย์บอกว่า ในประเทศญี่ปุ่น ตรงข้ามกับคําว่า ขอบคุณ คือข้อความหรือประโยชน์ทํานองว่า ก็แหงสิ หรือว่า มันแน่นอนอยู่แล้ว
อันนี้น่าคิด หลายสิ่งหลายอย่าง เรียกว่าทุกสิ่งทุกอย่างก็ได้ ที่เราประสบพบเห็น ถ้าเราไม่ไตร่ตรองดูดี ๆ เรานึกว่ามันจะอยู่กับเราไปตลอด แต่ถ้าเราพิจารณาสักหน่อยว่า ไม่ใช่หรอก มันจะต้องแปรเปลี่ยนไปไม่ช้าก็เร็ว ฉะนั้น ถ้าเราเข้าใจอย่างนี้ เราจะขอบคุณ ขอบคุณร่างกายที่มีสุขภาพดี มีกําลังวังชา ทำให้เราใช้ชีวิตได้ ทำางานได้อย่างปกติ
เขาพบว่า ร่างกายของเราไม่ใช่ว่าจะเป็นอย่างนี้ไปตลอด ถ้าเราคิดสักหน่อยว่าร่างกายของเราไม่ใช่ว่าจะแข็งแรงไปได้ตลอด ไม่ใช่ว่าจะมีสุขภาพดีไปได้ตลอด บางช่วงก็ป่วย หรือพออยู่ไปนาน ๆ ก็แก่ชรา ไม่มีเรี่ยวไม่มีแรง ที่เรายังหายใจได้สบายไม่ใช่เรื่องธรรมดา ไม่ใช่เรื่องที่แน่นอนหรือของตายอยู่แล้ว
เพราะว่าวันพรุ่งนี้เราอาจจะหายใจลําบากก็ได้ เกิดความดันขึ้น เกิดหัวใจมีปัญหา ตาของเราก็เหมือนกัน หูของเราก็เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าจะเป็นปกติอย่างนี้ไปได้ตลอด ปอด ตับ หัวใจ สมองของเรา ตอนนี้ยังดีอยู่ แต่ว่าอนาคตก็จะเสื่อมไป ไม่มีอะไรที่เราจะบอกว่าเป็นของตาย เป็นของแน่นอน เพราะทุกอย่างไม่เที่ยง
เพราะฉะนั้น ก็สมควรที่เราจะขอบคุณร่างกายนี้ที่มีสุขภาพดี มีกําลังชา หายใจได้ตามปกติ เพราะว่ามันจะแปรเปลี่ยนเป็นอื่นไปเมื่อไรก็ไม่รู้
และเช่นเดียวกัน เราควรจะขอบคุณต้นไม้ที่มีสีเขียว หรือว่าให้ความสงบ ให้ความร่มรื่น เพราะอะไร เพราะไม่รู้ว่าต้นไม้ที่ว่าจะยังอยู่กับเราไปได้นานเท่าไร วันดีคืนดีหรือว่าบางปีแล้งจัดมาก ต้นไม้ก็ตาย ใบไม้ก็เหลืองกรอบ ไม่มีร่มเงาอีกต่อไป ถึงตอนนั้นเราจะรู้ว่า การที่ต้นไม้เขียวขจี มีร่มเงา ไม่ใช่เป็นของที่แน่นอนหรือของตายเลย
และถ้าเรามองเช่นนี้ เราจะรู้สึกขอบคุณ ขอบคุณที่ยังมีอาหารกิน ยังกินอิ่มนอนอุ่น เพราะว่าวันข้างหน้าเกิดข้าวยากหมากแพง หรือว่าเกิดภัยพิบัติเกิด น้ำท่วม แผ่นดินไหว ไม่มีกิน อย่างคนที่เจอภัยน้ำท่วม บางทีไม่ได้กินอาหารเลยติดต่อกัน 4-5 วัน หรือ 10 วันก็มี ที่หลับที่นอนก็ไม่มี ต้องไปนอนหรือไปนั่งงีบบนหลังคา หรือเกิดศึกสงคราม ต้องพลัดที่นาคาที่อยู่ ฉะนั้น การที่เรากินอิ่มนอนอุ่นวันนี้ไม่ใช่ของตาย ไม่เป็นของแน่นอนไปตลอด
ถ้าเราตระหนักถึงความไม่เที่ยงของอาหารที่เรากิน บ้านเรือนที่เราอยู่ รวมทั้งสิ่งอํานวยความสะดวก เราก็จะรู้สึกว่าที่เรามีตอนนี้ กินอิ่มนอนอุ่น จะเรียกว่าเป็นโชคก็ได้ ที่เราควรจะขอบคุณ
เช่นเดียวกัน เราจะรู้สึกขอบคุณที่คนรักยังอยู่กับเรา ยังอยู่ใกล้ตัวเรา หรือแม้จะอยู่คนละบ้าน แต่ยังติดต่อสื่อสารกันได้ เพราะเขายังมีลมหายใจ ไม่ใช่ว่าวันนี้เขาอยู่กับเราแล้ว พรุ่งนี้หรือมะรืนนี้เขาจะอยู่กับเราไปตลอด ไม่ใช่เป็นของตาย ไม่ใช่เป็นของแน่นอน
ฉะนั้น เมื่อเรารู้เช่นนี้ เราจะขอบคุณ ขอบคุณที่คนรักยังอยู่รอบตัวเรา และถ้าเรารู้จักขอบคุณแบบนี้ เราจะขอบคุณผู้คนต่าง ๆ ที่มีส่วนช่วยทำให้ร่างกายเรามีสุขภาพดี มีกําลังวังชา
อาจจะขอบคุณตั้งแต่พ่อแม่ โดยเฉพาะแม่ ที่ดูแลเราตั้งแต่ยังอยู่ในท้อง ถ้าแม่ไม่ดูแลเราตั้งแต่ตอนที่อยู่ในครรภ์ให้ดี เช่น กินเหล้า สูบบุหรี่ กินยาบ้า เราคลอดออกมาอาจจะพิการก็ได้ หรือว่ามีปัญหาสมองก็ได้
การที่เรามีสุขภาพดี ต้องขอบคุณตั้งแต่แม่ผู้ให้กำเนิด รวมถึงพ่อ รวมถึงญาติผู้ใหญ่ที่เลี้ยงดูเรามา รวมไปถึงแม่ครัว คนงาน ที่ช่วยทําอาหารให้เรากิน ทำให้เรามีสุขภาพดี หรือช่วยอํานวยความสะดวกให้เรา
ถ้าเราขอบคุณต้นไม้ที่ยังเขียวขจีที่ยังให้ความร่มรื่น ก็จะขอบคุณคนสวนที่ช่วยดูแลต้นไม้ขอบคุณดินฟ้าอากาศที่ยังทำให้ต้นไม้และธรรมชาตินี้ยังเขียวขจี ให้ความสดชื่นแก่เรา
และ ถ้าเราขอบคุณที่คนรักยังอยู่รอบตัวเรา เราจะขอบคุณหลายสิ่งหลายอย่างที่ทำให้วันนี้ วันที่พ่อแม่ ลูกหลาน คนรัก ยังกินอาหารพร้อมหน้า ความรู้สึกขอบคุณสิ่งดี ๆ ที่เรามีในวันนี้ จะพาเราไปสู่การรู้สึกขอบคุณผู้คนต่าง ๆ มากมาย ซึ่งพอเราขอบคุณแล้ว ใจเราก็สบาย
แต่เราจะขอบคุณแบบนี้ได้ เราต้องรู้จักตระหนักหรือมองเห็นว่าเรามีสิ่งดี ๆ อยู่กับตัว หลายคนมีสุขภาพดี มีกําลังชา แต่ว่าไม่เคยสังเกตเลยว่าเป็นสิ่งดี ๆ กินอิ่มนอนอุ่นวันแล้ววันเล่าก็ไม่เคยรู้สึกว่าเป็นโชคหรือเป็นสิ่งดี ๆ
ถ้าเราตระหนักว่า หากสิ่งเหล่านี้แปรเปลี่ยนไป ชีวิตเราจะแย่ และพอเราเริ่มมองเห็นสิ่งดี ๆ ที่มีอยู่รอบตัว เราจะรู้สึกขอบคุณได้ง่าย และการที่เราจะมองเห็นสิ่งดี ๆ ที่มีอยู่รอบตัวเรา ไม่ว่าจะเป็นสุขภาพ ดินฟ้าอากาศ ต้นไม้ ผู้คน ใจเราต้องว่าง
แต่ถ้าใจเราหมกมุ่นกลุ้มใจ หรือเต็มไปด้วยอารมณ์ลบหรือชอบมองลบ เราก็มองไม่เห็นสิ่งดี ๆ ที่เรามี เดี๋ยวใจไม่ว่างพอที่จะมองเห็นสิ่งเหล่านี้ ไม่รู้สึกเลยว่าการที่มีสุขภาพดีเป็นของดี เพราะว่าไปกลุ้มใจเรื่องงาน ไม่ได้ตระหนักเลยว่าการที่ดินฟ้าอากาศยังเย็นสบายเป็นของดี เพราะว่าใจไปหมกมุ่นครุ่นคิดเรื่องอื่น หรือว่าเอาแต่ก่นด่าชะตากรรม
ฉะนั้น เราจะขอบคุณสิ่งต่าง ๆ ได้ ใจ เราต้องว่างพอที่จะมองเห็นสิ่งเหล่านี้ หรือว่าใจเรารู้จักมองบวก แล้วถ้าเรารู้จักทำใจให้ว่างหรือมองบวก เราจะมีความสุขได้ง่าย แล้วยิ่งเราขอบคุณสิ่งต่าง ๆ ที่เรามี จะเหมือนกับเป็นการเติมสุขให้เราในแต่ละวัน ทำให้ทุกวันเป็นวันดีของเรา ไม่ใช่เอาแต่ก่นด่าชะตากรรม หรือน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตา สิ่งดี ๆ มีอยู่กับเรา แต่เราไม่เห็นเอง และพอเราไม่เห็น เราเลยไม่รู้สึกขอบคุณสิ่งเหล่านั้น
ฉะนั้น ถ้าเราตื่นเช้าขึ้นมา เรารู้จักมองเห็นสิ่งดี ๆ ที่มีอยู่รอบตัว แล้วรู้จักขอบคุณ สิ่งที่ดูเหมือนธรรมดาสามัญ แต่ที่จริงแล้วไม่ธรรมดาหรอก เพราะว่ามันจะอยู่กับเราไม่นาน มันไม่ใช่ของตาย ไม่ใช่เป็นของที่แน่นอน.