พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 31 มกราคม 2567
มีข้อสอบวิชาเสริมสร้างประสบการณ์ชีวิตสำหรับนักเรียนชั้น ป.2 หรือ ป.3 มีข้อหนึ่งถามว่า ถ้าไฟไหม้บ้าน สิ่งแรกที่นักเรียนควรทำคืออะไร มีเด็กคนหนึ่งเขียนว่า “อุ้มแมวออกมา”
ถ้าเป็นผู้ใหญ่ก็คงจะไม่ตอบแบบนั้น เวลาเกิดเหตุการณ์แบบนี้ ผู้คนก็ย่อมนึกถึงสิ่งที่สำคัญที่สุดในความรู้สึกของตัว สำหรับเด็กคนนี้ซึ่งคงเป็นผู้หญิง แมวคือสิ่งที่ตัวเองผูกพันมากที่สุด เพราะฉะนั้นพอเกิดอันตรายขึ้นมาก็นึกถึงแมวก่อน
ที่จริงคำถามนี้ ผู้ออกข้อสอบคงจะอยากจะให้นักเรียนตอบว่า “เอาชีวิตให้รอดเสียก่อน” เพราะว่าสำหรับคนทั่วไป อย่างไรก็ชีวิตเป็นสิ่งสำคัญกว่า แต่ว่าเอาเข้าจริงๆ พอเกิดเหตุร้ายแบบนี้ขึ้นมา หลายคนอาจจะนึกถึงอย่างอื่น นึกถึงพ่อแม่ นึกถึงลูก แต่ถ้าไม่มีพ่อแม่อยู่ในบ้าน ไม่มีลูก ก็อาจจะนึกถึงอย่างอื่น ได้แก่ พระเครื่องบ้าง หรือว่าของมีค่า เช่น สร้อยทอง แหวนเพชร โฉนดที่ดิน
แต่ถ้าเป็นคนสมัยใหม่ก็จะนึกถึงโทรศัพท์มือถือ นึกถึงคอมพิวเตอร์ เพราะเดี๋ยวนี้มือถือก็ดี คอมพิวเตอร์ก็ดี มันเหมือนกับทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของคนสมัยใหม่ ตัวตนทั้งหลายไปผูกไปติดอยู่ในโทรศัพท์มือถือ อยู่ในคอมพิวเตอร์
ที่จริงคำถามนี้พวกเราคิดไว้บ้างก็ดี ถ้าไฟไหม้บ้าน สิ่งแรกที่ควรทำคืออะไร เพราะว่าไม่ว่าอยู่ที่ไหน ไฟไหม้บ้านมันก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น แล้วก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายถ้าหากว่าจะนึกเอาไว้ก่อน พอถึงเวลาถ้าไม่นึกเอาไว้เลย ก็อาจจะตื่นตกใจ แล้วอาจจะคว้าอะไรที่มันอยู่ใกล้ตัว
อย่างที่เขาเล่าว่าสมัยก่อน คนบางคนพอไฟไหม้ก็คว้าเอาโอ่งรองน้ำฝนแบกหนี เพราะสมัยก่อนคนกรุงเทพหรือคนฝั่งธนจะมีโอ่งเอาไว้รองน้ำฝน คนบางคนพอตกใจมาก เห็นอะไรใกล้ตัวก็ขนไปก่อน
ธรรมดาของคนเรา แม้ว่าเราจะใช้ความคิดอย่างไร แต่พอถึงเวลาไฟไหม้จริงๆ มันจะไม่ค่อยได้ใช้ความคิดเท่าไหร่ มักใช้ความรู้สึกมากกว่า ผูกพันกับอะไรก็จะนึกถึงสิ่งนั้นก่อน แม้จะรู้ว่าชีวิตสำคัญ แต่ว่าพอไฟไหม้ก็อาจจะนึกถึงข้าวของที่มีค่า แหวนเพชรหรือว่าเงินที่ใส่ไว้ในตู้เซฟเป็นปึกๆ สมัยก่อนคนเก็บเงินกันอย่างนั้น
บางทีลืมเลยว่าชีวิตสำคัญกว่า แต่ก็ธรรมดาคนเราพอเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินเงินทอง ยิ่งไปยึดมั่นว่าเป็นของเรา ของเรา เราก็กลายเป็นของมันทันทีเลย ยอมตายเพื่อมันได้ ไฟจะโหมกระพือแรงแค่ไหน ถ้าหากว่าไปยึดมั่นถือมั่นกับโทรศัพท์ กับคอมพิวเตอร์ หรือว่ากับของมีค่า มันก็พร้อมที่จะเสี่ยงตายไปเอาสิ่งเหล่านั้นออกมาจากกองเพลิง
แต่ถ้าเกิดว่าเราคิดไว้ก่อน อย่างน้อยมันก็ยังได้สติบ้างว่าควรจะทำอย่างไรเป็นอย่างแรก คือ ใช้ความคิด ใช้ปัญญา ไม่ได้ใช้ความรู้สึก
พูดถึงไฟไหม้บ้าน มันก็มีเรื่องเล่าจากประสบการณ์ของครีเอทีฟโฆษณาคนหนึ่ง ธนญชัย ศรศรีวิชัย แกเป็นผู้กำกับหนังโฆษณาที่มีชื่อมากของเมืองไทย ติดอันดับหนึ่งของโลกด้วย เพราะว่าได้รางวัลระดับโลกโดยเฉพาะจากเมืองคานส์มากที่สุดในโลก แต่คนไทยไม่ค่อยรู้จักถ้าไม่ได้อยู่ในแวดวงนี้
แกปลูกเรือนไม้ไว้ในสวน ที่จริงเรียกว่าเป็นป่ามากกว่าไม่ใช่สวน แถวอ่อนนุช ซื้อที่มาราคาหลาย 10 ล้านเพื่อมาปลูกป่า แล้วก็ปลูกเรือนไม้เอาไว้ 2 หลัง ปรากฏว่าวันหนึ่งไฟไหม้เรือนไม้ ตอนนั้นแกไปนอนที่คอนโดแถวทองหล่อ เรือนไม้ที่อยู่กลางป่าอยู่ตรงอ่อนนุช กลางดึกกว่าจะมาถึงที่เกิดเหตุ ไฟก็ลุกท่วมไปแล้ว เห็นไฟไหม้ทั้งเรือนไม้ เผาผลาญต้นไม้ส่วนหนึ่ง เป็นภาพที่กระทบความรู้สึกแกมาก
แต่แกก็มาได้สติ นึกขึ้นมาว่า “เออ เหตุการณ์แบบนี้มันมีอะไรดีบ้าง มีข้อดีอะไรบ้าง” ถามตัวเอง ถามแฟนว่า “มันมีข้อดีอะไร ลองนึกมาสัก 3 ประการ” ก็น่าสนใจ พอเกิดเหตุแบบนี้ คนเราก็ไม่ค่อยนึกถึงข้อดีจากเหตุการณ์เท่าไหร่ แต่ว่าธนญชัยแกมีสติ ไหนๆ ไฟก็ไหม้ไปแล้ว มันมีข้อดีอะไรบ้าง
แกได้ข้อคิดว่า ข้อ 1 เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นไฟไหม้บ้านต่อหน้าต่อตา แต่ก่อนทำหนังโฆษณาทุกอย่างมันก็ต้องเนรมิตขึ้นมาให้เหมือนจริง แกคิดว่าต่อไปนี้ถ้าจะทำซีนหรือฉากไฟไหม้ ก็นึกออกแล้วว่าจะทำยังไงให้มันเหมือนจริง เพราะว่าได้เห็นไฟไหม้บ้านนี้กับตาเลย อันนี้ก็เรียกว่าเป็นประโยชน์ในทางวิชาชีพ
ข้อที่ 2 แกบอกว่าไฟไหม้บ้านจนกระทั่งกลายเป็นเถ้าถ่าน มันก็ดี เถ้าถ่านนี้กลายเป็นปุ๋ยให้กับต้นไม้ ไม่ใช่ไร้ค่าหรือสูญเปล่าทีเดียว
ข้อดีประการที่ 3 คือแกได้ข้อคิดแล้วเกี่ยวกับการปลูกบ้าน เวลาปลูกบ้านหรือสร้างบ้าน เดี๋ยวนี้คนก็มักจะพูดว่าสร้างบ้านพร้อมอยู่ แกบอกเหตุการณ์นี้ มันทำให้ได้ความคิดว่าเวลาจะสร้างบ้านใหม่จะ “สร้างบ้านพร้อมไหม้”
สร้างบ้านพร้อมไหม้ ก็คือว่าเตรียมพร้อมหรือพร้อมทำใจเวลาไฟไหม้บ้าน แกบอกว่าพอคิดถึงเรื่องว่าสร้างบ้านพร้อมไหม้ มันลดต้นทุนไปได้เยอะเลย คนส่วนใหญ่นี้สร้างบ้านให้มีความมั่นคงแน่นหนา บางทีคิดว่า บ้านจะอยู่เป็นร้อยๆ ปี ไม่มีอะไรมาทำลายได้ จึงสร้างอย่างแน่นหนา แล้วก็มีของมีค่ามากมาย แต่พอนึกว่า สร้างบ้านพร้อมไหม้ มันไม่ต้องมีอะไรมากเลย แค่ให้อยู่แบบสบายๆ ก็พอแล้ว อันนี้ก็เป็นแนวคิดที่ดี สร้างบ้านพร้อมไหม้
หลวงพ่อคำเขียนเคยไปเยี่ยมลูกศิษย์คนหนึ่งซึ่งป่วยระยะสุดท้ายเป็นมะเร็งเต้านม ตอนที่เธอรู้ว่าป่วยครั้งแรกอายุแค่ 30 กว่า เธอเลือกที่จะรักษาแบบธรรมชาติ แล้วก็ช่วยทำให้อยู่ได้ 10 กว่าปี พออาการแย่ลงก็เลือกที่จะไม่ยื้อชีวิต และเลือกที่จะรับการดูแลแบบประคับประคอง แล้วก็เลือกเอาบ้านเป็นสถานที่สำหรับระยะสุดท้ายหรือที่ตาย
ตอนที่สุขภาพดี เธอก็วางแผนว่าถ้าหากว่าป่วยหนักระยะท้ายนี้จะนอนตรงไหน แล้วก็เลือกมุมที่สามารถที่จะมองเห็นสวนที่อยู่นอกบ้าน นอกอาคาร มันไม่ใช่แค่นั้น ก็ปลูกต้นไม้ในสวนให้สวยเลย เพื่อว่าพอนอนบนเตียงมองไปที่สวนก็จะเห็นดอกไม้ จิตใจก็รู้สึกชื่นบาน เรียกว่าวางแผนให้บ้านนี้เป็นเรือนตายที่สงบ แล้วก็มีผลต่อจิตใจได้ดีที่สุด
หลวงพ่อคำเขียนไปเยี่ยมเธอที่บ้าน ที่หาดใหญ่ กลับมาก็บอกว่า “บ้านของเธอน่าตาย” ดังนั้นเวลาคนเราสร้างบ้าน เรามักคิดแต่สร้างบ้านให้น่าอยู่ แต่ว่าเราไม่ค่อยคิดถึงการสร้างบ้านให้มันน่าตาย ทั้งๆ ที่หลายคนก็เลือกว่า “ถ้าจะตาย ขอตายที่บ้าน ไม่ไปขอตายที่โรงพยาบาล มันเหงา” แล้วก็ไม่อยากจะถูกยื้อ ถ้าจะตาย ขอตายที่บ้านที่มีความผูกพัน แต่ว่าเวลาสร้างบ้านนี้ก็คิดแต่จะสร้างบ้านให้น่าอยู่ ไม่คิดที่จะสร้างบ้านให้มันน่าตายด้วย
ที่จริงไม่ใช่แค่สร้างบ้านให้มันน่าตายอย่างเดียว หรือว่าสร้างบ้านพร้อมไหม้ แม้กระทั่งการใช้ชีวิตของคนเรา ในเมื่อจะสร้างบ้านพร้อมไหม้ หรือว่าสร้างบ้านให้น่าตายแล้ว ก็น่าจะคิดถึงว่ามีชีวิตอยู่อย่างพร้อมตาย สร้างบ้านพร้อมไหม้อย่างเดียวไม่พอ ต้องมีชีวิตพร้อมตายด้วย เพราะว่าไฟไหม้ก็เป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้ แต่ก็ยังไม่แน่นอนเท่ากับความตาย ปลูกบ้านมาเป็นร้อยปีอาจจะไม่มีไฟไหม้เลย แต่ชีวิตนี้ไม่ทันถึงร้อยปีก็ตายแล้ว
ฉะนั้นถ้าคิดจะสร้างบ้านให้พร้อมไหม้ ก็ต้องเลือกที่จะมีชีวิตพร้อมตายด้วย “ชีวิตพร้อมตาย” หมายความว่า ชีวิตที่ระลึกอยู่เสมอ เตือนใจอยู่เสมอว่าจะตายเมื่อไหร่ก็ได้ แล้วก็พร้อมไม่ใช่แค่เตรียมทรัพย์ เตรียมมรดก แต่ว่าเตรียมใจเผชิญกับความตายชนิดที่ว่าตายเมื่อไหร่ก็ได้ พร้อม! หรือถ้าเกิดว่ามีเวลาที่จะอยู่ในระยะสุดท้ายนี้ ก็เตรียมตัวสร้างบ้านที่มันน่าตายด้วย
พูดถึงธนญชัย ศิลปินหรือครีเอทีฟโฆษณาคนนี้ แกก็มีเรื่องเล่าอีก ว่าตอนที่อยู่บ้านกลางป่าแถวอ่อนนุช ปัญหาอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นกับแกเป็นประจำทุกเช้า คือข้างบ้านเขาชอบทำกับข้าวแต่เช้าเลย แล้วก็ชอบทำแกงแบบมุสลิม เพราะฉะนั้นกลิ่นสมุนไพร กลิ่นเครื่องเทศ มันจะฉุน มันจะแรงมาก แล้วพอแกนอน พอถึงรุ่งเช้า แกก็จะนอนไม่ได้เลยเพราะกลิ่นแกงนี้มันแรงมาก ต้องตื่นทนนอนต่อไปไม่ไหว
มีวันหนึ่งสะดุ้งตื่นเลยเมื่อได้กลิ่นแกงจากข้างบ้าน โมโหมากเลย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ก็เลยอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ขับรถไปสวนสาธารณะใกล้บ้านเพื่อออกกำลังกาย แล้วแกก็ได้คิดเลยว่า เออ ที่จริงต้องขอบคุณเพื่อนบ้าน เพราะว่ากลิ่นแกงของเพื่อนบ้านนี้มันช่วยปลุกให้เขาตื่นเช้าไปออกกำลังกาย ถ้าไม่มีกลิ่นแกงที่ว่านี้ เขาคงจะนอนยาวไปเลย แม้ว่าจะมีความตั้งใจว่าจะตื่นเช้าออกกำลังกาย แต่ว่าวิธีที่คนในเมืองจะตื่นเช้าคือตั้งนาฬิกาปลุก แต่พอนาฬิกาปลุก หลายคนก็พอรำคาญก็ปิดเสียง นอนต่อ
เว้นแต่ว่าจะมีคนมาปลุก มีคนที่บ้าน มีภรรยามาปลุกให้ตื่น “ตื่นไปออกกำลังกาย ไหนบอกว่าจะออกกำลังกายทุกเช้า แต่ทำไมยังนอนต่อ” ตื่นขึ้นมาแล้วก็โอ้เอ้เอ้อระเหย กินกาแฟหรือว่าอ่านหนังสือพิมพ์ ไถมือถือ กว่าจะไปออกกำลังกายนี้ก็เป็นชั่วโมง แต่ว่าพอมาเจอกลิ่นแกงแบบนี้ จะให้นอนต่อก็นอนไม่ได้ จะเอ้อระเหยที่บ้านก็ทำไม่ได้เหมือนกัน เพราะว่ากลิ่นแกงนี้มันฉุนมาก
ทางเดียวก็คือต้องรีบออกจากบ้าน ไปสวนสาธารณะ ออกกำลังกาย แกก็บอกเลยบอกว่า ต้องขอบคุณเลย ขอบคุณเพื่อนบ้านที่ทำอาหารแต่เช้า ถ้าไม่มีกลิ่นแกงนี้ แกคงจะไม่กระตือรือร้นที่จะออกจากบ้านไปออกกำลังกาย
ก็กลายเป็นดีไป มุมมองนี้น่าสนใจ เพราะว่าหลายคนมักจะมีปัญหากับเพื่อนบ้าน ไม่ใช่เรื่องของปรุงอาหาร แล้วก็มีกลิ่นฉุนมาถึงบ้าน รบกวนการนอน บางทีอาจจะมีเสียงดังสารพัด แล้วอดไม่ได้ที่จะทะเลาะเบาะแว้งกับเพื่อนบ้าน เดี๋ยวนี้เป็นกันเยอะ ไม่ว่าในกรุงเทพหรือในเมืองใหญ่
แต่ว่าธนญชัยแกมีมุมมองที่น่าสนใจ คือเปลี่ยนให้เรื่องร้ายๆ นี้กลายเป็นเรื่องดีซะ กลิ่นแกงนี้มันช่วยทำให้ขยันตื่นเช้าไปออกกำลังกาย ต้องขอบคุณ ก็กลายเป็นว่าแทนที่จะโกรธเพื่อนบ้าน ก็กลับรู้สึกดีกับเพื่อนบ้าน แล้วตัวเองก็ได้ประโยชน์ด้วย รู้สึกดี แล้วก็ตื่นเช้าขึ้นมาจิตใจก็ไม่หม่นหมอง ไม่ขุ่นเคือง แถมยังได้ไปออกกำลังกาย ทำให้ร่างกายก็แข็งแรง จิตใจก็สดชื่น
บางครั้งเราต้องเจอเหตุการณ์หลายอย่างที่เราไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขอะไรได้ แต่ว่ามีอย่างหนึ่งที่เราทำได้ ก็คือ “รักษาใจให้ไม่ทุกข์” แล้วก็หาประโยชน์จากมัน ถ้าเรารู้จักหาประโยชน์จากมัน เราได้กำไร นักปฏิบัติธรรมจะต้องฉลาดในการเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดี
หลวงพ่อคำเขียน ท่านใช้คำว่า “รู้จักฉวยโอกาส” ฉวยโอกาสจากทุกอย่าง แม้จะเจอสิ่งที่ไม่ถูกใจ ก็เปลี่ยนให้กลายเป็นประโยชน์ จะเป็นคำต่อว่าด่าทอ จะเป็นการกระทำหรือคำพูดที่ไม่ถูกใจ พอเจอแล้วแทนที่จะโกรธ ก็เอามาใช้ให้เป็นเครื่องฝึกใจก็ได้ ฝึกขันติก็ได้ฝึกความอดทน หรือว่าฝึกสติ หรือว่าเอามาใช้มองตน
อย่างเมื่อเร็วๆ นี้ มีหมาตัวหนึ่งชื่อนินจา มันชอบคาบรองเท้าของคนที่มาทำวัตรที่หอไตร แม่ชีก็โดน ฆราวาสก็โดน พระก็โดน ทำวัตรเสร็จลงมาหารองเท้าไม่เจอ ใช้เวลานาน หลายคนโมโหนินจา ว่าเท่าไหร่ก็ไม่เชื่อ แต่ว่าถ้ามองดูดีๆ เออ เขาก็มาสอนเรา มาสอนอะไร มาสอนให้เรารู้จักวางรองเท้าให้เป็นที่คือวางบนชั้น เพราะถ้าวางไว้ตามบันได มันก็คาบไปเล่น แต่ถ้าหากว่าเราวางรองเท้าบนชั้นนี้หมดปัญหา
ฉะนั้นถ้ามองไม่เป็นก็โกรธนินจา แต่ถ้ามองเป็น “เออ เขามาสอนเราให้วางรองเท้าไว้บนชั้น มันจะได้เป็นระเบียบ” ถ้าทำอย่างนี้ได้ มันต้องรู้จักหันมามองตน เพราะถ้าไม่มองตนนี้ มันก็จะเพ่งโทษ เพ่งโทษต่อว่านินจา โกรธ โมโห แต่ถ้าหันมามองตน “เออ เป็นเพราะว่าเราวางรองเท้าไม่เป็นที่ นินจาก็เลยคาบไป” พอวางรองเท้าเป็นที่คือวางบนชั้นก็ไม่มีเรื่อง
อันนี้ก็เรียกว่าเป็นบทเรียนที่เราสามารถจะเรียนรู้ได้จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แล้วบางครั้งหมานี้มันก็สามารถจะสอนเราได้ ให้รู้จัก รู้จักอะไร รู้จักมอง อะไรเกิดขึ้นกับเรา มันไม่สำคัญเท่ากับว่าเรามองสิ่งนั้นอย่างไร ไฟไหม้ ไฟไหม้บ้าน ถ้ามองเป็น “เออ ก็ขอบคุณ รู้สึกโชคดีที่ไม่มีใครเสียชีวิต ไม่มีใครบาดเจ็บ ข้าวของที่เสียหายก็หาใหม่”
หรือว่าจะมองแบบธนญชัยก็ได้ “เออ เขามาสอนให้เรานี้รู้จักสร้างบ้านแบบใหม่ บ้านพร้อมไหม้” แล้วต่อไปก็อาจจะทำให้เกิดความคิดสร้างบ้านพร้อมตายด้วย แล้วพอสร้างบ้านพร้อมตายหรือสร้างบ้านน่าตายแล้ว ต่อไปก็จะคิดถึงเรื่องการ มีชีวิตพร้อมตาย หรือ อยู่อย่างพร้อมตาย ก็เรียกว่าเกิดความตั้งอยู่ในความไม่ประมาท
ฉะนั้นถ้าเรารู้จักมองในแง่บวก มันก็จะได้ประโยชน์จากเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นแม้จะแย่ แต่ขณะเดียวกันมันก็เตือนให้เรารู้จักมองในทางลบด้วย ไอ้ความคิดว่าบ้านพร้อมไหม้นี้จะว่าไปมันก็เป็นการมองในทางลบแบบหนึ่ง คือมองว่าไฟไหม้สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
เช่นเดียวกันการมีชีวิตของเรา เราก็ไม่ได้มองบวกอย่างเดียว เรามองลบด้วย ก็คือว่าสักวันหนึ่งก็ต้องเจ็บ ต้องป่วย ต้องตาย ครานี้เมื่อเรารู้แบบนี้หรือคิดได้แบบนี้ก็จะทำให้เกิดความไม่ประมาท มีชีวิตชนิดที่พร้อมตายทุกเมื่อ แล้วก็รวมไปถึงว่าจะมีข้าวของอะไร ก็มีแบบพร้อมที่จะหาย พร้อมที่จะเสียทุกเมื่อ ถ้าคิดแบบนี้ พอมันเกิดขึ้นจริงก็ไม่ได้ทุกข์อะไร เพราะว่าเตรียมใจไว้แล้ว.