พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 4 มีนาคม 2568
มีชายญี่ปุ่นคนหนึ่งเป็นลูกของเศรษฐีซึ่งเป็นนักธุรกิจใหญ่ ผู้เป็นพ่อเป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ในญี่ปุ่น แล้วก็มีสาขาทั่วญี่ปุ่น ชายหนุ่มคนนี้เป็นลูกคนเดียวของพ่อ
พ่อเขาหมายมั่นให้เป็นทายาทรับสืบทอดกิจการที่พ่อสร้างมา พ่อเป็นคนที่เข้มงวดมาก พยายามเคี่ยวเข็ญลูกให้ทำธุรกิจอย่างจริงจัง เอากำไรเป็นจุดหมาย
ลูกเมื่อได้รับมอบหมายให้เป็นผู้จัดการของห้างสรรพสินค้าทั่วประเทศ ก็พยายามเคี่ยวเข็ญกับลูกน้อง คนงาน เจ้าหน้าที่ต่างๆ ให้ทำงานเต็มที่ เพราะคู่แข่งเยอะ แล้วคนญี่ปุ่นเวลาทำงานก็เรียกว่าทำจริงทำจังมาก ยิ่งมีเจ้านายเคี่ยวเข็ญด้วยแล้ว ก็ทำแบบยอมตายถวายหัวเลย
แล้วปรากฏว่าวันหนึ่งก็มีลูกน้องตายคาโต๊ะเลย เพราะว่าทำงานหนัก ไม่ได้พักผ่อน ชายหนุ่มคนนี้ก็เสียใจ ที่ลูกน้องทำงานหนัก รับใช้เจ้านายจนตายเลย ซึ่งที่จริงจะว่าไปก็เป็นเรื่องธรรมดาของสังคมญี่ปุ่น ตายเพราะทำงานหนักมีเยอะมากจนกระทั่งกลายเป็นโรคชนิดหนึ่งที่รู้กันในหมู่คนญี่ปุ่น โดยเฉพาะในวงการธุรกิจ
ลูกเศรษฐีคนนี้ก็เสียใจ แต่แกก็ยังเคี่ยวเข็ญให้ลูกน้องทำงานหนักเพราะว่าพ่อสั่งมาเลย ให้ลูกต้องทำงานให้ได้ผลมีประสิทธิภาพ ลูกก็ไปไล่เบี้ยกับลูกน้อง
ชายหนุ่มคนนี้แกทำงานหนักเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าให้ลูกน้องทำงานหนักคนเดียว จนแทบไม่มีเวลาให้กับครอบครัว ต่อมาภรรยาล้มป่วย แต่ตัวสามีหรือลูกเศรษฐีคนนี้แกก็หมกมุ่นกับงานมาก ไม่ใช่ลูกน้องคนเดียวที่ทำงานหนัก ตัวเองก็ทำงานหนัก ไม่มีเวลาให้กับภรรยาซึ่งป่วยเป็นมะเร็ง จะไปเยี่ยมก็ไม่ค่อยมีเวลา สุดท้ายภรรยาตาย ตัวเองก็ไม่ได้ไปอยู่ดูใจ
ลูกน้องตายไม่พอ ปรากฏว่าภรรยาก็ตายด้วย โดยที่ตัวเองไม่มีเวลาไปดูแล เพราะเอาแต่ทำงาน คิดแต่จะทำให้ได้ตามเป้า พอภรรยาตาย เสียใจมาก จนไม่เป็นอันทำงานเลย ปรากฏว่าเปิดช่องให้ลูกน้องคนสนิทที่ไว้ใจ ทำการทุจริตปลอมบัญชี เสียหายไปหลายสิบล้าน ถ้าคิดเป็นเงินเยนก็เป็นร้อยล้านเยน กระเทือนกิจการของพ่ออย่างรุนแรง พ่อโกรธมาก เล่นงานลูก
เท่านั้นไม่พอ พอธุรกิจย่ำแย่ ปรากฏว่าเพื่อนๆ ในแวดวงธุรกิจก็ซ้ำเติม คนที่เคยคบเป็นเพื่อนก็ซ้ำเติม ดูถูกเหยียดหยาม ชายคนนี้ก็เลยมีความทุกข์มาก ทั้งเครียดจากงานการ ทั้งเศร้าโศกเสียใจที่ทำให้ลูกน้องตายคาโต๊ะ แล้วยังรู้สึกผิดที่ไม่มีเวลาดูแลภรรยา เรียกว่าความทุกข์มันโถมกระหน่ำ
สุดท้ายแกเลือกจะละทิ้งวงการไปเลย ปฏิเสธวงการธุรกิจ หลบไปอยู่ในมุมเล็กๆ ของสังคมญี่ปุ่น ไปเช่าห้องเล็กๆ อยู่ เรียกว่าทิ้งวงการไปเลย วงการธุรกิจ แล้วก็ทิ้งแวดวงเพื่อนฝูงมิตรสหายที่เคยรู้จัก หายตัวไปเลย ไม่ติดต่อใครด้วย ทิ้งแม้กระทั่งครอบครัว เลือกมาเช่าห้องเล็กๆ อยู่ชานเมืองโตเกียว อยู่อย่างสมถะ
แล้วเขายังชีพยังไง ยังชีพด้วยการเป็นพนักงานทำความสะอาดห้องน้ำ ห้องน้ำญี่ปุ่นนี่สะอาดมาก แล้วก็มีอยู่ทั่วไป หาได้ไม่ยาก อาตมาเคยพูดเล่นกับเพื่อนๆ ว่า มี 2 ประเทศที่หาห้องน้ำได้ง่ายมาก ไม่ว่าไปไหนคือ ญี่ปุ่นกับอินเดีย
ญี่ปุ่นห้องน้ำมีเรียกว่าทั่วทุกหนแห่งเลย อินเดียก็เหมือนกัน มีทุกที่เลย จะถ่ายตรงไหนก็ได้ แม้กระทั่งหน้าสถานีรถไฟก็เคยเห็นมาแล้ว แต่ว่าญี่ปุ่นเขามีห้องน้ำห้องสุขาที่สะอาด เป็นที่เลื่องลือว่า ห้องน้ำญี่ปุ่นนอกจากหาได้ง่ายแล้ว ยังสะอาดด้วย
ชายหนุ่มคนนี้ผันตัวจากนักธุรกิจใหญ่มาเป็นพนักงานทำความสะอาดห้องน้ำ เรียกว่าปฏิเสธค่านิยมที่เคยถูกสั่งสอนมา ว่าจะต้องทำงานที่มีหน้ามีตา เป็นนักธุรกิจใหญ่ ผันตัวมาเป็นพนักงานทำความสะอาดห้องน้ำ ซึ่งถือว่าเป็นงานชั้นต่ำ
แต่คนญี่ปุ่นเขาก็ให้เกียรติ เขาก็นับถือคนที่ทำอาชีพนี้เหมือนกัน แต่ว่าสำหรับคนทั่วไปก็ถือว่าเป็นงานที่ต่ำต้อย แต่แกก็มีความสุขกับชีวิตแบบนี้ ทุกวันก็ไปตามห้องน้ำต่างๆ ไปทำความสะอาดทุกมุมเลยก็ว่าได้
แล้ววิธีการทำความสะอาด เขาละเอียดละออมาก ต้องมีกระจกคอยส่องบริเวณที่ตามองไม่เห็น ต้องส่องว่ามีคราบไคลไหม ต้องชำระให้สะอาด แกก็ทำงานอย่างไม่ได้รู้สึกท้อถอยหรือว่ารังเกียจ เพราะว่าตั้งใจจะหนีโลกธุรกิจที่ตัวเองคุ้นเคย หนีแวดวงคนรู้จัก แล้วก็ละทิ้งชีวิตแบบนักธุรกิจ รวมทั้งละทิ้งชีวิตที่หรูหราฟุ่มเฟือย มาอยู่แบบง่ายๆ วันๆ หนึ่งก็ตื่นแต่เช้าไปทำความสะอาดห้องน้ำตามจุดต่างๆ ในโตเกียว
และความสุขของแกก็คือ การที่ได้ไปชื่นชมใกล้ชิดกับธรรมชาติ ต้นไม้ ถึงเวลาพักก็เลือกไปอยู่ไปพักตามสวน ในโตเกียวมีสวนเยอะ แกชอบดูใบไม้ โดยเฉพาะคาขบที่มันมีใบไม้ กิ่งไม้เขียวขจี เห็นแล้วก็ชื่นใจ
ยิ่งกว่านั้นก็คือว่า เห็นแล้วไม่พอ ถ่ายรูปด้วย แกปฏิเสธชีวิตที่หรูหราฟุ่มเฟือย แม้กระทั่งกล้องถ่ายรูปก็ยังเป็นกล้องถ่ายรูปแบบใช้ฟิล์ม ไม่ใช่กล้องสมาร์ทโฟน ไม่มีสมาร์ทโฟน กล้องที่ใช้ฟิล์มที่ญี่ปุ่นก็ยังมี ร้านล้างฟิล์มถ่ายรูป แกก็ใช้ฟิล์มถ่ายรูปขาวดำ รูปส่วนใหญ่ก็เป็นรูปเกี่ยวกับธรรมชาติ เป็นงานอดิเรกแบบหนึ่งซึ่งทำแล้วมีความสุข แล้วความสุขของแกก็ง่ายๆ
แม้ว่าจะมีชีวิตที่สมถะ หรือว่าลำเค็ญเมื่อเทียบกับชีวิตที่รุ่งเรืองสมัยก่อน แต่ว่าก็สามารถหาความสุขได้จากชีวิตที่เรียบง่าย เงินเดือนก็ไม่มาก สัมผัสกับธรรมชาติ แค่ได้เห็นท้องฟ้ายามเช้าที่สวยงาม แกก็มีความสุขแล้ว
ทุกเช้าเวลาตื่นออกไปทำงาน อย่างแรกที่มองคือมองท้องฟ้า เห็นท้องฟ้าที่สวย ก็ใจฟูแล้ว แล้วก็ไปทำงาน ล้างห้องน้ำ ทำงานทั้งวัน กลับมาบ้าน ไม่มีโทรทัศน์ ที่บ้านไม่มีโทรทัศน์ แต่ว่าพักผ่อนด้วยการอ่านหนังสือ นิยาย ชีวิตไม่ได้ใช้เงินอะไรมาก ทั้งที่เคยมีพื้นเพที่หรูหรามาก่อน
เพราะเลือกแล้วที่จะหนีชีวิตที่หรูหราฟุ่มเฟือย โทรศัพท์มือถือก็เป็นโทรศัพท์แบบใช้พูดคุย ไม่ใช่สมาร์ทโฟน กล้องก็เป็นกล้องง่ายๆ ใช้ฟิล์ม ถ่ายด้วยฟิล์ม มีความสุขกับการอ่านหนังสือ แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว
แต่ว่าลึกๆ แกก็มีความทุกข์ แววตามันมีร่องรอยของความทุกข์ เป็นความเจ็บปวด ที่ทำให้ลูกน้องต้องตายคาโต๊ะ แล้วก็รู้สึกผิดที่ไม่มีเวลาให้กับภรรยาจนกระทั่งวาระสุดท้าย ทั้งที่แกหนี หนีโลกที่มันเชือดเฉือนกัน แข่งขันกันเพื่อทำยอดให้ได้มากที่สุด หนีโลกนี้มาอยู่ในมุมเล็กของสังคม หนีแวดวง คนรู้จัก ไม่ติดต่อใครเลย แล้วคนอื่นก็หาไม่เจอ
ละทิ้งชีวิตที่เป็นนักธุรกิจมีหน้ามีตาในสังคม มาเป็นพนักงานทำความสะอาดห้องน้ำ ละทิ้งแม้กระทั่งครอบครัว พ่อก็ดี น้องสาวที่สนิทสนมกันก็ดี แกก็ทิ้งเลย มีหลานที่น่ารักแกก็ไม่ติดต่อด้วย เพราะว่าอยากจะลืมความเจ็บปวด ความทุกข์ และความรู้สึกผิด
และอย่างหนึ่งที่มันเป็นบาดแผลในจิตใจก็คือ คนที่เคยไว้วางใจก็ทุจริต ทรยศหักหลัง คนที่เป็นเพื่อนก็ดูถูกเหยียดหยามยามที่เขาล้ม คือรู้สึกว่าขยาดที่จะคบกับคนที่ใกล้ชิด คบกับคนให้ใกล้ชิดหรือลึกซึ้ง แล้วเวลาเจอใคร แกก็จะไม่ค่อยพูดอะไรเท่าไหร่ จนเหมือนกับเป็นใบ้ ได้แต่ยิ้มๆ จะมีพูดบ้างก็นิดหน่อยๆ
เขาหลีกเลี่ยงที่จะมีความสัมพันธ์สนิทสนมกับใคร เพราะว่าเข็ดขยาด คนที่คุ้นเคยก็สร้างความเจ็บปวด ทั้งทรยศหักหลัง แล้วก็ทั้งดูถูกเหยียดหยาม ดูเหมือนว่าพยายามหนี หลายสิ่งหลายอย่างที่ทำให้มีความทุกข์ แล้วก็ดูน่าจะมีความสุข มีความสุขกับชีวิตที่เรียบง่าย
สังคมญี่ปุ่นก็ยังมีช่องที่คนจะหนีจากโลกที่คุ้นเคย จากแวดวงที่มีคนคุ้นเคย หลบมาอยู่ในมุมเล็กๆ ถ้าเป็นสมัยก่อนก็ต้องหนีเข้าป่า หนีขึ้นเขา อย่างพวกนักพรตที่เขารังเกียจชีวิตที่แก่งแย่งหรือว่าแสวงหาลาภยศ แต่ว่าเดี๋ยวนี้แค่ไปหลบตัวหรือหนีไปอยู่ในมุมเล็กๆ ของสังคมเมืองใหญ่ ก็พอจะไหว เพราะว่าโตเกียวก็มีคนตั้งสิบล้านคน จะไปซุกตัวอยู่ในมุมใดมุมหนึ่งก็น่าจะทำได้ อย่างชายคนนี้แกก็ใช้ชีวิตแบบนี้แหละ
แต่แม้จะหนีโลกที่คุ้นเคย หนีวิถีชีวิตที่คุ้นเคย หนีครอบครัว แต่ว่าอย่างหนึ่งที่หนีไม่พ้น ก็คือความทรงจำที่เจ็บปวด อดีตที่เจ็บปวด ที่เคยเป็นเหตุให้ลูกน้องต้อง ตายคาโต๊ะ หรือว่าทิ้งเมียให้ตายอยู่คนเดียวโดยที่ไม่มีเวลาดูใจ
เพราะฉะนั้นแม้ว่าจะมีความสุขกับชีวิตที่สมถะ แต่ก็ยังมีริ้วรอยของความทุกข์อยู่ เพราะว่าหนีอะไรก็หนีได้ แต่หนีความทรงจำ มันหนีไม่พ้น แต่สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะเผชิญหน้ากับมัน เผชิญหน้ากับอดีตที่เจ็บปวด ก็ใช้เวลาอยู่นาน แต่พอเรียนรู้ที่จะยอมรับ อดีตที่เจ็บปวด ความผิดพลาดที่ผ่านมา พอยอมรับได้นี่ แววตาก็สดใสเลย มีรอยยิ้ม ปรากฏว่าเหมือนกับมีชีวิตใหม่
จริงๆ แล้วคนเราแม้เราจะหนีครอบครัว หนีสังคมที่คุ้นเคย แม้เราจะปฏิเสธชีวิตที่เคยผ่านมา ปฏิเสธค่านิยมที่เคยลุ่มหลง จนกระทั่งเป็นเหตุให้พาคนอื่นไปเจอความทุกข์ แม้ว่าเราจะหนีอะไรก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่มันหนีได้ยาก ก็คือความเจ็บปวด อดีตที่เจ็บปวด
มันมีทางเดียวที่จะเป็นอิสระจากมันได้ คือการเผชิญกับมัน เพราะถ้าคนเราเผชิญกับมันได้ ยอมรับมันได้ มันก็เป็นอิสระ และถึงตอนนั้นก็เรียกว่ามีชีวิตใหม่ ก็ยังใช้ชีวิตเหมือนเดิม แต่มันเป็นชีวิตใหม่แล้ว เพราะว่ายอมรับอดีตที่เจ็บปวดได้
คนเรามันเลือกไม่ได้ เพราะว่าบางครั้งก็ต้องผ่านประสบการณ์ที่เจ็บปวด หรือว่า อาจจะเจอความโกรธแค้น แต่สิ่งเหล่านี้มันสามารถจะตามติดเราไปทุกที่ได้ ถ้าหากว่าไม่รู้จักจัดการกับมัน อย่างชายหนุ่มคนนี้แกก็หนี หนีโลก หนีสังคม หนีวิถีชีวิตที่ทำให้เกิดความเจ็บปวด หรือเกิดความผิดพลาดขึ้นมา ทั้งเศร้าใจ เสียใจ ทั้งคับแค้น
แต่ที่หนีไม่ได้คือหนีความทรงจำที่เจ็บปวด วิธีเดียวที่จะเป็นอิสระจากมันได้คือการเผชิญหน้ากับมัน
แล้วคนเราไม่ได้มีแต่ความเศร้าโศก เสียใจ ความรู้สึกผิด บางทีก็มีความโกรธ สิ่งนี้มันตามติดคนเราไปเหมือนกัน ไปอยู่ที่ไหน ความโกรธก็ยังสามารถเผาผลาญใจได้ เพราะว่ามันติดอยู่ในจิตใจ มันกลายเป็นความทรงจำไปแล้ว จนกว่าจะรู้จักเผชิญหน้ากับมัน
สำหรับความโกรธก็อาจจะเป็นการให้อภัย ให้อภัยคนที่ทำร้ายเรา ส่วนความรู้สึกผิดก็ต้องใช้การให้อภัยเหมือนกัน ให้อภัยตัวเอง แต่ว่าทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นได้ต้องเริ่มต้นจากการยอมรับมัน
มีผู้หญิงคนหนึ่งเป็นมะเร็ง แล้วเธอก็ทุกข์มาก ไม่ใช่ทุกข์กายอย่างเดียว แต่ทุกข์ใจด้วย แล้วเธอพบว่าสาเหตุที่ทุกข์ใจเป็นเพราะการไม่ยอมรับ ไม่ยอมรับอะไร ไม่ยอมรับโรคที่เกิดขึ้น ไม่ยอมรับเคราะห์ที่ตัวเองประสบ เธอพูดไว้ดี เธอบอกว่า ความจริงบางครั้งก็โหดร้าย แต่การไม่ยอมรับความจริงต่างหากที่โหดร้ายกว่า เพราะมันเป็นคุกที่ขังใจเราเอาไว้
เธอเป็นมะเร็งแล้วเธอไม่ยอมรับ ยอมรับมันไม่ได้ ทำไมต้องเป็นฉันๆ บางทีก็โทษหมอว่าทำไมวินิจฉัยช้า เสียเวลากว่าจะวินิจฉัยถูก บางทีก็โทษอะไรต่ออะไรที่ทำให้เกิดมลพิษขึ้นมาในอากาศ ในอาหาร แต่ทั้งหมดนี้อะไรก็ไม่ร้ายเท่ากับการไม่ยอมรับ ไม่ยอมรับความจริง เธอพูดไว้ดี การไม่ยอมรับความจริง มันเหมือนคุกที่ขังใจเราเอาไว้ คือไปต่อไม่ได้
แต่พอยอมรับได้ ใจมันเบาเลย แม้ว่ากายหรือความเจ็บป่วยมันจะรุนแรงขึ้น แต่ว่า ความทุกข์ใจนี่มันเบาบางแล้ว เพราะยอมรับได้
มันไม่ใช่แค่โรคภัยไข้เจ็บเท่านั้น การที่ถูกคนทำร้ายจนเกิดความโกรธแค้นพยาบาท หรือการที่ไปทำให้ใครบางคนต้องเดือดร้อน จนเกิดความเศร้าโศกเสียใจและความรู้สึกผิด พวกนี้ก็เหมือนคุกเหมือนกัน คุกที่สร้างด้วยอิฐก่อด้วยปูนมันยังมีวันออก พอพ้นโทษก็ออกมาจากคุกนั้นได้
แต่คุกที่เกิดในจิตใจ เกิดเพราะอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นความเศร้ ความรู้สึกผิด ความคับแค้น ถ้าปล่อยให้มันครองใจ หรือหลงเข้าไปในอารมณ์เหล่านี้ มันก็กลายเป็นคุกที่ออกได้ยาก บางคนจนตายก็ยังออกจากคุกนี้ไม่ได้ เพราะหนึ่งไม่รู้ตัว หรือสองไม่ยอมรับ ไม่สามารถเผชิญหน้ากับมัน
พอคนเราไม่สามารถยอมรับได้ หรือไม่สามารถเผชิญหน้ากับมันได้ มันก็ครอบงำใจเราไป บางทีจนตายเลย บางคนนี่โกรธแค้น ไม่ใช่ใคร โกรธแค้นลูกบ้าง โกรธแค้นสามีบ้าง ภรรยาบ้าง โกรธแค้นเพื่อนสนิทบ้างพยาบาท จนตายก็ไม่สามารถพบความสงบสุขได้ แม้ว่าตัวจะเป็นอิสระ แต่ใจไม่เป็นอิสระ เพราะว่าถูกคุมขังไว้ด้วยอารมณ์พวกนี้
ผู้ชายคนนี้ก็เหมือนกัน แกก็ถูกรัดรึงหรือว่าถูกคุมขัง จิตใจถูกคุมขังด้วยความรู้สึกผิด ความเศร้าเสียใจ แม้จะหนีแวดวงธุรกิจ แม้จะหนีครอบครัว แม้จะหนีวิถีชีวิตที่คุ้นเคย แต่ว่าความเศร้าเสียใจ ความรู้สึกผิดมันหนีได้ยาก จนกว่าจะเผชิญหน้ากับมัน ยอมรับมัน พอยอมรับมันได้นี่เป็นอิสระทันทีเลย ชายคนนี้ก็เหมือนกัน พอยอมรับมันได้ ใจรู้สึกโปร่งเบาเลย เหมือนกับมีชีวิตใหม่ มันเปรียบได้กับคนที่มีอิสระเพราะออกจากคุก ออกจากคุกทางใจ
คนเราถ้าเราไม่ระมัดระวัง มันก็ติดคุกแบบนี้ได้เหมือนกัน ตัวอาจจะเป็นอิสระ แต่ว่าใจมันถูกคุมขังด้วยอารมณ์ และที่มันคุมขังเราได้หรือมันพันธนาการเราได้ ก็เพราะ เราไม่เผชิญหน้ากับมัน ไม่ยอมรับมัน แต่การที่จะยอมรับมันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะว่าเผชิญหน้ากับมัน ก็เจ็บปวด
เหมือนกับมีแผลเรื้อรัง เป็นเพราะเสี้ยนตำหรือหนามแทง แผลเรื้อรังนี่ จะเอาเสี้ยนออก ก็ไม่ใช่ง่าย มันเจ็บ บางทีต้องเอาหนองออก ต้องบ่งหนองออก ต้องเอาเนื้อร้ายออก แต่ว่าพอยอมเจ็บสักครั้งหนึ่งแล้ว หลังจากนั้นมันก็จะหาย
การเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ที่เลวร้ายในอดีต โดยเฉพาะความรู้สึกผิด หรือความโกรธ มันก็เจ็บปวดพอๆ กัน แต่ว่าพอเผชิญหน้ากับมันได้ มันก็หมดพิษสงลง อะไรที่จะช่วยทำให้เราเผชิญหน้ากับมันได้ ก็คือสตินั่นแหละ ดูมัน เห็นมัน โดยที่ไม่หลงเข้าไปเป็นมัน ถ้าเรามีสติเห็นมัน เผชิญหน้ากับมัน ยอมเจ็บยอมปวด สุดท้ายเราก็สามารถจะหลุดจากพันธนาการ หรือว่าออกจากคุกทางใจได้
คุกทางใจมีหลายอย่าง มีทั้งความเศร้าโศก ความเสียใจ ความรู้สึกผิด ความโกรธแค้นพยาบาท ความอาลัยอาวรณ์ แต่ทั้งหมดนี้มันต้องเริ่มต้นจากการเผชิญหน้ากับมัน ถ้าเรามีสติรู้จักวิชา “รู้ซื่อๆ” ดูมัน โดยไม่เผลอพลัดเข้าไปเป็นมัน หรือเข้าไปจมอยู่ในอารมณ์ มันก็ออกมาได้เหมือนกัน
หรือเดี๋ยวนี้คุกที่ขังคน ขังใจคนจำนวนไม่น้อยคือความซึมเศร้า เป็นกันเยอะ เพราะว่าปล่อยใจให้ไปจมอยู่กับอารมณ์ต่างๆ หรือปล่อยใจให้ไปจมอยู่กับเหตุการณ์ในอดีตที่เจ็บปวด พอหลุดออกมาไม่ได้ก็กลายเป็นจมดิ่ง เกิดภาวะซึมเศร้าขึ้นมา ซึ่งก็เป็นภาวะที่สร้างความทุกข์ให้กับผู้คน ที่ยิ่งกว่าติดคุกเสียอีก ติดคุกที่มันก่อด้วยอิฐสร้างด้วยปูน ก็ยังไม่ร้ายเท่ากับติดคุกทางใจที่ว่า แต่ถ้าหากว่าสามารถเผชิญกับมันได้ ก็เป็นอิสระ
อย่างที่ว่า หนีอะไรก็หนีได้ แต่หนีอารมณ์พวกนี้มันหนียาก โดยเฉพาะอารมณ์ที่เกี่ยวเนื่องกับอดีตที่เจ็บปวด การที่คนเราสามารถจะหลุดจากอดีต กลับมาอยู่กับปัจจุบันได้ มันเป็นวิชาที่สำคัญมาก เพราะช่วยทำให้เรามีชีวิตเต็มร้อยอย่างแท้จริง ทุกวันนี้คนพูดถึงการมีชีวิตเต็มร้อย แต่ส่วนใหญ่หมายถึงการเที่ยว การสนุกสนานให้เต็มฟัดเต็มเหวี่ยง
แต่จริงๆ แล้วการมีชีวิตเต็มร้อยคือการอยู่กับปัจจุบัน อยู่ด้วยความรู้สึกตัว ไม่หลงจมอยู่กับอดีต หรืออารมณ์ที่เจ็บปวด ไม่ว่าจะเป็นความโศกเศร้า ความรู้สึกผิด หรือว่าความโกรธแค้นพยาบาท ถ้ายังอยู่กับอารมณ์เหล่านี้ ยังจมอยู่กับอารมณ์เหล่านี้ ก็ยากที่จะบอกได้ว่าเป็นชีวิตที่เต็มร้อย จะเรียกว่ามีชีวิตจริงจังๆ ก็ยังไม่ได้เลย เพราะว่าเป็นชีวิตที่หลงจมอยู่กับอดีต ไม่ใช่กับปัจจุบัน.