พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 5 มีนาคม 2568
เมื่อปี 2540 มีโยมที่ประเทศอเมริกานิมนต์ให้หลวงพ่อคำเขียนไปแสดงธรรม แล้วก็ไปสอนการเจริญสติที่ประเทศอเมริกา ตอนนั้นอาตมาก็ไปด้วยในฐาล่าม ที่ที่เราไปพำนักก็คือวัดจวงเหยิน เป็นวัดที่ก่อสร้างโดยคนอเมริกันที่มีเชื้อสายจีนไต้หวัน
หลวงพ่อไปแสดงธรรม แล้วก็สอนการเจริญสติประมาณ 2-3 เดือน ส่วนใหญ่เป็นคนอเมริกันเชื้อสายจีนที่ไปปฏิบัติ เขาก็ตั้งใจปฏิบัติ เช้าจนถึงเย็น แล้วก็ค้างกลางคืน รุ่งขึ้นก็ปฏิบัติ เรียกว่าเป็นคอร์ส คอร์สหนึ่งก็ประมาณสัก 7 วัน ไปครั้งนั้นก็มีหลายคอร์ส
มีวันหนึ่งขณะที่หลวงพ่อกับอาตมากำลังเดินจงกรมเป็นเพื่อนโยมที่มาปฏิบัติ ก็มีฝรั่งคนหนึ่งคงเป็นอเมริกัน มาหาหลวงพ่อ ปกติคนอเมริกันที่เป็นคนผิวขาว ไม่ค่อยมาที่วัดจวงเหยินเท่าไหร่ คนที่มาก็เป็นคนอเมริกันเชื้อสายจีน ก็แปลกใจว่าเขามาที่นี่ทำไม หรือว่าเขาสนใจพุทธศาสนา เพราะว่าฝรั่งก็มีความสนใจพุทธศาสนาเยอะ วัดนั้นก็เคยนิมนต์ทะไลลามะมาแสดงธรรม คนก็มากันเยอะ เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นทะไลลามะตัวเป็นๆ แต่ว่าเห็นไกลๆ
ฝรั่งคนนี้อยากจะมาพบหลวงพ่อ แต่พอแกมาใกล้ๆ ก็ได้กลิ่นเหล้า สีหน้าแกก็ดูหม่นหมอง เครียด แปลกใจว่าแกจะมาทำอะไร คงจะไม่ได้สนใจการเจริญสติเท่าไหร่ น่าจะมีปัญหาความทุกข์ใจ ก็เลยให้แกเล่าว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงมาที่วัดนี้
แกเล่าว่าเมื่อ 2 วันก่อน ไปเจอเงิน 1,000 ดอลลาร์เป็นแบงก์ตกอยู่ใกล้ๆ กับธนาคาร แกเดินผ่านไปพอดีก็เจอ เลยเก็บมาใส่กระเป๋า ทีแรกคิดว่าจะหาทางคืนเจ้าของ แต่ตอนหลังก็มีความคิดหรือความอยากว่าควรจะเก็บเข้ากระเป๋าตัวเองมากกว่า เพราะว่าตอนนี้ไม่ค่อยมีเงิน แล้วก็อีกอย่างหนึ่ง เงินนี้ก็ไม่ได้มีเจ้าของ ถ้าจะเก็บไปเลย มันก็ไม่ได้ผิดอะไร
แต่อีกใจหนึ่งก็มีเสียงท้วงว่า มันไม่ดี มันไม่ใช่เงินของเรา ถ้าหยิบเก็บใส่กระเป๋ามันก็ไม่ต่างจากขโมย ก็เกิดการโต้เถียงกันข้างใน ใจหนึ่งก็อยากจะเก็บเอาไว้ใช้ส่วนตัว แต่อีกใจหนึ่งก็รู้ว่ามันไม่ถูกต้อง แล้วก็อยากจะหาทางคืนเงินให้กับเจ้าของ ก็เถียงกันหนัก และคงเครียด เพราะใจมันคงโน้มเอียงไปทางเก็บเงินเอาไว้ใช้เอง แต่ว่าอีกใจหนึ่งก็รู้ว่ามันไม่ถูก เกิดความขัดแย้งข้างใน
พอเครียดมากๆ ก็เลยหาเหล้ามาย้อมใจ กินเหล้าเพื่อดับความเครียด แต่ปัญหายังไม่หมด เพราะว่ายังตกลงไม่ได้ว่าจะทำอย่างไรกับเงินนี้ ใจหนึ่งก็อยากเก็บเอาไว้ใช้ เพราะ 1,000 ดอลลาร์ก็ไม่ใช่น้อย แต่ว่าอีกใจหนึ่งก็รู้ว่าไม่ถูกต้อง ตกลงไม่ได้
พอขับรถผ่านมาเจอวัด เลยเลี้ยวเข้าวัดเพื่อจะมาปรึกษาพระ ซึ่งก็บังเอิญเป็นหลวงพ่อ ว่าควรจะทำอย่างไรดี การที่เขาเลี้ยวรถเข้ามาในวัด ก็แสดงแล้วว่าเขาอยากจะคืนเงินให้กับเจ้าของ แต่ว่าอีกใจหนึ่งก็เกิดความโลภ อยากได้เงินก้อนนั้น
หลวงพ่อก็เลยแนะนำว่า ควรจะหาทางคืนเจ้าของ คนนั้นก็บอกว่า ไม่รู้จะคืนอย่างไร เพราะว่าเงินมันตกอยู่ที่หน้าธนาคาร ไม่ใช่กระเป๋าเงิน ถ้าเป็นกระเป๋าเงินก็ยังพอตามหาเจ้าของได้ แต่นี่มันมีแต่แบงก์ ก็แนะนำให้เขาไปแจ้งกับเจ้าหน้าที่ธนาคารว่าเก็บเงินได้ เพราะว่าคนที่ทำเงินตกอาจจะเป็นลูกค้าธนาคาร แกก็เห็นดีด้วย แล้วก็เดินจากไป
ท่าทางเขารู้สึกโล่งใจ คือใจเขารู้อยู่แล้วว่าการเก็บเงิน 1,000 ดอลลาร์มันไม่ถูกต้อง อันนี้เรียกว่าเป็นใจที่มีความใฝ่ดี รู้ผิดชอบชั่วดี แต่มันก็มีอีกใจคือใจที่อยากได้ ใจที่ใฝ่กิเลสหรือเจือด้วยกิเลส แล้วใจที่อยากได้เงินก้อนหรือใจใฝ่กิเลสมันทำท่าจะช ก็เลยหาทางเอาชกิเลสตัวนี้ด้วยการมาที่วัด
การที่เข้ามาวัด มันแสดงให้เห็นอยู่แล้วว่าเขาอยากจะคืนเงิน แต่ว่าความอยากจะเก็บเงินไว้ใช้มันก็รุนแรงมาก ใจหนึ่งเขาคงรู้สึกว่าสู้ใจใฝ่กิเลสไม่ไหว ก็เลยมาวัดเพื่อจะได้มีคนมาช่วย ช่วยเสริมใจที่ใฝ่ดี เพราะรู้ว่าถ้ามาวัด พระก็ต้องแนะนำว่าควรจะหาทางคืนเงินนั้นไป
อันนี้ก็เรียกว่า ใจของชายคนนี้ เขารู้ว่าควรจะทำอย่างไร แต่ว่ามันเพลี่ยงพล้ำต่อความอยากความโลภ แล้วก็ไม่อยากจะให้กิเลสมันเอาช แต่ก็ทำท่าจะพ่ายแพ้เพราะกิเลสมันแรงเหลือเกิน เงิน 1,000 ดอลลาร์ แล้วรายได้ก็ไม่ค่อยมี มันก็เป็นเหตุผลที่ควรจะเก็บเงินก้อนนี้ไปใช้เอง นี่ก็เป็นเหตุผลของกิเลส ใจใฝ่ดีมันก็สู้ไม่ไหว เลยต้องมาหาพระ ให้หลวงพ่อช่วย ทำให้สามารถที่จะทำในสิ่งที่ต้องการได้
ไม่รู้เหมือนกันว่าพอเขาออกจากวัดไป จากเดิมที่มีความมุ่งมั่นว่าจะคืนเงิน เพราะว่าใจใฝ่ดีมีกำลังแล้ว พอออกจากวัดไป เจอสิ่งล่อเร้าเย้ายวน เจอร้านเจอเหล้า อาจจะพ่ายแพ้ต่อกิเลสก็ได้ แต่นี่ก็แสดงให้เห็นว่าเราแต่ละคนมี 2 ตัวอยู่ในใจ จะเรียกว่าใจใฝ่ดีกับใจใฝ่กิเลสก็ได้
และบางครั้งใจใฝ่กิเลสมันก็รุนแรง เช่น เป็นความโลภ พอความโลภมันรุนแรงเข้า ใจใฝ่ดีก็ทำท่าจะยอมแพ้ แต่ว่ามันก็ยังรู้ว่าไม่ควร แต่ก็ไม่รู้ว่าจะต้านทานอย่างไร เลยต้องไปหาตัวช่วย
คนเราก็เป็นอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าคนเราจะมีความดีล้วนๆ ในตัว หรือว่ามีความชั่วล้วนๆ ในตัว มันมีทั้งความใฝ่ดี แล้วก็ความใฝ่กิเลส จะเรียกว่าตัวดีกับตัวร้ายก็ได้ และบางครั้งแม้จะรู้ว่าของบางอย่างไม่ควร แต่มันสู้ไม่ไหว แต่ก็ไม่อยากจะแพ้ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะสู้อย่างไร เพราะฉะนั้นบางทีก็ต้องหาตัวช่วย
มีผู้หญิงคนหนึ่ง เธอเปิดเฟซบุ๊กดู ก็เจอว่ามีร้านหนึ่งเขาขายของดีราคาถูก มีเสื้อผ้า รองเท้า กางเกง ของใช้ ของดีราคาถูก เธอก็อยากได้ เพราะว่าราคาไม่แพง แต่อีกใจหนึ่งก็บอกว่า ของเหล่านี้เธอก็มีเยอะอยู่แล้ว ที่ไม่ได้ใช้ก็ยังมีอีกมาก จะซื้อไปทำไม
แต่ว่าอีกใจหนึ่งมันก็ยังอยากซื้อ เพราะว่ามันเป็นของดีของสวย แล้วราคาก็ไม่แพง ร้านนี้ถ้าจะไปซื้อต้องไปด้วยตัวเอง เพราะเขาไม่รับเงินโอนธนาคาร ต้องไปซื้อด้วยเงินสด หมายความว่าต้องไปที่ร้าน
เธอใจอ่อน ยอมพ่ายแพ้ต่อความอยากได้ วันรุ่งขึ้นก็ไปไปที่ร้านนั้น ปรากฎว่าพอไปถึง เจ้าของร้านบอกว่ามีคนซื้อไปแล้ว แทนที่เธอจะเสียใจ กลับดีใจ โล่งใจเลย โล่งใจเพราะอะไร เพราะว่าใจที่ใฝ่ดีก็ไม่อยากจะซื้ออยู่แล้ว แต่มันพ่ายแพ้ต่อความโลภหรือใจใฝ่กิเลส ทั้งที่ก็รู้ว่ามันไม่ดี เพราะว่ามีของเยอะอยู่แล้ว แต่ห้ามใจไม่ได้
อย่างที่เรามักจะได้ยินคำว่า ดีชั่วรู้หมดแต่อดใจไม่ได้ ใจเธอพ่ายแพ้ต่อความอยาก อันนี้ก็เรียกว่าเป็นตัวใฝ่กิเลสที่มันผลักดันให้เธอยอมที่จะเดินทางไปที่ร้านนั้น แต่ว่าพอไปถึงแล้ว ของมีคนซื้อไปแล้ว เธอดีใจเลย ดีใจที่ไม่ได้ทำตามใจกิเลส
ที่จริงตอนที่รถติด เธอก็ดีใจแล้ว ดีใจที่รถติด ทั้งที่กำลังเดินทาง จะไปซื้อ แต่ว่าพอรถติดก็แอบดีใจเล็กๆ ว่า ถ้ารถติดก็ดีเหมือนกัน เพราะถ้าไปช้าก็อาจจะโดนคนซื้อตัดหน้า แล้วก็จริงด้วย
จะว่าไปแล้วอาจจะเป็นไปได้ว่า เธอตั้งใจที่จะออกเดินทางไปร้านตอนสายๆ ถ่วงเวลาไว้ ถ่วงเวลา เพราะรู้ว่าถ้าออกสายรถจะติด รถติดกว่าจะไปถึงก็อาจจะโดนคนอื่นเขาซื้อตัดหน้าไป อันนี้ก็เรียกว่าเป็นความปรารถนาส่วนลึกของใจที่ใฝ่ดี มันรู้ว่ายอมตามกิเลสซื้อของอีกมันไม่ดี แต่ห้ามใจไม่ได้ แต่ก็หวังว่าจะมีตัวช่วย
ตัวช่วยคืออะไร คือรถติด แต่ว่าจะทำให้ตัวช่วย มันทำงานได้ก็ต้องออกสายๆ หน่อย อาจจะเป็นความตั้งใจที่ไม่รู้ตัว หรือที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังลึกๆ ว่าไม่อยากจะไปซื้อเลย แต่ห้ามใจไม่ได้ ก็อดคิดลึกๆ ไม่ได้ว่า ขอให้มีคนซื้อตัดหน้าไป จะได้ไม่ต้องซื้อเอง ก็เลยตั้งใจออกรถสาย อันนี้อาจจะเป็นความตั้งใจของจิตไร้สำนึกก็ได้ ที่มันไม่อยากจะซื้อ แต่ก็ไม่รู้จะห้ามอย่างไร
คนเราจะมีการต่อสู้ระหว่างตัวขาวกับตัวดำเสมอ หรือว่าใจใฝ่ดีกับใจใฝ่กิเลส และบ่อยครั้ง ใจใฝ่กิเลสก็ช แต่ว่าใจใฝ่ดีก็ยังไม่อยากจะยอมแพ้ แต่ก็สู้ไม่ได้ ทัดทานไม่ไหว ก็เลยต้องหาตัวช่วย เป็นการหาตัวช่วยโดยที่อาจจะไม่รู้ชัด แต่ว่ามันเป็นความปรารถนาส่วนลึกก็ได้
แต่บางคนก็รู้ตัว รู้ตัวว่ากิเลสมันแรง ก็ต้องหาทางพยายามขัดขวางไม่ให้กิเลสมันทำงาน หรือว่าบงการจิตใจของตัวเองได้
อย่างมีผู้หญิงคนหนึ่งแกชอบชอปออนไลน์ ไถโทรศัพท์มือถือ แล้วก็เห็นพวกสินค้าที่สวย รองเท้า เสื้อ กางเกง บางทีก็มีแท็บเล็ตรุ่นใหม่ ราคาไม่แพง ส่วนลดก็เยอะ เพราะเดี๋ยวนี้เขามีอุบายล่อให้เราอยากจะซื้อ แล้วเธอก็พลาดท่าเสียทีอยู่เรื่อยๆ ซื้อสินค้าออนไลน์
มีบัตรเครดิต รูดบัตรจนใช้เงินในวงเงินของบัตรเครดิตหมดไปแล้ว ก็ต้องไปถอยใบใหม่มา จนกระทั่งมีบัตรเครดิตอยู่ในมือ 5-6 ใบ ก็รู้ว่ามันไม่ดี เพราะว่าเป็นหนี้เยอะมาก แต่มันห้ามใจไม่ได้ เห็นแล้วก็อยากซื้อ มันก็มีเหตุผลมากมายที่จะซื้อ ของมันถูก ของมันดี ใจอ่อน ซื้อไปแล้วก็รู้สึกเสียใจว่าเราไม่น่าพ่ายแพ้กิเลสเลย แต่ว่ามันห้ามใจไม่ได้ แล้วเธอก็รู้ว่าเป็นหนี้เป็นสินเยอะเหลือเกิน อย่างนี้ไม่ไหวแน่ ไม่รู้ว่าทำอย่างไร
เวลาอยากได้ขึ้นมา หาทางขัดขวางไม่ให้กิเลสได้ทำสมอยาก เขาก็จะเอาบัตรเครดิตไปใส่ตู้เย็น ก่อนอื่นก็ใส่ในแก้วที่มีน้ำ แล้วเอาแก้วน้ำพร้อมกับบัตรเครดิตไปแช่ไว้ในฟรีซเซอร์ ให้มันเย็น ให้มันแข็งไปเลย เพราะอะไร เพราะว่าเวลาอยากจะซื้อ ก็ต้องไปหยิบบัตรเครดิตมา ก็ต้องใส่เลขที่
แต่ว่าเอาบัตรเครดิตออกมาจากแก้วน้ำไม่ได้ เพราะแก้วน้ำเป็นน้ำแข็งไปแล้ว ต้องรอให้น้ำแข็งละลาย กว่าจะเอาบัตรเครดิตออกมาได้ และกว่ามันจะละลายก็ประมาณ 15-20 นาที ถึงตอนนั้นก็อาจจะมีความยับยั้งชั่งใจ ไม่ทำตามอำนาจกิเลส
นี่เป็นวิธีการของคนบางคนที่เขารู้สึกว่า สู้กับกิเลสบางทีก็สู้ยาก ต้องหาตัวช่วยใจใฝ่ดี เพื่อไม่ให้กิเลสมีอำนาจก่อความเสียหายกับตัวเองได้ แล้วหลายครั้งก็ได้ผล เพราะว่ากว่าน้ำแข็งจะละลาย หยิบบัตรเครดิตขึ้นมา มันก็ได้สติ อันนี้ก็เรียกว่าเป็นการหาตัวช่วย ที่ว่า ช่วย มีอยู่ 2 อย่าง ช่วยใจใฝ่ดีกับช่วยทัดทานใจใฝ่กิเลส
หลายคนก็รู้ว่าติดโทรศัพท์มือถือ จนกระทั่งไม่เป็นอันหลับอันนอน แม้กระทั่งวันเสาร์อาทิตย์ก็ไม่ได้หยุด ไม่ได้พักผ่อน ไถโทรศัพท์เพราะติดเกมบ้างล่ะ หรือว่าติดพนันออนไลน์บ้างล่ะ พอเป็นอย่างนี้จนดึกๆ ดื่นๆ ขนาดไปเที่ยว ไปพักผ่อน ก็ยังไถโทรศัพท์ทั้งวัน ก็รู้ว่าไม่ดี แต่ว่าห้ามใจไม่ได้ ทำอย่างไร
เวลาไปเที่ยว แกก็จะเลือกไปที่ที่มันไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ เพราะว่าพอไม่มีสัญญาณ มือถือก็แทบจะใช้อะไรไม่ได้ โดยเฉพาะสัญญาณเน็ต ตัวใจใฝ่ดีไม่มีแรงต้านทานพอที่จะสู้กับใจใฝ่กิเลส หรือว่าการเสพติดโทรศัพท์ ก็ต้องอาศัยตัวช่วย คือไปที่ที่มันไม่มีสัญญาณ ทำให้ไม่สามารถสนองความต้องการกิเลสได้
แต่มันก็ช่วยได้ชั่วคราว เพราะว่าพอกลับมาที่บ้าน กลับมาสู่สังคม กลับมาสู่โลกภายนอก ก็เกิดปัญหานี้ขึ้นมาอีก ใช้โทรศัพท์ไม่บันยะบันยัง แต่อย่างน้อย เสาร์อาทิตย์ก็ยังมีโอกาสได้พักบ้าง คือใจใฝ่ดีมันต้านทานกิเลสไม่ไหว ก็เลยต้องหาตัวช่วย ตัวช่วยนี่อาจจะเป็นสถานที่ อาจจะเป็นคน อาจจะเป็นกติกาเงื่อนไข คนเราจำเป็นต้องมีตัวช่วยใจใฝ่ดี เพราะไม่อย่างนั้นมันจะแพ้ใจใฝ่กิเลส
บางคนติดเหล้า เลิกเหล้าไม่ได้เสียที ก็เลยจะตัดสินใจบวช บวชเพราะอะไร บวชเพราะจะได้ทำตามใจกิเลสลำบาก บางทีก็เลือกสำนักที่เคร่งเคร่งวินัย เพื่อว่าจะได้ทำตามอำนาจของกิเลสได้ลำบาก อันนี้เพราะรู้ตัวว่าใจอ่อน ไม่มีแรงพอที่จะต้านทานกิเลสได้
บางคนก็ติดเหล้า บางคนติดบุหรี่ บางคนติดเกม เลิกไม่ได้ก็ต้องมาบวชพระ แล้วก็เลือกสำนักที่เขาเคร่งหน่อย ยึดโทรศัพท์ได้ยิ่งดีเลย ใจหนึ่งก็ดีใจที่ถูกยึดโทรศัพท์ เพราะมันจะได้ทำตามกิเลสไม่ได้ เพราะถ้ามีโทรศัพท์เมื่อไหร่ก็อดไม่ได้ที่จะใช้
แต่ปัญหาคือ พอสึกออกไป เหมือนเดิม อย่างมีหลายคนติดเหล้า พอมาอยู่วัด สำนักที่เคร่ง เลิกเหล้าไปได้ บุหรี่ก็ยังไม่แตะเลย เคร่งมาก แต่พอสึกไป เมาเหมือนเดิม เมาหยำเป บางคนตายเพราะโรคสุราเรื้อรังก็มี ทั้งที่ตอนเป็นพระนี่เคร่งมาก
อันนี้เป็นเพราะว่าพึ่งตัวช่วยมากเกินไป การที่เรามีตัวช่วยเป็นของดี แต่ต้องรู้ว่าเป็นของชั่วคราว มันต้องอาศัยตัวช่วยเพื่อทำให้ใจใฝ่ดีมีกำลัง โดยเฉพาะสติและปัญญา ถ้าหากว่ามาบวชแล้ว ไม่ใช่แค่อาศัยวินัยหรือระเบียบของวัด ปกป้องให้ตัวเองห่างไกลจากอบายมุข
มันก็ดีอยู่หรอก แต่ว่าต้องเสริมสร้างพลังภายในด้วย สติและปัญญา รวมทั้งขันติ มันจะช่วยทำให้ใจใฝ่ดีมันมีกำลังที่จะต้านทานกับใจใฝ่กิเลส หรือทำให้ตัวขาวมันมีแรงเอาชตัวดำได้ ตัวดีเอาชตัวร้ายได้
เพราะฉะนั้นจะพึ่งแต่วินัย พึ่งแต่ตัวช่วยอย่างเดียวไม่พอ มันต้องปฏิบัติธรรมด้วย และเวลาเราปฏิบัติธรรมก็ต้องรู้ว่า แม้เราจะมาเจริญสติ มันก็ยังหนีไม่พ้นการต่อสู้กันระหว่างตัวดีกับตัวร้าย หรือว่าตัวรู้กับตัวหลง
ตัวหลงมันมีกำลัง ตัวร้ายก็มีกำลัง แม้ว่าจะทำตามอำนาจตัวร้ายไม่ได้สะดวก แต่ว่าก็ยังพลาดท่าตัวหลงได้ ตัวหลงมันมีกำลังมาก การปฏิบัติเพื่อที่จะทำให้ตัวรู้มีอำนาจเหนือตัวหลงได้ ก็ต้องอาศัยตัวช่วย
ที่หลวงพ่อเทียนท่านให้ยกมือสร้างจังหวะ การสร้างจังหวะ 14 จังหวะก็เป็นตัวช่วย ช่วยทำให้เกิดความรู้สึกตัว แล้วที่เปิดตา ไม่ปิดตา ก็เป็นตัวช่วยไม่ให้ติดในความสงบ เพราะความสงบถ้าติดแล้ว ก็เป็นหลงอีกแบบหนึ่ง การเดินกลับไปกลับมาก็เป็นตัวช่วย เพราะว่าถ้าเดินยาว เดินรอบยาว มันก็จะหลงง่าย
หลายคนไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเดินกลับไปกลับมา หรือทำไมเวลายกมือสร้างจังหวะต้องหยุดสักนิดหน่อย แต่ละจังหวะๆ ต้องหยุดสักนิด แล้วก็ไปต่อ นี่เป็นตัวช่วย เพราะถ้าหากว่ายกมือสร้างจังหวะเป็นสายยาวเลย มันเปิดช่องให้ความหลงเล่นงานได้
เพราะว่าคนเราเวลาใจลอย หรือกำลังมันกับความคิด มันจะยกมือเป็นสายเลย ไม่มีหยุด การที่เราหยุดสักพักหนึ่ง มันทำให้ความคิดสะดุด พอความคิดสะดุด ตัวหลงก็พลอยสะดุดไปด้วย เปิดช่องให้ตัวรู้หรือสติเข้ามาทำงานแทน เพราะฉะนั้นการกลับไปกลับมา หรือว่าการยกมือสร้างจังหวะแล้วหยุด แต่ละจังหวะๆ มันช่วย
หรือแม้แต่การทอดสายตา ทำไมไม่มองไกลๆ ทำไมต้องมองที่พื้น นี่ก็เป็นตัวช่วย ช่วยไม่ให้มันฟุ้ง แต่ถ้าเดินช้ามันก็ทำให้เครียดง่าย
เราต้องรู้จัก เวลาเราเจริญกรรมฐาน หรือว่าเราจะทำสิ่งดีงามก็ตาม มันต้องมีตัวช่วยเสมอ โดยเฉพาะสำหรับผู้ฝึกใหม่ ต้องรู้จักหาตัวช่วย จะเป็นสถานที่ จะเป็นผู้คน เป็นสิ่งแวดล้อม เป็นวิถีชีวิต หรือกติกาที่สร้างขึ้นมาเอง พวกนี้เป็นตัวช่วยได้
เวลาเราฟุ้งๆ เราก็หาตัวช่วยที่ทำให้ใจมันไม่ฟุ้ง เวลาง่วง หาตัวช่วย ทำอย่างไร ก็เอาน้ำล้างหน้า หรือไม่ก็มองไปที่ท้องฟ้ากว้างๆ เห็นแสงสว่างก็ช่วยทำให้หายง่วงหายเครียดได้ พวกนี้เป็นตัวช่วยที่เราต้องรู้จัก มันจะเป็นกำลังให้กับตัวรู้ สามารถเอาชตัวหลงได้
เพราะฉะนั้นต้องรู้จักหาตัวช่วยให้กับตัวเอง ตัวช่วยสำหรับตัวรู้หรือตัวช่วยสำหรับใจใฝ่ดี ถ้ามันมีตัวช่วยอย่างนี้ มันก็ทำให้ใจเรามีพลัง มีความเข้มแข็ง เอาชกิเลส เอาชตัวหลงได้.