พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 7 มีนาคม 2568
ชีวิตของเราเดี๋ยวนี้ มีความสะดวกสบายมากขึ้นแม้กระทั่งอยู่ในวัดที่นี่ทั้งๆ ที่ไม่ค่อยมีสิ่งอำนวยความสะดวกเหมือนกับในเมืองหรือเหมือนกับที่บ้าน แต่มันก็มีหลายอย่างที่นำความสะดวกสบายให้กับเรา อยู่ที่ว่าเราจะสังเกตหรือไม่
เพราะบางทีเราก็อยู่กับมันมานาน จนไม่รู้ว่าจริงๆ แล้ว มันก็เป็นสิ่งที่เพิ่มเข้ามาใหม่ เพื่อทำให้ชีวิตเราสะดวกสบายมากขึ้น อย่างเช่น ไฟฟ้า น้ำประปา อันนี้ก็เป็นความสะดวกสบายอย่างหนึ่งที่คนสมัยนี้นึกว่าเป็นธรรมดาไปแล้ว จนกระทั่งไม่สังเกตว่า มันคือสิ่งหนึ่งที่ทำให้ชีวิตเราสะดวกสบายมากขึ้น
สมัยก่อนที่วัดนี้ไม่มีไฟฟ้า กลางค่ำกลางคืนก็ต้องจุดเทียน หรือไม่ก็ใช้ตะเกียง จะพูด จะบรรยายธรรม ก็ไม่มีไมโครโฟน ก็ต้องพูดเสียงดัง สมัยก่อนคนก็ไม่เยอะอยู่แล้ว เพราะว่าการคมนาคมไม่สะดวกสบาย เรียกว่ากันดาร หลายคนก็ไม่กล้ามาเพราะว่ากลัวความยากลำบาก แต่เดี๋ยวนี้ก็สบายขึ้นเยอะ แต่คนที่มาใหม่ คนที่มาจากบ้าน มาจากในเมือง ก็อาจจะรู้สึกว่ามันไม่ค่อยสะดวกสบายเท่าไหร่ แต่ถ้าพิจารณาดีๆ สะดวกมาก
เดี๋ยวนี้แม้กระทั่งไปไหนมาไหน ก็ไม่ต้องขึ้นรถสองแถวแล้ว แต่ก่อนก็ต้องเดินไปขึ้นรถสองแถวที่ท่ามะไฟหวาน หรืออย่างดีก็กุดโง้ง รอรถ มาบ้างไม่มาบ้าง แล้วรถก็ไปจอดอยู่ที่ตลาดแก้งคร้อ สุดทางแค่นั้น ก็ต้องหาทางนั่งรถเมล์ต่อไปชัยภูมิ ถ้าจะขึ้นรถไปกรุงเทพฯ ก็ต้องขึ้นรถกันที่นั่น หรือไม่ก็อาจจะรอรถที่แก้งคร้อ แต่เดี๋ยวนี้เราเดินทางกันได้สะดวก เพราะเรามีรถยนต์
แต่เราก็มักจะลืมไปนะว่า ความสะดวกสบายมักจะตามมาด้วยภาระ ไม่เคยมีความสะดวกสบายอย่างใดที่ได้มาฟรีๆ มันต้องมีภาระพ่วงเข้ามาด้วย อย่างเช่น รถ เรามีรถก็จริง ไม่จำเป็นต้องเป็นรถวัด เป็นรถส่วนตัวก็จะยิ่งเห็นชัด รถพาเราไปไหนได้รวดเร็วสะดวกสบาย ไม่ต้องเดินทาง ไม่ต้องหอบหิ้วสัมภาระ ขนใส่รถได้เลย แต่เราก็ต้องดูแลเอาใจใส่มัน
ภาระที่ว่าไม่ใช่แค่ภาระในการดูแลไม่ให้มันเสื่อมมันเสียเร็ว หรือรวมไปถึงภาระในการดูแลไม่ให้ใครขโมยไป แต่ยังรวมไปถึงการทำงานหาเงิน เพื่อได้มีเงินมาซื้อน้ำมัน ซื้อแก๊ส ซื้ออะไหล่ หรือจ่ายค่าซ่อม เดี๋ยวนี้ก็ต้องมีเงินสำหรับการจ่ายภาษี รวมถึงประกันภัยด้วย พวกนี้มันจะเรียกเป็นภาระก็ได้ จะว่าไปแล้วมันก็ทำให้เราหมดเวลาไปกับเรื่องนี้ไม่ใช่น้อย ซึ่งบางทีก็น่าสงสัยว่ามันคุ้มกันหรือเปล่า
มีการคำนวณ คนอเมริกันปีหนึ่งใช้รถในการเดินทางประมาณ 7,500 ไมล์ ก็ประมาณ 12,000 กม. แต่ว่าใช้เวลากับรถปีละ 1,600 ชั่วโมง อันนี้เริ่มตั้งแต่เวลาที่ใช้ในการขับรถ ระหว่างที่รถติด ก็เสียเวลาไปอยู่ในรถ เวลาที่ใช้ในการเช็ดล้าง แล้วก็รวมไปถึงการเติมแต่ง หรือซ่อม
และยังรวมไปถึงเวลาที่ใช้ไปกับการทำงานเพื่อจะได้มีเงิน มาซื้อรถ ผ่อนรถ จ่ายค่าน้ำมัน รวมเวลาทั้งหมดเหล่านี้แล้วประมาณ 1,600 ชั่วโมงต่อปี เฉลี่ยวันละ 4.5 ชั่วโมง 7,500 ไมล์ ที่ใช้ในการเดินทาง หารด้วย 1,600 ชั่วโมง ปรากฏว่าชั่วโมงหนึ่งรถพาเราไปได้แค่ไม่ถึง 5 ไมล์ หรือ 8 กม. เท่านั้น พอคิดสรตะแล้ว รถทำให้เราเคลื่อนที่ไปไหนมาไหนได้ ชั่วโมงหนึ่งก็ 8 กม. เท่านั้นแหละ ซึ่งน้อยกว่าความเร็วของรถจักรยาน รถจักรยานพาเราไปเร็วกว่านั้น มากกว่า 8 กม./ชม.
อันนี้เขาก็ชี้ให้เห็นว่า จริงๆ ความสะดวกสบายที่เราได้รับจากรถยนต์ เช่น ทำให้ถึงที่หมายได้อย่างรวดเร็ว จริงๆ มันก็ไม่ได้รวดเร็วขนาดนั้น เพราะพอเราคิดถึงเวลาที่ใช้ไปกับการดูแลเอาใจใส่มัน หาเงินซื้อรถ หาเงินผ่อนรถ จ่ายภาษี จ่ายค่าน้ำมัน อันนี้ก็เรียกเป็นภาระ ซึ่งภาระที่เราจ่ายไปกับประโยชน์ที่เราได้รับ บางทีมันก็อาจจะไม่ค่อยคุ้มกันเท่าไหร่ อันนี้ก็เป็นการคำนวณเมื่อหลายสิบปีมาแล้ว ถึงตอนนี้มันอาจจะไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่ หรืออาจจะต่างกันไม่มากก็ได้
เพราะฉะนั้นความสะดวกสบายที่เราได้จากรถยนต์ มันไม่ใช่ได้มาเปล่าๆ มันมาพร้อมกับภาระ ซึ่งเราอาจจะมองไม่ถี่ถ้วน แต่ถ้าเรามาคำนวณจริงๆ แล้ว มันก็ไม่ใช่น้อย แล้วก็อาจจะทำให้น่าสงสัยว่ามันคุ้มหรือเปล่า ความสะดวกสบายที่เราได้รับกับภาระที่เราต้องแบกรับ หรือว่าลงทุนลงแรง
แล้วไม่ใช่รถยนต์อย่างเดียว โทรศัพท์มือถือก็เหมือนกัน มันให้ความสะดวกสบายกับเรา แต่มันก็กลายเป็นภาระ ภาระที่ว่ามันมีตั้งแต่ภาระในการดูแล รวมถึงเวลาที่ต้องใช้ไปกับการซ่อม การอัพเดท หรือว่าการอัพเกรด และที่สำคัญคือว่า หมดเวลาไปกับสิ่งที่ไม่ค่อยมีประโยชน์เพราะโทรศัพท์ ไม่ใช่น้อย
เดี๋ยวนี้ตัวกินเวลา ตัวดูดเวลาไปจากเราในชีวิตประจำวัน ตัวสำคัญก็คือโทรศัพท์มือถือ เพราะมีแล้ว มันไม่ได้แค่ทำให้เราสะดวกสบาย มันทำให้เรากลายเป็นทาสของมันได้ เพราะติดเกม ติดโซเชียลมีเดีย หรือว่าติดการพนันออนไลน์ ยังไม่นับที่ว่าพอหาย ก็เกิดเป็นภาระขึ้นมา ภาระทางใจ กลุ้มใจ เครียด
หรือเดี๋ยวนี้ภาระอีกอันหนึ่งก็คือการตกเป็นเหยื่อ หรือโอกาสที่จะตกเป็นเหยื่อของพวกแก๊งมิจฉาชีพ ก็มากขึ้นไปด้วย พูดอีกอย่างก็คือว่า ความสะดวกสบาย หรือว่าประโยชน์ที่เราได้รับ มันไม่เคยได้มาฟรีๆ มันจะพ่วงมากับภาระ หรือว่าสิ่งที่ต้องลงทุนลงแรงจ่ายไป ไม่ว่าจะเป็นเวลา ไม่ว่าจะเป็นเงินทอง รวมทั้งความสุข ของฟรี มันไม่มีอะไรที่ได้มาฟรีๆ ยังไงก็ตามมาด้วยภาระ หรือว่ารายจ่าย
สมมุติมีคนให้เพชรเรามา ให้ทองเรามา ยิ่งแพงมันยิ่งเป็นภาระ ได้มาแล้วก็ต้องหาทาง ต้องหาเงินมาซื้อเซฟ เพื่อที่จะได้ป้องกันคนมาขโมย บางทีก็ต้องติดกล้องวงจรปิด หรือไม่ก็ต้องสร้าง ก่อกำแพง หรือว่าติดลูกกรงหน้าต่างให้มันแน่นหนา นี่คือรายจ่าย หรือเป็นภาระที่เกิดขึ้นจากสิ่งที่เราได้รับ แม้จะเป็นของฟรี ไม่ได้จ่ายค่าเพชรค่าทองเลยแม้แต่บาทเดียว แต่ว่ามันต้องจ่ายมากมายเพื่อการดูแลรักษา แล้วยิ่งถ้าเกิดว่ามันเกิดหายขึ้นมา เสียอกเสียใจ บางทีเป็นลมไปเลย ตอนที่ยังไม่มีมัน อาจจะดีกว่าด้วยซ้ำ เพราะว่าไม่ต้องมีห่วง ไม่ต้องมีภาระ
โลกมันเป็นอย่างนี้ ได้อย่างก็เสียอย่าง ความสะดวกสบายมันก็ตามมาด้วยภาระ หรือว่ามีโทษตามมา ของชอบก็เหมือนกัน ใครๆ ก็อยากได้ของชอบ โดยเฉพาะของกิน ทุกวันนี้เรามีของชอบเยอะไปหมดเลย ไม่ว่าชอบเสพทางตา เสพทางปาก เสพทางหู แต่ว่ามันก็ทำให้เกิดโทษ เพราะว่าของชอบที่กินทางปาก มันก็ทำให้คนเราเกิดโรคภัยไข้เจ็บมากมาย
ไม่มีอะไรที่จะทำร้ายเรามากกว่าของที่เราชอบ ไม่ว่าจะเป็นอาหาร หนัง เพลง เกมออนไลน์ โซเชียลมีเดีย ไม่ต้องพูดไปถึงบุหรี่ หรือว่าเหล้า ยาเสพติด พวกนี้ของชอบทั้งนั้น แต่ว่าถ้าเราไม่รู้เท่าทันมัน ไอ้ของชอบเนี่ยที่มันทำร้ายเรา เดี๋ยวนี้คนก็เจ็บป่วยด้วยโรคร้ายเพราะว่าของชอบ อาหารที่มีน้ำตาลเยอะ ไขมันมาก อาหารที่ถูกปากทั้งนั้น แถมราคาไม่แพง หาซื้อง่าย ยิ่งไม่แพงยิ่งซื้อง่ายเท่าไหร่ ยิ่งทำร้ายเราได้มากเท่านั้น
อันนี้รวมไปถึงความสะดวกสบายที่ไม่ต้องไปใช้แรง เดี๋ยวนี้เรามีเครื่องทุ่นแรงเยอะ ความสะดวกสบายแบบที่ไม่ต้องใช้แรง ไม่ต้องใช้เท้า ไม่ต้องออกแรง รวมทั้งไม่ต้องออกกำลังกาย ทำให้คนป่วยด้วยโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคอ้วน สารพัดเลย
คนทุกวันนี้เวลาเสพอะไร หรือมีความปรารถนาที่อยากจะได้อะไร ไม่ว่าจะเป็นความสะดวกสบาย ของชอบ มักจะลืมไปว่า สิ่งเหล่านั้นมันพ่วงมากับภาระ โทษ หรือว่าปัญหา เพราะว่าไม่มีอะไรที่ได้มาฟรีๆ ได้อย่างก็เสียอย่าง หรืออาจจะเสียหลายอย่าง
เช่นเดียวกัน เวลาเรามีอะไร เราก็มักจะลืมไปนะว่าสิ่งที่เรามี ไม่นานก็ต้องเสื่อม ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องหมด มีกับหมดเป็นของคู่กัน ไม่มีอะไรที่มีแล้วไม่หมด ได้ก็เหมือนกัน ได้อะไรมามันก็พ่วงมา อะไรที่พ่วงติดมาก็คือการเสีย สูญเสียพลัดพราก ไม่มีอะไรที่เราได้มาแล้วไม่มีการสูญเสีย อยู่ที่ว่าช้าหรือเร็ว อันนี้ก็เรียกว่าเป็นการพ่วงมา หรือถ้าพูดภาษาสมัยใหม่คือมันเป็นแพ็กเกจ มันมาด้วยกัน มีกับหมด ได้กับเสีย
เช่นเดียวกัน พบก็มาพร้อมกับการพราก พบอะไรก็ตาม คนรัก คนที่ดีงาม ครูบาอาจารย์ สุดท้ายก็ต้องพราก เจอ ไม่ว่าเจออะไร สุดท้ายก็ต้องจาก เจอสิ่งที่สวยงามทางตา เจอคนที่ดีงาม สุดท้ายก็ต้องจากกัน อันนี้เรียกว่าพ่วงติดกันมา
เราจะมองแต่ด้านเดียว หรือมองแต่ด้านดีไม่ได้ มันต้องมองอีกด้านหนึ่ง เพราะไม่มีอะไรที่มันดีล้วนๆ มันมีเสีย หรือมันมีความพร่องตามมา ยังไม่นับความพร่องที่เป็นเรื่องของทุกขัง คือความเสื่อม ซึ่งที่จริง มีกับหมด ได้กับเสีย เจอกับจาก พบกับพราก นอกจากมันสะท้อนให้เห็นถึงอนิจจังของสรรพสิ่งแล้ว มันก็ยังบอกเราว่าทุกอย่างมันพร่อง มันไม่สมบูรณ์ เรียกทุกขัง
แต่คนมักจะลืมไป เวลาได้อะไรดีๆ ก็เห็นแต่ประโยชน์ของมัน ลืมนึกถึงโทษ โทษนี่ก็รวมถึงความเสื่อม ความไม่เที่ยง การสลายด้วย ภาษาพระเรียกว่าอาทีนวะ ประโยชน์ เช่น ความสะดวกสบาย ของอร่อย พวกนี้เราเรียกว่าอัสสาทะ เรียกว่าด้านดี หรือความเอร็ดอร่อยที่มันติด ทำให้เราชอบหรือติดใจเรา แต่เรามักจะมองข้ามไปว่า สิ่งที่พ่วงมากับอัสสาทะคืออาทีนวะ ไม่มีอะไรที่มันดีล้วนๆ ในโลกของสังขารมันมีดีก็ต้องมีเสียพ่วงติดมา
เช่นเดียวกัน เวลาเราได้รับคำชื่นชมสรรเสริญ เราก็มักจะมองข้ามความจริงว่า มันก็จะมาพร้อมกับคำต่อว่าด่าทอ ไม่มีใครที่ได้รับคำชมแล้วไม่มีคนตำหนิต่อว่า แม้กระทั่งพระพุทธเจ้า แต่ว่าคนส่วนใหญ่ก็ปรารถนาอยากจะได้คำชื่นชมสรรเสริญ ไม่ได้เฉลียวใจหรือตระหนักเลยว่า มันจะมาพร้อมกับคำต่อว่าด่าทอ
ดาราเกาหลี ดาราญี่ปุ่น หลายคนเขาอยากจะเป็นดารามีชื่อเสียง เพราะจะได้รับคำชื่นชมสรรเสริญ แต่ว่าพอเป็นดาราจริงๆ โอ้โห มันไม่ใช่มีแต่คำชื่นชม มันมีคำต่อว่า คำกระแนะกระแหน คำเสียดสี คำใส่ร้าย หลายคนทำใจไม่ได้ เพราะไม่ได้เตรียมใจมารับมือกับคำต่อว่าด่าทอ แค่คำวิจารณ์ก็ทำให้หลายคนทนไม่ได้ ฆ่าตัวตายก็มีเยอะเลย แล้วคนเราก็ไม่รู้ว่าการเป็นดารามีชื่อเสียง เป็นนักร้องนักแสดง มันไม่ได้มีแต่คำชมอย่างเดียว มีคำด่าด้วย
เช่นเดียวกันการเป็นนักการเมือง หลายคนอยากเป็นนักการเมือง อยากเป็นรัฐมนตรี มองแต่ด้านดี อัสสาทะ ไม่ได้มองว่ามันตามด้วยอาทีนวะ นอกจากภาระที่ต้องทำหน้าที่ให้ดี ถึงแค่นี้ก็หนักแล้ว เพราะอาจจะไม่ได้หลับไม่ได้นอน หรือไม่ได้พักผ่อนเต็มที่ ต้องเต็มไปด้วยความเครียด แถมยังต้องถูกด่าถูกวิจารณ์ ทำใจไม่ได้
เดี๋ยวนี้ไม่ใช่แค่รัฐมนตรี ตำแหน่งสูงๆ เป็นศาล เป็นกรรมการในองค์กรอิสระ เป็นอธิการบดี ใครๆ ก็อยากเป็น แต่ไม่เคยนึกเลยว่า หรือเฉลียวใจเลยว่า มันมาพร้อมกับภาระ มันไม่ได้มีแต่คำชื่นชมสรรเสริญชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลอย่างเดียว มันมาพร้อมกับคำต่อว่าด่าทอ คำวิพากษ์วิจารณ์ หลายคนมา อยากได้ตำแหน่งก็เพื่อคำชื่นชมสรรเสริญ หรือการมีเงินเดือนแพงๆ แต่ไม่ได้นึก ไม่ได้เตรียมใจว่าต้องเจอกับอาทีนวะ หรือคำต่อว่าด่าทอ ก็เลยเสียศูนย์ไปเลยก็มี
เช่นเดียวกัน เวลาเราทำไม่ดีกับใคร แม้แต่ต่อว่าด่าทอนินทาคนอื่น มันไม่ใช่ว่าพูดแล้ว หรือทำแล้วจบกัน มันก็ตามมาด้วยการถูกตอบโต้ ไปว่าเขา เขาก็ว่ากลับ บางคนเวลาว่าใคร ด่าใคร ก็สะใจ นินทาใครก็สะใจ แต่ว่าไม่ได้เตรียมใจรับมือกับการที่จะถูกตอบโต้ ถูกด่าว่า พอเจอเข้าไปก็เสียใจ คับแค้นใจ สะใจกับความคับแค้นใจมันก็มาด้วยกัน ทำอะไรเพื่อความสะใจ สุดท้ายก็ลงเอยด้วยความคับแค้นใจ
เวลาไปต่อว่าใครก็ไม่รู้สึกสะดุ้งสะเทือน แต่เวลาพอมีคนสะกิดนิดเดียวนี้เป็นทุกข์เป็นร้อน เพราะไม่ได้คิดเลยนะว่า การทำ การพูด ที่ไปต่อว่าด่าทอคนอื่น มันก็จะพ่วงมาพร้อมกับการถูกตอบโต้ ถ้าเกิดว่าทำใจไม่ได้ที่ถูกเขาว่า เพราะว่ามันเจ็บปวด มันทำให้เกิดความทุกข์ ก็อย่าไปพลั้งปากไปว่าใครเพียงเพื่อความสะใจ เพราะว่าสะใจกับเสียใจมันก็มาด้วยกัน มันเป็นแพ็กเกจ ไม่ใช่ว่าพูดไปแล้วจบ มันตามมาด้วยสิ่งที่ไม่ถูกใจเรา
โลกมันเป็นอย่างนี้ มันมีได้มีเสีย มีพบก็มีพราก มีเจอก็มีจาก ได้รับคำสรรเสริญก็มีนินทา ว่าเขาก็ถูกเขาว่ากลับคืน มันเป็น เรียกว่าแพ็กเกจที่มาด้วยกัน หรือพ่วงติดกันมา เหมือนกับหน้ามือกับหลังมือ มีหน้ามือแต่ว่าปฏิเสธหลังมือไม่ได้ ต้องยอมรับว่ามันมีทั้งหน้ามือแล้วก็หลังมือ
อาหารที่เรากิน มันอร่อยยังไงก็ต้องยอมรับว่า สุดท้ายมันก็ต้องกลายเป็นปฏิกูล มันต้องกลายเป็นขี้ออกมา ไม่ใช่ว่ามันจะมีแต่ของอร่อยที่กินใส่ปาก สุดท้ายมันก็แปรไปเป็นปฏิกูล เป็นขี้ มันมาด้วยกัน
เช่นเดียวกัน เกิดกับตายก็เหมือนกันนะ เกิดมาแล้วไม่ใช่ว่ามันจะดีอย่างเดียว เมื่อเกิดแล้วก็ต้องมีตาย เมื่อเป็นหนุ่มเป็นสาวก็ต้องมีความแก่ เมื่อมีสุขภาพดีก็ต้องมีความเจ็บป่วย มันมาด้วยกัน
เพราะฉะนั้นเวลาขณะที่เรายังมีสุขภาพดี ก็อย่าไปหลงใหล อย่าไปเพลิดเพลินกับมันมาก มีอะไรก็อย่าเพลิดเพลินหลงใหล อย่ายึดติด ให้ตระหนักว่า วันนี้มีพรุ่งนี้ก็หมด เวลาใครชมเราก็อย่าเหลิง ให้เตือนใจตัวเองว่าวันนี้ชม วันนี้ได้รับคำชม พรุ่งนี้ก็อาจจะได้รับคำด่า บางทีไม่ต้องรอถึงพรุ่งนี้ อาจจะคืนนี้หรือเกิดขึ้นพร้อมๆ กันเลยก็ได้ ถ้าเราเตือนใจตนอย่างนี้ มันก็ทำให้เราไม่หลงติดในสิ่งที่เรียกว่าอัสสาทะ หรือว่าโลกธรรมฝ่ายบวก แล้วทำให้เราเกี่ยวข้องกับสิ่งต่างๆ ได้ดีขึ้น
เมื่อเรารู้ว่าสิ่งที่อำนวยความสะดวกสบายให้กับเรา มันตามด้วยภาระ ถ้าเราไม่อยากมีภาระมาก เราก็อย่าไปยึดติดกับสิ่งที่ให้ความสะดวกสบายกับเรา ไม่ใช่ว่าอะไรที่สะดวกสบายก็ไปขวนขวายหามาหมด โดยที่ไม่รู้ว่ามันจะต้องตามไปด้วยภาระที่ต้องแบกรับ
ถ้าเราไม่อยากแบกรับภาระมาก ก็ไม่ต้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกสบายมาก พระพุทธเจ้าจึงสอนพระให้มีบริขารน้อยๆ มีบริขารน้อยๆ จะได้ไม่เป็นภาระมาก และจะได้ไม่ยึดติดกับบริขาร ถึงจะมีก็ต้องรู้ ตั้งอยู่ในความไม่ประมาทว่า นอกจากมันจะทำให้เกิดภาระมากขึ้นแล้ว มันก็ยังมีโทษ เพราะว่าพอไปยึดติดกับสิ่งนั้น แล้วพอมันเสื่อมสลายหายไป ก็ทุกข์ ถ้าไม่อยากทุกข์เพราะการเสื่อมสลาย ก็มีให้น้อยๆ
และถ้าจะมี ก็มีด้วยความไม่ประมาท เข้าใจว่า สิ่งที่มีมันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ ความสะดวกสบายที่ได้รับ มันตามไปด้วยภาระ แล้วก่อโทษ เพราะฉะนั้นก็ต้องรู้จักใช้อย่างมีสติ ท่านเรียกว่ามีมนสิการ มีปัญญาเข้าใจธรรมชาติของสิ่งเหล่านี้ เพราะโลกนี้ทุกอย่างมันมาเป็นเป็นแพ็กเกจ มันมา มันพ่วงติดกัน
อันนี้ก็ไม่ใช่เฉพาะสิ่งที่ดี สิ่งที่ไม่ดีก็เหมือนกัน สิ่งที่ไม่ดีมันก็พ่วงเอาสิ่งดีๆ มาด้วย อย่าไปคิดว่าสิ่งที่ไม่ดีมันพ่วงหรือตามมาด้วยโทษ สิ่งที่เป็นโทษมันก็พ่วงสิ่งที่ดีเข้ามาด้วย ในทุกข์มันก็มีสุข ความยากลำบากนี้มันก็มีสิ่งดีๆ พ่วงติดมาด้วยเหมือนกัน
เพราะฉะนั้นเวลาใครเจอความยากลำบากนี้ก็อย่าไปตีอกชกหัว เพราะว่ามันก็นำสิ่งดีๆ มาให้กับเรา เหมือนกับที่หลายคนพบว่าความเจ็บป่วย โรคมะเร็งก็สามารถจะนำสิ่งดีๆ มาให้กับชีวิตได้หลายอย่าง อยู่ที่ว่าจะมองเห็นหรือเปล่า.