พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 1 มีนาคม 2568
หญิงชราผู้หนึ่ง ทุกเช้าจะมาถวายจังหันที่วัด แล้วทีหลังหลวงพ่อสังเกตว่า หญิงชราคนนี้สีหน้าหม่นหมอง ก็เลยถามว่า มีความทุกข์ใจอะไรหรือเปล่า
หญิงชราบอกว่าห่วงลูก 2 คน คนหนึ่งเขาเป็นช่างปั้นหม้อ อีกคนเป็นชาวนา เวลาฝนตกก็นึกถึงลูกที่เป็นช่างปั้นหม้อว่า จะเอาหม้อมาตากแห้งได้อย่างไร มันก็ตากไม่ได้ แล้วจะเอาไปขายก็ไม่ได้ แต่ครั้นถ้าฝนแล้ง ก็นึกถึงลูกที่เป็นชาวนาว่า ไม่มีฝนตก ข้าวก็ต้องตาย ก็ทุกข์เพราะเรื่องนี้แหละหลวงพ่อ
หลวงพ่อท่านก็เลยแนะนำว่า เวลาฝนตกก็ให้นึกถึงลูกที่เป็นชาวนาสิ พอฝนตก ต้นข้าวมันก็เจริญเติบโต แต่ถ้าฝนแล้งก็ให้นึกถึงลูกที่เป็นช่างปั้นหม้อสิ ฝนไม่ตก มีแดดออก หม้อที่ปั้นก็นำมาตากแดด เอาไปขายที่ตลาดได้
วันรุ่งขึ้น ปรากฏว่าหญิงชราคนนี้แกมาวัดด้วยสีหน้าที่แจ่มใส เพราะได้ทำตามที่หลวงพ่อแนะนำ สิ่งที่หลวงพ่อแนะนำก็คือ ให้รู้จักมองสลับขั้ว เวลาฝนตกแทนที่จะนึกถึงลูกที่เป็นช่างปั้นหม้อ ก็ให้นึกถึงลูกที่เป็นชาวนา เวลาฝนแล้งแทนที่จะนึกถึงลูกที่เป็นชาวนา ก็ให้นึกไปถึงลูกที่เป็นช่างปั้นหม้อ
บางทีความทุกข์ที่เกิดขึ้น มันก็เกิดจากการที่เรามองไม่ถูก หรือว่าไม่รู้จักสลับขั้วสลับข้างของความคิดบ้าง
มีบางคนเวลาได้ยินข่าวเรื่องคนที่ติดคุก หรือนึกถึงคนที่ติดคุกขึ้นมา ก็นึกถึงว่า เขายังดีนะ มีข้าวกิน มีที่หลับที่นอน ไม่ต้องหาเงินมาผ่อนบ้าน หรือว่าซื้อข้าว ไม่เหมือนเราต้องไปหาเงิน ต้องไปทำงานหนัก เพื่อหาเงินมาซื้อข้าว ผ่อนบ้าน เหนื่อยล้า พอคิดแบบนี้เข้า ก็รู้สึกว่าทุกข์มากเลย ที่ทุกข์เพราะอะไร เพราะว่าไปมองเห็นว่า คนที่อยู่ในคุกเขามีอะไร แต่ตัวเองไม่มีอะไร
แต่ถ้าลองสลับขั้วสลับข้างความคิดดู มองว่าเรามีอะไร แต่คนที่อยู่ในคุกเขาไม่มีอะไรบ้าง ความรู้สึกมันเปลี่ยนไปเลย เช่น มองว่าเรามีอิสรภาพ เราจะไปไหนมาไหนก็ได้ จะไปวัด หรือว่าจะไปเที่ยวที่ไหนก็ได้ ที่หลับที่นอนก็สบาย ไม่ต้องไปเบียดเสียดยัดเยียด หรือแก่งแย่งใคร จะเข้าห้องน้ำก็ไม่ต้องรอคิวยาว
ในขณะที่คนที่ติดคุก เขาไม่มีอิสรภาพ ไปไหนมาไหนก็ไม่ได้ จะนอนก็ต้องนอนเป็นเวลา กินเป็นเวลา หลับเป็นเวลา เวลานอนก็ต้องเบียดเสียดกัน บางทีลุกไปเข้าห้องน้ำ กลับมาไม่มีที่ว่างเหลือให้นอนแล้ว พอคิดแบบนี้เข้า ก็จะรู้สึกว่า เรานี่ยังไงก็โชคดีนะ ดีกว่าคนที่เขาติดคุก
ความคิดหรือการมองที่ว่า คนติดคุกเขามีหลายสิ่งหลายอย่างที่เราไม่มี มันก็ทำให้เราเป็นทุกข์ แต่พอมองว่า เรามีหลายสิ่งหลายอย่าง แต่คนที่ติดคุกเขาไม่มี เราก็จะรู้สึกว่าเราโชคดี ถึงแม้ยากจนแต่ก็ยังโชคดีที่ไม่ติดคุก
จริงๆ แล้ว คนที่ควรจะมองว่าคนติดคุกมีอะไรที่คนข้างนอกไม่มี มันควรจะเป็นมุมมองของคนที่อยู่ในคุก เพราะมองว่า ถึงแม้เราเสียอิสรภาพ แต่เรายังมีกิน มีที่หลับที่นอน ไม่ต้องดิ้นรนขวนขวายหาเงินมาซื้อข้าว มาผ่อนบ้าน คนที่คิดแบบนี้ควรจะเป็นคนที่อยู่ในคุก เพราะว่าพอคิดแบบนี้แล้ว อย่างน้อยก็ยังคิดว่าเราโชคดี เรายังมีอะไรที่ดีกว่าคนที่อยู่ข้างนอก มันก็ช่วยทำให้บรรเทาความทุกข์ได้
ส่วนคนที่อยู่ข้างนอก ก็ควรจะมองว่าเรามีอะไรที่คนคุกไม่มี ถ้ามองแบบนี้เราก็จะมีความสุขได้ แต่พอมองไม่เป็น ไปมองเห็นแต่ว่าคนติดคุกเขามีอะไร แต่เราไม่มี อย่างนี้ทุกข์ทันทีเลย แล้วมันก็มีคนที่คิดแบบนี้ ซึ่งเป็นความคิดที่สร้างความทุกข์ให้กับตัวเอง ทั้งๆ ที่น่าจะมีความสุขที่ไม่ติดคุก มีความสุขที่มีอิสรภาพ
คนเราถ้าหากว่าเราคิดไม่เป็น มองไม่เป็น มันก็ทุกข์ แต่เพียงแค่เราสลับขั้วสลับข้าง อย่างที่หลวงพ่อท่านแนะนำหญิงชราคนนั้น บางทีความทุกข์มันก็คลี่คลายหายไปเลย แต่พอเราคิดไม่เป็น โดยเฉพาะคนที่คิดในทางลบ คิดแต่ว่าฉันไม่มีโน่นไม่มีนี่ แต่เขามีกัน
คนเวลาบวชพระ หลายคนไม่มีความสุข เพราะคิดแต่ว่าฆราวาสเขามีอะไรหลายอย่างที่เราไม่มี เขามีอิสระเสรีที่จะไปเที่ยวที่ไหนก็ได้ จะกินอะไรก็ได้ กิน ดื่ม เที่ยว เล่น ช็อป เขาก็ทำได้ ถ้าเขามีเงิน
พอคิดแต่ว่า ฆราวาสเขามีอะไรที่เราไม่มีนี่ ทุกข์เลย อึดอัดกับความเป็นพระ และส่วนใหญ่ก็เป็นอย่างนี้แหละ ไปมองเห็นแต่ว่าฆราวาสเขามีอะไรหลายอย่างที่เราไม่มี แต่ลืมมองไปว่า เราก็มีหลายอย่างที่ฆราวาสเขาไม่มี
เรามีเวลาที่จะได้อยู่กับตัวเอง จะว่าไป เราก็มีเสรีภาพในหลายเรื่องมากกว่าฆราวาส เพราะเราไม่ต้องไปทำงานหาเงิน เราสามารถที่จะใช้พลังงานไปในการทำสิ่งดีงามให้กับตัวเองได้ ยังไม่ต้องพูดถึงว่า ไม่ต้องทำงานเพื่อหาข้าวมากิน บ้านไม่ต้องเช่า ข้าวไม่ต้องซื้อ
ถ้าคิดแบบนี้ มันก็ถือว่าความเป็นพระมันก็ให้อะไรกับเรามากมาย แต่คนจำนวนไม่น้อย ก็มองแต่ว่าเราไม่มีโน่นไม่มีนี่ ไม่ใช่เฉพาะฆราวาสที่มองพระ บางทีแม้จะเป็นฆราวาสด้วยกัน หรือเป็นพระด้วยกัน เวลามองก็มองเห็นแต่สิ่งที่คนอื่นเขามีแต่เราไม่มี
อันนี้มันเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับคนจำนวนมาก มองเห็นแต่สิ่งที่ตัวเองไม่มี ก็เลยทุกข์ เพราะคนอื่นเขามีกัน แต่ไม่รู้จักมองว่า เรามีอะไรอีกหลายอย่างที่คนอื่นเขาไม่มี ถ้ามองแบบนี้บ้าง มันก็มีความสุขได้ง่าย มีความพอใจได้ง่าย
คนทุกวันนี้ ดิ้นรนขวนขวายอะไรต่ออะไรมากมาย เพราะเห็นแต่สิ่งที่ตัวเองไม่มี ใครๆ เขาก็มีกัน แต่ได้มาเท่าไหร่ๆ ก็ไม่เคยพอใจ เพราะเห็นแต่ความพร่อง อันนี้ก็เรียกว่าเป็นการมองลบแบบหนึ่ง การที่เห็นแต่สิ่งที่ตัวเองไม่มี แต่คนอื่นเขามีกัน
ที่จริงการมองลบมันก็ยังมีอีกหลายลักษณะ แต่แค่เรื่องนี้เรื่องเดียว ก็ทำให้คนทุกวันนี้มีความทุกข์ มีความไม่พอใจกับตัวเอง เห็นคนอื่นเขามีบ้านหลังใหญ่ มีรถหลายคัน มีรถราคาแพง แต่เราไม่มีเลย หรือว่ารูปร่างหน้าตาเขาก็มีดีหลายอย่าง แต่เราไม่มีอย่างนั้น
และการมองลบแบบนี้ มันยังนำไปสู่การมองเห็นแต่ความผิดความพลาดของคนอื่น ก็เลยเกิดความเครียด เกิดความหงุดหงิดขึ้นมา อันนี้ก็มีส่วนทำให้คนจำนวนมากเกิดความเครียด เกิดความหงุดหงิด
บางทีมีลูก ก็มองลูกแบบนี้ เห็นแต่ว่าลูกมีแต่ความพร่อง ขนาดลูกสอบได้ 98% ก็ยังถามลูกว่า อีก 2% หายไปไหน แทนที่จะเห็น 98% ที่ลูกทำได้ ซึ่งก็สูงมากแล้ว กลับไปมองเห็น 2% ที่ลูกทำไม่ได้ มันก็มีปัญหาทั้งกับความสัมพันธ์กับผู้อื่น และกับตัวเองด้วย
และคนจำนวนมาก ก็ไม่รู้ว่ามันมีมุมมองแบบนี้อยู่ คิดลบจนเป็นนิสัย จนไม่รู้ว่าตัวเองคิดลบ เพราะฉะนั้น ก็เลยมีความรู้สึกไม่พอใจในตัวเองบ้าง มีความทุกข์กับชีวิตของตัวเอง หรือมีความทุกข์กับพ่อแม่ พ่อแม่ขาดอย่างโน้น ไม่มีอย่างนี้ ลูกก็เหมือนกัน เห็นแต่ข้อเสีย รวมไปถึงคนรักก็มีแต่ข้อบกพร่อง ก็เลยหาความสุขไม่ได้
ที่จริงการมองลบนี่ มันก็มีประโยชน์ แต่พอไม่รู้เท่าทันมัน ไม่รู้จักสลับไปมองบวกบ้าง หรือสลับขั้วสลับข้างอย่างตัวอย่างที่พูดมา มันก็เลยติดตันอยู่กับความทุกข์ ความไม่พอใจ
แล้วทำไมคนเราจะรู้ตัว ว่าชอบคิดลบ หรือชอบมองเห็นแต่สิ่งที่ตัวเองไม่มี แต่คนอื่นเขามี หรือมองเห็นคนที่ตัวเองรัก คนใกล้ตัว เขาไม่มีโน่น บกพร่องตรงนี้ แต่คนอื่นเขามีกัน หรือว่าเห็นแต่ความพร่องที่ว่า แม้จะได้ 98% แต่มันก็ยังขาดไป 2%
มันต้องมีสติ สติที่จะรู้สึกเฉลียวใจ สติเกิดจากการที่เรารู้จักหันมามองตน แล้วมันทำให้เราได้เห็นความคิดที่เป็นลบ หรือคิดแต่มุมเดียวที่มันมีแต่ทำให้ทุกข์
คนเรา ถ้าไม่มีสติมากพอ มันก็ถูกความคิดลบครอบงำใจ มองแต่มุมเดียว จนถูกมันใช้ เพราะมันกลายเป็นสิ่งที่ครอบงำใจเรา
ฉะนั้น ถ้าเรารู้จักเฉลียวใจบ้าง กลับมาดู ว่าทำไมเราชอบมองแบบนี้ อย่างหญิงชราที่พูดถึง ถ้าแกมีสติสักหน่อย ก็จะฉุกคิดได้ว่า ทำไมเวลาฝนตก เราจึงนึกถึงแต่ลูกคนที่เป็นช่างปั้นหม้อ ทำไมเราไม่นึกถึงลูกชายที่เป็นชาวนาบ้าง เวลาฝนแล้ง ทำไมเรานึกถึงลูกชายที่เป็นชาวนา แต่ทำไมเราไม่นึกถึงลูกที่เป็นช่างปั้นหม้อบ้าง
มันจะเกิดอาการเฉลียวใจ เกิดความรู้สึก เอ๊ะ ขึ้นมา แล้วมันทำให้สามารถที่จะเปลี่ยนมุมมอง หรือว่ามองสลับขั้วสลับข้างกันได้
จริงๆ มันก็ไม่ยากที่จะมองสลับขั้ว แต่พอมันคิดแต่แง่เดียว จนกระทั่งมันกลายเป็นนิสัยไปแล้วก็เลยไม่รู้ตัว เวลามองก็มองแต่ในแง่นี้แง่เดียว
บางทีก็รู้ว่า เราควรจะมองอีกมุมหนึ่งบ้าง แทนที่จะมองแต่ลบ ก็มองเห็นบวกบ้าง แต่มันได้แต่คิด แต่เวลาปฏิบัติในชีวิตจริง มันก็ไหลไปในทางเดียว มองแต่แง่มุมเดียว เพราะความคิดแบบนี้มันมีน้ำหนัก
เหมือนเราก็รู้ตัวว่า เวลากินข้าวอาบน้ำถูฟันล้างหน้า ควรจะมีความรู้สึกตัว แต่พอถึงเวลาเข้า มันก็หลงมากกว่ารู้
อย่าว่าแต่อะไรเลย เวลาเดินจงกรม ทั้งที่รู้ว่าเราควรจะเดินอย่างมีสติ เวลายกมือสร้างจังหวะก็ควรทำด้วยความรู้เนื้อรู้ตัว แต่ว่าเอาเข้าจริงๆ ก็โดนความหลงมันกิน พลาดท่าเสียทีให้กับความหลง เพราะอะไร เพราะมันเป็นนิสัย
เป็นนิสัยที่จะปล่อยใจหลง เป็นนิสัยที่จะปล่อยใจลอย จนกระทั่งมันกลายเป็นธรรมชาติของตัวเองไปเสียแล้ว ที่จริงมันก็ไม่ใช่ธรรมชาติ เพราะมันเป็นแค่นิสัย แต่ว่าความตั้งใจอย่างเดียวไม่พอ เพราะพอถึงเวลาจริงๆ ก็ไถลไปคิดแต่มุมเดียว แต่แง่เดียว หรือมิฉะนั้นก็โดนความหลงกิน
อันนี้ต้องอาศัยการฝึกบ่อยๆ การที่ตัวรู้มันจะมีน้ำหนัก จนกระทั่งกลายเป็นนิสัยของเรา เดินจงกรมทีไร อาบน้ำทีไร ถูฟันทีไร ก็รู้สึกตัว รู้สึกตัว พวกนี้มันเกิดขึ้นได้ ให้น้ำหนักมันเทไปที่ความรู้สึกตัวได้ แต่ว่าต้องเกิดจากการปฏิบัติ ทำซ้ำๆ ทำซ้ำๆ จนมันกลายเป็นนิสัย พอมันกลายเป็นนิสัยแล้ว มันก็ง่าย แต่มันต้องเริ่มจากการที่รู้ตัวก่อน ว่าเรามีนิสัยในทางตรงข้าม
คนที่มองลบ ถ้าไม่รู้ตัวว่ามองลบ มันก็ยากที่จะปรับเปลี่ยนมุมมองได้ เหมือนกับคนที่ขี้โกรธ และไม่รู้ว่าตัวเองขี้โกรธ อย่างไรก็ไม่มีทางเปลี่ยน บางทียังเถียงว่า ฉันไม่โกรธ ฉันไม่โกรธ เพราะโดนความโกรธมันหลอก
เวลาโกรธทีไร ก็มีข้ออ้างว่าสมควรโกรธ เลยไม่รู้สึกว่าไอ้ที่ทำไป มันทำไปด้วยอารมณ์ ไม่ได้ทำด้วยเหตุผล หรือทำด้วยกิเลส ทำด้วยอัตตา เหตุผลก็เป็นเพียงข้ออ้างที่กิเลสมันสรรหา เพื่อให้ใจคล้อยตาม
มันไม่ได้อยู่ที่ว่าศึกษาธรรมะแค่ไหน เพราะว่าแม้จะมีความรู้ทางธรรมสูง รู้ไปถึงเรื่องอนัตตา แต่ก็อย่าลืมว่ากิเลสมันก็รู้ถึงอนัตตาเหมือนกัน รู้ธรรมะมากเหมือนกัน เราจบปริญญาเอก กิเลสมันก็จบปริญญาเอก เราจบนักธรรมเอก กิเลสมันก็จบนักธรรมเอก
เราอ่านพระไตรปิฎกมาเยอะ ทั้ง 45 เล่ม กิเลสมันก็อ่านมา 45 เล่มเหมือนกัน และอย่างนั้น มันจึงสามารถเอากิเลสมา เอาเหตุผล เอาธรรมะมาล่อหลอกให้เราคล้อยตามมันได้ บางทีก็เถียงกันเป็นวรรคเป็นเวร เรื่องอนัตตา แต่ว่าแรงผลักที่ทำให้เกิดการถกเถียงทุ่มเถียง จนเกิดความโกรธนี่ มันเป็นกิเลสคือตัว อัตตวาทุปาทาน หรือความยึดติดในกิเลส ยึดติดในอัตตาทั้งนั้นเลย
ฉะนั้น กิเลสมันก็สามารถที่จะเอาเรื่องอนัตตามาใช้ในการข่มคนอื่น แล้วก็ยกตัวเองให้สูงขึ้น ซึ่งก็เป็นธรรมชาติของตัวมานะอยู่แล้ว คือต้องแสดงว่า กูนี่เก่ง กูนี้แน่
ถ้าแน่ทางอื่นไม่ได้ แน่ทางธรรมะก็ยังดี หรือว่ากลับกลายเป็นของดีเสียอีก เด่นในทางเงินทอง เด่นในทางชื่อเสียงหน้าตา มันก็ดูไม่เท่เท่ากับเด่นในทางธรรมะ เพราะฉะนั้น พวกกิเลสมันก็ฉวยเอาธรรมะมาเป็นข้ออ้าง หรือเป็นเครื่องมือในการยกตนให้สูงขึ้น เรียกว่ายกหูชูหาง
ความโกรธก็เหมือนกัน มันก็อ้างอนัตตาได้เหมือนกัน อาจารย์พุทธทาสเรียกว่า จิตว่างอันธพาล บอกว่าจิตว่าง ว่างจากตัวตน แต่ว่าสามารถจะด่าคนโน้นคนนี้ หรือว่าประณามทุ่มเถียงกับคนอื่นได้ อ้างว่าจิตว่างแล้ว ไม่มีตัวตนแล้ว กิเลสมันฉลาด มันสามารถที่จะอ้างธรรมะเพื่อสนองตัว หรือปรนเปรอมันได้
มีพระสูตรหนึ่งที่พระพุทธเจ้าเปรียบว่า การศึกษาธรรม เหมือนกับการจับงูพิษ ถ้าจับผิดก็โดนงูพิษกัด ท่านไม่ได้เปรียบเงินเป็นอสรพิษเท่านั้น การศึกษาธรรมในบางที่ ท่านก็เปรียบเป็นอสรพิษด้วย คือถ้าศึกษาธรรมไม่เป็น ก็เกิดโทษเหมือนกับโดนงูพิษกัด เหมือนกับจับงูไม่ถูก ก็โดนมันฉกกัด
ที่ว่าศึกษาธรรมไม่เป็นคืออย่างไร ก็คือศึกษาเพื่อยกตนข่มท่าน เพื่อกำราบผู้อื่นไม่ให้คิดแย้ง ไม่ให้ถกเถียง เอามาใช้ข่มคนอื่น หรือมิฉะนั้นก็เพื่อแสวงหาลาภสักการะ แสวงหาลาภสักการะมาสนองกามตัณหา แต่ว่าเพื่อยกตนข่มท่านมันสนองภวตัณหา ความเป็นใหญ่กว่าคนอื่น เก่งกว่าคนอื่น ไม่ได้ปรารถนาลาภสักการะ แต่ต้องการให้คนชื่นชมสรรเสริญ หรือทำให้ตัวตนมันพองโต
แต่ถ้าเกิดว่าเรามีสติ เราก็จะเฉลียวใจ หรือว่าเห็นกิเลสตัวใหญ่ๆ มันซ่อนอยู่เบื้องหลัง ไม่หลงเคลิ้มคล้อยไปกับเหตุผล แม้จะสวยหรูเพราะว่ามีธรรมะมาเป็นเครื่องยืนยัน แต่ว่าก็ยังสามารถที่จะมองทะลุไปเห็นว่า ที่อ้างธรรมะนี่ มันเพื่อสนองหรือปรนเปรอกิเลส มันแยบคายมาก
แต่ถ้าเกิดว่าเรามีสติเมื่อไหร่ เราก็จะรู้ทัน มันไม่ใช่ช่วยทำให้เราไม่มัวแต่คิดลบอย่างเดียว หัดรู้จักมอง หรือคิดในทางบวก มันมากกว่านั้น มันทำให้รู้เท่าทันกิเลส รู้เท่าทันตัวอารมณ์ที่มันแสดงออกมาด้วยการผลักดันของกิเลส
เวลาโกรธ เวลาโลภ ก็รู้ว่ามันเป็นฝีมือของกิเลส หรือถึงแม้มองไม่เห็น ก็รู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ต้องจัดการ จัดการด้วยความรู้เท่าทัน ไม่ปล่อยให้ความโกรธครองใจ ไม่ปล่อยให้ความโลภครองใจ หรือรวมถึงไม่ปล่อยให้ความคิดลบคิดร้ายมันครอบงำใจ จนกระทั่งสร้างความทุกข์ให้กับตัวเอง นอกเหนือจากการความทุกข์ให้กับผู้อื่น
ฉะนั้น การหมั่นมองตนเป็นเรื่องสำคัญมาก หมั่นมองตน และหมั่นทักท้วง ว่าสิ่งที่เราทำคิด มันคิดดีแล้วหรือ หรือบางทีเพียงแต่รู้จักคิดสลับขั้วเท่านั้นแหละ ความทุกข์มันก็ลดไปเยอะ เปลี่ยนดินฟ้าอากาศไม่ได้ แต่ว่าเปลี่ยนมุมมองได้ อันนี้เป็นสิ่งที่ต้องลองหมั่นพิจารณาตัวเองอยู่เสมอ.