พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 16 พฤษภาคม 2567
เมืองเล็ก ๆ เมืองหนึ่งในรัฐแคลิฟอร์เนียของอเมริกามีต้นไม้ใหญ่เรียกว่าหนาแน่นเต็มป่าเลย แล้วต้นไม้ส่วนใหญ่ก็เป็นต้น Red Wood ซึ่งเป็นไม้เมืองหนาว แต่ละต้นอายุยืนมาก หลายร้อยปี
แต่มีต้นหนึ่งโดดเด่นมาก เพราะสูงมากอายุนับพันปี ต้นไม้ในเมืองหนาวอายุนับร้อย ๆ ปีที่นี่ถือว่าธรรมดามาก แต่ต้นนี้สูงจนมีคนตั้งชื่อว่าลูน่า ลูน่าคือดวงจันทร์ หมายความว่าสูงจนกระทั่งเกือบจะเอื้อมถึงดวงจันทร์ได้ อายุนับพันปี เรียกว่าเป็นปู่ เป็นย่าหรือเป็นทวดเลยทีเดียวของต้นไม้ในละแวกนั้น
ทุกวันนี้ ต้นนี้ยังอยู่รอดมาได้ทั้งๆ ที่เมื่อ 20 ปีก่อนนี่ไม่น่าจะรอด เพราะว่ามีบริษัททำไม้ได้รับสัมปทาน แล้วเขาก็จะมาตัดต้นนี้ แต่ว่ารอดมาได้ เพราะผู้หญิงคนหนึ่งเป็นคนเดียวเลยก็ว่าได้
เธอทำอย่างไร ไม่ได้ประท้วง ไม่ได้ถือป้ายอะไร ไม่ได้ส่งเสียงดัง แต่ว่าขึ้นไปอยู่บนต้นไม้ต้นนี้ที่ชื่อลูน่า ไปอยู่ไม่ใช่แค่วันสองวัน ไม่ใช่แค่ 2 อาทิตย์ หรือ 2 เดือนแต่ 2 ปีเลยอยู่แต่บนต้นไม้ เป็นเวลา 738 วัน
แล้วก็อยู่บนจุดที่สูงมากประมาณ 55 เมตร ก็เกือบเท่าตึก 20 ชั้น แสดงว่าลูน่าสูงมาก อาจจะเท่ากับตึก 30 ชั้นก็ได้ แต่เธอก็ไม่ได้อยู่บนยอด ไม่ได้ถึงขนาดนั้น แต่ก็สูงทีเดียว 55 เมตร อยู่ตรงนั้นเป็นเวลากว่า 2 ปี
การที่ไปอยู่ตรงนั้น มันทำให้บริษัททำไม้ตัดหรือโค่นต้นไม้ไม่ได้ เพราะถ้าตัดหรือโค่น เธอก็ตาย ในอเมริกาถ้าเกิดมีคนตาย เป็นเรื่องใหญ่ จะเกิดการฟ้องร้อง แถมยังมีการประโคมข่าว สร้างความเสียหายให้กับบริษัททำไม้ เขาก็เลยตัดไม่ได้
แต่ก็พยายามหาทางทำให้ผู้หญิงคนนี้ที่ชื่อ จูเลีย ฮิลล์ ลงมา แต่เธอก็ไม่ยอมลงมา และพวกบริษัททำไม้คิดว่า ไม่ต้องทำอะไรหรอก อยู่ไปนาน ๆ เดี๋ยวก็ลงมาเอง แต่เธอก็ไม่ลง ไม่ใช่แค่ 2-3 เดือน แต่เป็น 2 ปีเลยทีเดียว เธอใจเด็ดมาก อายุก็ไม่มาก แค่ 25 ปี
อยู่ที่ข้างบนนั้น ก็ไม่ใช่ง่าย เพราะว่าข้างบนเจอลมแรง ๆ ลมหนาว ทั้งแรงและหนาว บางช่วงลมแรงถึง 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเลย ขนาดบ้านเรานี่หนาว ๆ แค่ลมพัดมาเบา ๆ เราก็สะท้านแล้ว แต่เขาเจอลมหนาวในช่วงฤดูหนาว เป็นอาทิตย์ด้วย หรือถึงแม้ไม่มีลม มันก็หนาวอยู่แล้ว
และนอกจากความหนาวแล้ว สิ่งที่ทนได้ยากคือ ความเหงา เพราะขึ้นไปอยู่คนเดียว ไม่มีเพื่อนไปอยู่ด้วย มีบ้างเป็นครั้งคราว แต่ไม่บ่อย เพราะว่าคนอื่นเขาก็มีงานมีการทำ แต่ว่าจูเลียทิ้งงานมาเลย อุทิศตัวเพื่อต้นไม้ต้นนี้ และก็ต้นไม้รอบ ๆ
แต่ก็ยังดี มีเพื่อนคอยช่วยส่งอาหาร ส่งเสบียงไปให้ อาทิตย์ละสองครั้ง กว้านรอกเอาขึ้นไป ทั้งอาหารเสบียง เชื้อเพลิง แบตเตอรี่ รวมทั้งแบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือด้วย สมัยนั้นยังไม่มีสมาร์ทโฟน แต่ก็มีโทรศัพท์มือถือใช้กันแล้ว
ไม่ใช่ง่ายเลยนะ อยู่ข้างบนนี่ ขนาดเราอยู่กุฏิคนเดียว อาทิตย์หนึ่งยังกระสับกระส่ายเลย ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เจอความหนาว อาจจะเจอความเหงาบ้าง แต่ว่าอย่างอื่นก็สะดวกสบาย เข้าห้องน้ำก็ไม่ลำบาก ในกุฏิก็มีห้องน้ำ แต่เธออยู่ข้างบนนี่ จะฉี่จะอึอะไร ก็ไม่ใช่ง่าย อาบน้ำไม่ต้องพูดถึง ไม่รู้จะได้อาบหรือเปล่า เพราะว่าจะให้คนส่งน้ำขึ้นไปให้อาบนี้ คงไม่ใช่ง่าย แถมลมก็หนาว
แต่เพราะความยืนหยัดของเธอ แบบที่เรียกว่าทำได้ยาก สุดท้ายบริษัททำไม้ก็ยอมแพ้ ยอมเจรจา แล้วก็เลิกความคิดที่จะตัด ส่วนเธอก็ถูกปรับ เป็นแสนเลยถ้าคิดเป็นเงินบาท แต่ก็มีคนบริจาคให้ ในอเมริกาการขึ้นไปอยู่บนนั้น มันก็ผิดกฎหมายอยู่แล้ว เพราะมันไม่ได้เป็นทรัพย์สินส่วนตัว แต่เธอก็ยอม ยอมทุกอย่าง แค่ค่าปรับ 20,000 ดอลลาร์นี่จิ๊บจ๊อย เพราะเธอเลือกที่จะสละชีวิตแล้ว
ก็เลยกลายเป็นข่าวที่เผยแพร่ต่อเนื่องไปทั่วโลกเลย ทั่วอเมริกาด้วย บริษัททำไม้สุดท้ายก็รู้ว่า ถึงสู้ต่อไปก็มีแต่เสีย ก็เลยยอมแพ้ ไม่ตัด เป็นการจบคดี ก็ทำให้ต้นไม้ต้นนี้รอดมาได้ รวมทั้งต้นไม้ต้นอื่น ๆ ที่อยู่บริเวณใกล้เคียงด้วย อย่างนี้เรียกว่าเป็นผู้อุทิศตัวเพื่อธรรมชาติ เพื่อต้นไม้
ในอินเดียก็เคยมี ยอมเอาตัวเข้าแลก เพื่อรักษาต้นไม้ด้วยการกอด พากันกอดต้นไม้หลายคนโอบ ผู้หญิงทั้งนั้น บริษัททำไม้ก็ตัดไม่ได้ เพราะถ้าจะตัดต้นไม้ก็ต้องฆ่าคน
ก็เคยมีคนตายเพราะเสียสละแบบนี้ แต่ตอนหลังก็ไม่มีใครกล้าที่จะทำร้ายผู้หญิงที่โอบกอด เกิดเป็นขบวนการชิปโก้ (Chipko) chipko แปลว่าโอบกอด ซึ่งทำให้ป่าผืนใหญ่ในภาคเหนือของอินเดีย แถวหิมาลัย ได้รับการปกปักเอาไว้ได้ ผู้นำขบวนการชิปโก้เคยมาเมืองไทย แต่ว่าอายุมากแล้ว ป่านนี้คงเสียชีวิตไปแล้ว เพราะว่าผ่านมา 30 ปีแล้ว
พูดถึง จูเลีย ฮิลล์ ชีวิตเธอน่าสนใจ แต่ก่อนก็เหมือนคนธรรมดา หาเงินหาอาชีพที่มั่นคง ตอนอายุ 20 เธอเป็นผู้จัดการร้านอาหาร ฝรั่งบางคนไม่เรียนต่อปริญญาตรี จบไฮสคูลก็มาทำงาน
ตอนหลัง ระหว่างที่เป็นผู้จัดการร้านอาหาร โดนรถชน ไม่ตาย แต่สาหัส กว่าจะฟื้นขึ้นมาเป็นปกติคือเดินได้พูดได้ ต้องใช้เวลาเป็นปี เรียกว่ารอดตาย อันนี้คือจุดเปลี่ยนสำคัญ เพราะทำให้เธอได้ตระหนักว่า ชีวิตของเธอควรจะใช้อย่างมีคุณค่า รอดมาได้ก็ถือว่าเป็นโชคแล้ว
มันทำให้เธอได้ใคร่ครวญว่า ชีวิตเราควรจะใช้ให้เป็นประโยชน์ แล้วก็เลยเลือกที่จะมาปกปักรักษาป่า Red Wood โดยการขึ้นไปอยู่บนต้นลูน่า เป็นเวลา 2 ปีกว่า
อันนี้เรียกว่า เกิดความพลิกผันในชีวิตที่ทำให้รู้ว่า คนเราไม่รู้จะตายเมื่อไหร่ ขณะที่มีชีวิตอยู่ก็ควรทำประโยชน์ให้กับส่วนรวม ให้กับธรรมชาติ แล้วเธอก็เลือกที่จะอุทิศชีวิตให้กับต้นไม้ที่เก่าแก่ดึกดำบรรพ์
อันนี้ก็เป็นเรื่องของคนที่รักธรรมชาติ พร้อมที่จะอุทิศตัว ซึ่งเราต้องการคนแบบนี้มากเลย เพราะตอนนี้ธรรมชาติถูกทำลายไปเยอะ และสุดท้าย สิ่งแวดล้อมก็กำลังแย่ลงไปเรื่อย ๆ เราบ่นกันว่าโลกร้อน ๆ แต่ว่าถ้าเราไม่ขวนขวายทำอะไร มันก็จะร้อนยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ จนอยู่ไม่ได้.