พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 7 พฤษภาคม 2567
เช้านี้หากว่าเรารู้สึกสดชื่นแจ่มใสถือว่าเป็นโชค ถือว่าเป็นพร เพราะว่าจะสดชื่นแจ่มใสได้ ส่วนหนึ่งก็เพราะว่าดินฟ้าอากาศเป็นใจ ถ้าเกิดว่ามีพายุ ฝนตก หรือครึ้มหนัก หรือว่าร้อนมาก ฝุ่นเยอะ เราคงจะไม่รู้สึกสดชื่นแจ่มใสในยามเช้าเท่าไหร่
แต่เท่านั้นไม่พอ เราจะรู้สึกแบบนั้นได้มันก็ต้องมีร่างกายที่ดี สุขภาพดีด้วย ถ้าเจ็บป่วย เป็นไข้ ปวดโน่นปวด มันจะไม่รู้สึกสดชื่นแจ่มใสเท่าไหร่นัก หรือถึงแม้ว่าจะไม่เจ็บป่วย แต่ว่าเกิดแก่ชรา เคมีในร่างกายมันไม่ปกติ จะรู้สึกหดหู่ เหงา ซึมเศร้าก็ได้
เดี๋ยวนี้เราก็รู้แล้วว่า ความรู้สึกหรืออารมณ์ของเรา มันขึ้นอยู่กับพวกเคมีในสมอง ซึ่งก็สัมพันธ์กับเรื่องของร่างกายด้วย หากว่าร่างกายเราดี สุขภาพดี เคมีในสมอง รวมทั้งร่างกายของเราดี เราก็สดชื่นแจ่มใสได้ไม่ยาก
แต่ที่สำคัญอีกอย่างนั่นก็คือใจ ถ้าหากว่าใจเราไปรับรู้แต่สิ่งดี ๆ ดอกไม้ หรือว่าท้องฟ้า หรือผู้คนที่ยิ้มแย้มแจ่มใส หรือเรื่องราวข่าวคราวที่ดี ๆ จิตใจเราก็พลอยแจ่มใส แต่ถ้าเรามัวไปรับรู้แต่เรื่องแย่ ๆ นึกถึงเหตุการณ์แย่ ๆ ที่ผ่านไปไม่นาน หรือนานแล้วก็ตาม หรือไปนึกกังวลถึงสิ่งที่ยังมาไม่ถึงจิตใจก็เครียด เศร้า กังวล คับแค้น หรือแม้จะไม่ได้ไปจมอยู่กับอดีต กังวลกับอนาคต แต่ว่าไปรับรู้สิ่งที่เป็นปัจจุบัน
เปิดโทรศัพท์มือถือเห็นข้อความ หรือข้อมูลข่าวสารที่ชวนให้หดหู่ จิตใจก็พลอยรู้สึกหดหู่ไปด้วย มันอยู่ที่การเลือกรับ เลือกรู้ แต่บางอย่างมันก็เห็นโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ ก็ต้องรู้จักรักษาใจด้วย
นอกจากเลือกรับรู้แล้วต้องรู้จักรักษาใจให้ดี เห็นภาพบางอย่างที่ไม่ถูกใจก็รักษาใจให้เป็นปกติได้ ไม่ขุ่นมัว ไม่โมโห ไม่หงุดหงิด แล้วเดี๋ยวนี้มันก็หนีไม่พ้นที่เราก็อาจจะเจอภาพที่ไม่ถูกใจ เราหนีไม่พ้นแต่ว่าเรารักษาใจได้
มีคนหนึ่งตื่นเช้าไปทำงาน มองไปที่ถนนแถว 4 แยกราชดำริ กรุงเทพฯ เห็นรถเข็นขายของ เห็นหาบเร่ เห็นคนปูเสื่อขายของเยอะแยะ เกิดความไม่พอใจขึ้นมา ไม่ใช่แค่หงุดหงิด
หงุดหงิดอย่างเดียวไม่พอ ถึงกับเขียนข้อความลงในเฟซบุ๊กว่า ถ้ามีรถ 10 ล้อพุ่งมาตรงนั้นก็ดีเหมือนกัน ใครที่ตายก็ไปโน่น วัดปทุมฯ ใครที่ป่วยเจ็บก็ไปโรงพยาบาลตำรวจ ใกล้ ๆ กัน
อันนี้เรียกว่าไม่ใช่แค่หงุดหงิด แต่โกรธแล้วก็แค้น ถึงกับแช่งเลยว่าขอให้รถ 10 ล้อพุ่งชนคนเหล่านี้ อันนี้เป็นเพราะอะไร เป็นเพราะว่าไม่ชอบที่คนมาเกะกะทางเท้าด้วยการเอารถเข็นมาขายของ หรือหาบเร่
ซึ่งที่จริงมันไม่ใช่มีแค่ที่เดียว มันมีทั่วไปหมดในกรุงเทพฯ แล้วก็ในเมืองใหญ่ ๆ หลายคนเห็นแล้วก็ทำใจไม่ได้ แต่ก็คงอาจจะไม่ถึงกับเขียนข้อความสาบแช่งอย่างคนที่ว่านี้
ซึ่งจะว่าไปแล้วมันก็ไม่ดีกับเจ้าตัวเลย เพราะว่าทำไมไม่รู้จักรักษาใจ ปล่อยให้ความโกรธ ความพยาบาทถึงขั้นแช่งเขา จิตใจก็เศร้าหมองแล้วมันก็เป็นบาปด้วย ในทางพุทธเป็นบาปเป็นมโนกรรม ไม่ได้ดีกับเจ้าของเลย แล้วก็ทำให้จิตใจหม่นมัว ทำให้หัวเสีย อาจจะหงุดหงิดไปทั้งวัน
มิหนำซ้ำสิ่งที่เขียนไป ต่อไปอาจจะแว้งกลับมา ย้อนกลับมาทำร้ายตัวเองได้ อย่างเช่น พอจะไปสมัครผู้ว่า จะไปสมัคร สส. หรือไปเป็นซีอีโอบริษัทใหญ่ มีคนเอาข้อความที่ว่า ที่แคปเอาไว้เมื่อ 5 ปีที่แล้ว 10 ปีที่แล้ว เอามาโชว์ เสียหายเลย แบบนี้เจอบ่อย
เขียนอะไรไปโดยไม่มีสติ โดยไม่ระมัดระวัง จะต้องรับกรรมในวันหน้า เจอมาเยอะแล้ว หลายคนเวลาเจอหาบเร่ แผงลอย รถเข็น บนทางเท้า รู้สึกว่ามันทำให้บ้านเมืองไม่สะอาดเรียบร้อย
หลายคนคงนึกถึงสิงคโปร์ บ้านเมืองเขาสะอาดเรียบร้อย ทางเท้านี้มีแต่คนเดิน หรือคนขี่จักรยาน ไม่มีหาบเร่แผงลอย ไม่มีรถเข็น แต่ก็ต้องไม่ลืมว่า สิงคโปร์ คนจนเขาไม่เหลือแล้ว ช่องว่างระหว่างรวยกับคนจน หรือช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนรายได้น้อยก็น้อยมาก จึงไม่มีหาบเร่แผงลอย รถเข็น
จะให้เมืองไทยไม่มีหาบเร่แผงลอยรถเข็นบนทางเท้า วิธีเดียวคือทำให้คนยากจนหมดไป หรือทำให้ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนมีรายได้น้อยหมดไป ถึงตอนนั้นก็ไม่มีใครจะมาขายของบนทางเท้า
แต่ทำไมทุกวันนี้ยังมีคนขายของบนทางเท้าเยอะแยะ มันเป็นเพราะความยากจน เป็นเพราะว่าไม่มีเงิน ไปทำร้านอาหาร ค่าที่แพง ค่าแผงในตลาดก็แพง ก็เลยต้องมาอาศัยทางเท้า ก็ช่วยทำให้เขาทำมาหากินได้ ดีกว่าไปขายยาเสพยาบ้า หรือว่าดีกว่าไปลักเล็กขโมยน้อย
ให้เขาได้มีช่องทางประกอบอาชีพโดยสุจริต ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี ถ้าบ้านเมืองเราปิดช่องทางนี้เมื่อไหร่ คนยากคนจนจะไปไหน ก็ต้องไปประกอบมิจฉาชีพ ค้ายา หรือว่าปล้นจี้ แล้วใครเดือดร้อน คนที่เขียนด่า เขียนว่าทางเฟสบุ๊คนั่นที่ต่อไปจะเดือดร้อน
จะว่าไปแล้วหาบเร่แผงลอยรถเข็นถึงแม้จะทำให้ทางเท้าดูเกะกะ ไม่เป็นระเบียบ แต่มีประโยชน์ที่คนมองไม่ค่อยเห็น ว่าถ้าไม่มีหาบเร่แผงลอยแบบนี้ คนที่มีรายได้น้อย พนักงานชั้นผู้น้อย ข้าราชการชั้นผู้น้อย นักศึกษาที่ยังไม่มีรายได้ เขาก็จะอยู่ยาก
ทุกวันนี้ที่เขาอยู่ได้ทั้งที่ค่าจ้างต่ำ ค่าแรงต่ำ ก็เพราะว่าสินค้าราคาถูกจากหาบเร่แผงลอยรถเข็นนั่น และยิ่งสมัยนี้ร้านโชห่วยก็ไม่เหลือแล้ว ถ้าไม่มีหาบเร่แผงลอย มีแต่ร้านเซเว่น แล้วเซเว่นก็แพง เงินที่ขายได้ก็เข้ากระเป๋าเศรษฐีที่มีเงินอยู่แล้ว แต่หาบเร่แผงลอยรถเข็น ถ้าเราใช้บริการเขา มันก็ทำให้รายได้ไปสู่คนจน และคนที่มีรายได้น้อยก็อยู่ได้
บ้านเราค่าจ้างต่ำ ค่าแรงต่ำที่อยู่ได้ก็เพราะว่าหาบเร่แผงลอยที่เขาไปอุดหนุน แม้ว่าได้ค่าจ้างต่ำ ค่าแรงต่ำ แต่ของหาบเร่แผงลอยก็ยังราคาถูก คนไม่ได้มองแบบนี้
เพราะฉะนั้นเวลาที่ใครรู้สึกแย่กับหาบเร่แผงลอย หาว่ามาเกะกะทางเท้า ให้ลองมองกว้าง ๆ ดู แล้วจะเห็นใจ เข้าใจ แล้วจะรู้สึกขอบคุณด้วย เพราะว่า เศรษฐกิจเมืองไทยขับเคลื่อนด้วยหาบเร่แผงลอยไม่น้อยเลย รายได้ที่หมุนเวียนที่เกิดจากหาบเร่แผงลอยรถเข็นแสนสามหมื่นล้านบาท ถ้าเงินจำนวนนี้หายไป ไปเข้าร้านเซเว่นนี้ คนรวยก็จะรวยเพิ่มขึ้น แต่ว่าคนจนยิ่งจะลำบาก นี่คือสิ่งที่เราต้องเข้าใจ
ถ้าเราเข้าใจ เราจะไม่เกิดความรู้สึกแย่ เกิดความรู้สึกเห็นใจคนที่มาขายของเหล่านี้ ซึ่งต้องมาเจอกับฝุ่น มาเจอกับแดดร้อน ถ้าเราเห็นว่ามีประโยชน์ แทนที่จะแช่งชักหักกระดูก เราก็จะเห็นใจ เข้าใจและมีจิตเมตตา และคนที่มีเมตตามันก็ดีกับเราเอง ถ้าเรามีเมตตา
วันนี้เป็นวันพระด้วย ยิ่งจำเป็นต้องรักษาใจให้ดี มีเมตตากรุณา เจอหาบเร่แผงลอยบนทางเท้า ก็ขอบคุณเขา หรืออย่างน้อยก็เข้าใจว่า เหตุใดเขาต้องมาทำอย่างนี้ และถ้าให้ดีต้องพยายามช่วยเขา ช่วยทำให้ความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยกับคนยากจนน้อยลง
ถ้าบ้านเมื่อเรามีความเหลื่อมล้ำน้อยลง จนกระทั่งมีน้อยนิด หาบเร่แผงลอยรถเข็นก็จะหายไปเองอย่างสิงคโปร์ แต่ถ้ายังไม่มีความพยายามที่จะลดความเหลื่อมล้ำ มันก็ยังต้องมีหาบเร่แผงลอยรถเข็นบนทางเท้าอยู่นั่นเอง
การที่คนจำนวนมากไม่เข้าใจเหตุการณ์นี้ ก็แสดงให้เห็นช่องว่างระหว่างคนมีกับคนไม่มี ที่มีมากขึ้นในเมืองไทย ซึ่งมันก็น่าเป็นห่วง ถ้าทำความเข้าใจกัน เห็นอกเห็นใจกัน มันก็จะทำให้เราอยู่ร่วมกันได้อย่างผาสุก และอย่างน้อยก็มีความทุกข์น้อยลง ความเกลียดชังก็น้อยลง.