พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 6 พฤษภาคม 2567
ที่กรุงดามัสกัส ประเทศซีเรีย เมื่อร้อยปีก่อนมีผู้ชายคนหนึ่ง แกแคระแกร็น เรียกคนแคระก็ได้ ชื่อซาเมียร์ เวลาไปไหนก็เดินต้วมเตี้ยมๆ ช้ากว่าคนอื่นเสมอ เพราะว่าขาสั้น ต่อมาเขาก็ได้รู้จักกับผู้ชายคนหนึ่งชื่อมูฮัมหมัด มูฮัมหมัดนี่ร่างกายแข็งแรงแต่ตาบอด
ทั้งสองคนกลายมาเป็นเพื่อนกันทั้งที่แตกต่างกัน คนหนึ่งตัวเล็กแคระแกร็น อีกคนหนึ่งตัวโตแข็งแรง คนหนึ่งเป็นคริสต์คือซาเมียร์ มูฮัมหมัดเป็นมุสลิม แต่ก็เป็นเพื่อนที่สนิทกันมาก ช่วยเหลือกัน
เวลาซาเมียร์จะไปไหน มูฮัมหมัดก็จะให้ขึ้นหลังขี่คอ เพราะว่ามูฮัมหมัดเดินได้เร็วกว่า แต่มูฮัมหมัดตาบอดก็อาศัยซาเมียร์เป็นเหมือนตาคอยบอกทางให้ สองคนก็เรียกว่า ร่วมมือช่วยเหลือกัน ไม่ใช่แค่ช่วยเหลือด้านชีวิตความเป็นอยู่ แต่รวมถึงการทำมาหากินหรือการเลี้ยงชีพด้วย
ทุกเช้า มูฮัมหมัดจะมารับ ให้ซาเมียร์ขี่คอ แล้วก็เดินไปที่ร้านกาแฟ สมัยนั้นร้านกาแฟเป็นศูนย์รวมของผู้คน ผู้คนชอบกินกาแฟกัน ซาเมียร์ไปทำไม ไปเพื่อเล่านิทาน แกยังชีพด้วยการเล่านิทาน สมัยก่อนไม่มีวิทยุ โทรทัศน์ ไม่มีหนังสือพิมพ์ ไม่มีโซเชียลมีเดีย คนก็หาความบันเทิงและความรู้นะจากการเล่านิทาน
ซาเมียร์เป็นคนที่แม้จะแคระแกร็นนะ แต่ฉลาด ความจำดี จำนิทานโบราณได้เยอะแยะ และเรื่องที่แกชอบเล่าแล้วคนก็เป็นที่นิยมมากคือ อาหรับราตรีหรือพันหนึ่งทิวา สมัยก่อนนี้เป็นที่นิยม อาตมาตอนเด็กๆ ก็ยังอ่านนิยายเรื่องนี้เลย
อาหรับราตรี หรือพันหนึ่งทิวา ร้อยปีก่อนคนนิยมมาก แล้วเรื่องมันยาวนะเป็นเรื่องของพระราชาที่ฟังนิทาน 1001 คืน 3 ปีได้ เรื่องมันยาวหลายเรื่อง
ซาเมียร์ก็เล่าเพราะความจำดี เล่าแล้วมีลูกเล่นลูกชนทำให้มันน่าตื่นเต้น คนก็มาฟัง ฟังกันเยอะเลยแล้วก็ให้เงินซาเมียร์ด้วย ส่วนตัวมูฮัมหมัดนี้ก็มีผลพลอยได้คือ ขายขนมปังอยู่หน้าร้านกาแฟ คนมาฟังซาเมียร์เล่านิทานก็มาซื้อขนมปังจากมูฮัมหมัด เรียกได้ว่าสองคนนี้ก็ช่วยเหลือกัน ช่วยกันทำมาหากิน ไม่ใช่แค่การยังชีพ
จะเดินทางไปไหนมาไหนก็ช่วยกัน คนหนึ่งเป็นตาอีกคนเป็นขา ถึงเวลาทำมาหากิน คนหนึ่งก็เล่านิทานดึงแขกดึงคนมา ก็ทำให้มีลูกค้าซื้อขนมปังจากมูฮัมหมัดซึ่งจริงๆ ก็คงไม่ได้ทำเองหรอก แต่ว่าไปรับเขามาเพราะว่าตาบอด
สองคน คนละศาสนา คนหนึ่งคริสต์ อีกคนหนึ่งเป็นมุสลิมแต่ก็อยู่ด้วยกันได้ จนกระทั่งวันหนึ่งปรากฏว่าซาเมียร์ตาย มูฮัมหมัดนี้เสียใจมากที่เสียเพื่อนรัก
ต่อมา หลังจากที่หายจากความโศกเศร้า ก็มีคนถามมูฮัมหมัดว่า คุณสองคนแตกต่างกันมาก คนละศาสนา แต่ทำไมถึงสนิทสนมกัน ไปไหนก็ไปด้วยกัน คุ้นเคยกัน มูฮัมหมัดก็ตอบสั้น ๆ ก่อนตอบก็แตะที่หน้าอก เราสองคนเหมือนกัน
อะไรเหมือนกัน จิตใจเหมือนกัน มีรักสุขเกลียดทุกข์เหมือนกัน เชื่อมั่นในคุณงามความดี คุณธรรมเหมือนกัน แม้ว่าร่างกายจะแตกต่างกัน คนหนึ่งตัวเล็ก คนหนึ่งตัวใหญ่ หรือแม้แต่ศาสนาต่างกัน แต่น้ำจิตน้ำใจนี้เหมือนกัน
นี่เป็นสิ่งที่สะท้อนสัจธรรมอย่างหนึ่งว่า คนเราแม้ว่าจะมีภาษา ศาสนา เชื้อชาติ แตกต่างกัน แต่สุดท้ายจิตใจเราก็เหมือนกัน เพราะเราเป็นมนุษย์เหมือนกัน
เราลืมไปว่าเราเกิดมาเป็นมนุษย์ก่อนจะเป็นคริสต์ ก่อนจะเป็นอิสลาม ก่อนจะเป็นพุทธ ก่อนจะเป็นยิว ก่อนจะเป็นฮินดู เราเป็นมนุษย์ก่อน ตอนที่คลอดจากท้องแม่เนี่ยเราเป็นมนุษย์ก่อน ส่วนพุทธ คริสต์ อิสลามมุสลิมนะตามมาทีหลัง
แล้วคนเรามักจะมองเห็นแต่ความแตกต่าง เอาความแตกต่างมาเป็นเหตุให้ทะเลาะกัน แต่ว่าสองคนนี้ ซาเมียร์กับมูฮัมหมัด เขาไม่มองเห็นแต่ความแตกต่าง เขามองเห็นความเหมือนกันด้วย สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันก็คือความเป็นมนุษย์ หรือว่าจิตใจที่มีความเป็นมนุษย์
คนเราถ้าหากว่ามองเห็นหรือจ้องมองแต่ความแตกต่าง มันทะเลาะกัน เดี๋ยวนี้ทะเลาะกันมากเลย ถึงขั้นเข่นฆ่าทำสงคราม คริสต์ อิสลาม พุทธ ยิว ฮินดู ตอนนี้ก็เรียกว่า มีการประหัตประหารกันแทบทุกหนทุกแห่งเลย เพราะว่ามองเห็นแต่ความแตกต่าง ก็เลยแบ่งเป็นคนละพวกคนละกลุ่ม
ที่จริงเราควรจะมองเห็นความเหมือน ถ้าคนเราเห็นแต่ความเหมือนเราก็จะรักกัน เหมือนกับซาเมียร์กับมูฮัมหมัด และที่จริงถ้าจะมองความแตกต่างเราก็มองในแง่เอามาเสริมกันได้ ความแตกต่างถ้าเรามองไม่เป็น ก็ทะเลาะกัน แต่ถ้าเรามองเป็น มันก็กลายเป็นสิ่งที่มาเสริมกัน
คนหนึ่งตัวเล็ก อีกคนหนึ่งตัวใหญ่ก็มาเสริมกัน คนหนึ่งตาบอด อีกคนหนึ่งตาดีแต่หัวดีด้วยก็มาเสริมกัน อย่างสองคนเอาส่วนที่แตกต่างกันมาเสริมกัน คนตาดีก็มาเป็นคนช่วยบอกทางให้กับคนที่แข็งแรงแต่ตาบอด
คนเราถ้าเอาความแตกต่างมาเป็นเครื่องเสริมกัน มันก็จะดีเพราะว่าความแตกต่างมันหมายถึงความสามารถที่ไม่เหมือนกัน
ในชาดกพุทธศาสนาก็มีเรื่องของสัตว์ 4 ชนิด ลิง นก กระต่าย ช้าง ร่วมมือกันปลูกต้นไม้ นกนี้เอาเมล็ดพันธุ์มาทิ้งไว้ในดิน ส่วนลิงก็เอาน้ำมารดจนกระทั่งเมล็ดกลายเป็นต้นกล้า กระต่ายนี้ก็มาหยอดปุ๋ย ก็ขี้นั่นแหละมาเป็นปุ๋ย
พอต้นกล้าโต มันก็ต้องการร่มเงา ช้างก็เอางวงเนี่ยถือใบไม้ใบใหญ่ ๆ มาเป็นร่มเงาให้กับต้นกล้า สุดท้ายต้นกล้าก็เติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่ และทำให้ป่าขยายตัว มีป่ามากขึ้น มีต้นไม้มากขึ้น ป่าก็อุดมสมบูรณ์
สัตว์ทั้ง 4 ชนิดก็มีความสุข เพราะว่ามีป่าช้างก็ชอบ นกก็ชอบ กระต่ายก็ชอบ ลิงก็ชอบ ได้ประโยชน์หมด เรียกว่าเอาความแตกต่างมาเสริมกัน ไม่ใช่เอามาทะเลาะกัน
นิทานเรื่องนี้สอนให้คนเรารู้จักเอาความแตกต่างมาเสริมกัน ไม่ใช่มาทะเลาะกัน ขัดแย้งกัน หรือแตกความสามัคคีกัน.