พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 4 มิถุนายน 2568
ที่ประเทศญี่ปุ่น เวลาปิดเทอมใหญ่นักเรียนจะไม่ได้ไปเที่ยวสบาย ๆ เพราะว่าครูจะให้ทำโครงงาน คล้าย ๆ เป็นงานวิจัย แต่ว่าครูคงไม่เรียกแบบนั้น โครงงานนี้เด็กต้องเจอตั้งแต่อยู่ ป.1 จนถึงมัธยมปลาย หัวข้อในการทำโครงงาน เด็กก็ต้องคิดเอง แล้วนำมาเสนอครู
เด็ก
ป.1 บางคนทำโครงงานศึกษาว่านกในหมู่บ้านมีกี่ชนิด หรือว่าศึกษาแมลงรอบ ๆ บ้านว่ามีแมลงอะไรบ้าง เด็กต้องคิดค้นเอาเอง และหาข้อมูลมาสนับสนุน
มีเด็ก ป.6 คนหนึ่งชื่อ โคตะ เป็นผู้ชาย ปิดเทอมแล้วยังคิดไม่ออกว่าจะทำโครงงานอะไรดี วันหนึ่งจะไปเรียนพิเศษตอนเย็น เด็กญี่ปุ่นต้องไปเอง ไม่ใช่ว่าพ่อแม่ไปส่ง และส่วนใหญ่ใช้วิธีเดิน เพราะว่าโรงเรียนอยู่ไม่ไกล โรงเรียนพิเศษต้องเดินข้ามถนน เด็กคนนี้เขามีวินัย เดินข้ามถนนตรงทางม้าลาย
ปรากฏว่าขณะรออยู่ตรงทางม้าลาย รถไม่หยุดให้เดินข้ามเลย รถคันแล้วคันเล่าแล่นผ่านไป โคตะพยายามมอง โบกมือหรือว่ายิ้มให้คนขับรถ แต่คนขับรถก็ไม่สนใจ นานทีเดียว โคตะก็หงุดหงิด ไม่พอใจ ทำไมรถไม่จอดให้คนเดินข้าม ทั้ง ๆ ที่เป็นทางม้าลาย เขาเลยเกิดความคิดขึ้นมาว่า เราน่าจะทำโครงงานนี้
โครงงานนี้มีคำถามเริ่มต้นด้วยว่า รถที่ไม่จอดให้เด็กข้ามถนนตรงทางม้าลายวันหนึ่ง ๆ มีมากเท่าไร เริ่มต้นด้วยคำถามง่าย ๆ และมีคำถามย่อยว่า ช่วงเวลาไหนที่รถไม่จอดให้คนข้ามถนนมากที่สุด และคนประเภทไหนหรือคนขับรถแบบไหนที่ไม่ชอบหยุดรถให้คนข้ามถนน หรือคนขับรถแบบไหนที่ชอบหยุดรถให้คนข้ามถนน เป็นคำถามง่าย ๆ
โคตะก็เริ่มไปยืนตรงทางม้าลาย และเฝ้าดูสังเกตรถแต่ละคัน ๆ ตั้งแต่ 7 โมงครึ่ง ถึง 1 ทุ่ม เกือบ 12 ชั่วโมง ยืนนับ ไม่ได้มีอุปกรณ์อะไร และแต่ละวันก็แบ่งเป็นทีละครึ่งชั่วโมง จาก 7 โมงครึ่ง ถึง 8 โมง, 8 โมง ถึง 8 โมงครึ่ง เพื่ออะไร เพื่อจะได้ดูว่าช่วงไหนที่รถไม่จอดให้คนข้ามถนนมากที่สุด เขาคิดเป็นระบบเหมือนกัน
เขาใช้เวลา 12 วัน ไม่ใช่แค่ทำวันเดียว ใช้ความเพียรมาก
ปรากฏว่าได้ข้อมูลที่แน่นหนามาก เขาพบว่าวันหนึ่งมีรถไม่จอดให้คนข้ามถนนเฉลี่ยแล้ว 638 คัน ใน 12 วัน และช่วงเวลาที่รถไม่จอดมากที่สุด หรือรถไม่หยุดมากที่สุดคือ ช่วง 8 โมง ถึง 8 โมงครึ่ง ซึ่งเป็นช่วงที่ทางบ้านเราเรียกว่า Rush Hour ช่วงเวลาเร่งด่วนหรือช่วงเวลาที่คนทำงาน
ถามว่าคนขับรถแบบไหนที่หยุดให้คนข้ามถนน พบว่า คนขับมักจะเป็นคนเป็นลุงแก่ ๆ หรือว่า เขาเรียกว่า พี่ชายหน้าดุแต่ใจดี และมักจะเป็นรถบรรทุกใหญ่ ๆ
คำถามต่อไป คนขับแบบไหนที่ไม่ชอบหยุดให้คนข้ามถนน ได้คำตอบว่า ส่วนใหญ่เป็นรถคันเตี้ย ๆ และยังบอกอีกว่า คนขับมักจะเป็นประเภทคุณป้า หรือคุณยาย
เขาทำละเอียด และส่งให้ครู ครูพอใจมาก แต่ยิ่งกว่านั้น พอไปปรึกษากับแม่ แม่ก็แนะนำว่า น่าจะเอาผลการศึกษานี้ไปให้สถานีตำรวจใกล้ ๆ บ้านด้วย โคตะเลยเอาไปให้ตำรวจ
ตำรวจชอบมาก เป็นข้อมูลที่มีประโยชน์มาก และแม่ยังบอกโคตะอีกว่า บอกตำรวจด้วยว่า รถที่ไม่หยุดให้คนข้ามตามกฎหมายถูกปรับคันละ 9,000 เยน รถ 638 คัน ถ้าปรับจะได้ค่าปรับ 5 ล้านกว่าเยน ไม่น้อยเลย อันนี้ก็บอกตำรวจด้วย
ตำรวจก็เอาข้อมูลโคตะไปประชาสัมพันธ์ให้กับผู้คนในพื้นที่แถวนั้น เพื่อเชิญชวน และกำชับให้หยุดรถให้คนข้ามถนนด้วย โดยเฉพาะตรงทางม้าลาย คนในชุมชนชื่นชมโคตะมาก
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าประทับใจมาก เป็นเรื่องที่คนไทยเราอาจจะไม่รู้เลยว่า ญี่ปุ่นไม่ว่าจะเรียนอยู่ชั้นไหน ต้องทำโครงงานตอนปิดเทอม ไม่ใช่ว่าจะเที่ยวเล่นสนุกสนานได้ และโครงงานนี้ก็คืองานวิจัยน้อย ๆ ซึ่งเด็กทุกคนทำได้ เด็ก ป.6 ก็ทำได้
อย่างโครงงานที่โคตะทำ ตำรวจนึกไม่ถึงเลยว่า เราน่าจะคิดมา แต่ว่าไม่ได้คิดเลย ทำไมตำรวจไม่ได้คิด เพราะว่าตำรวจไม่ใช่เป็นคนที่ข้ามถนนเหมือนโคตะ
โคตะข้ามถนนทุกวัน เลยเห็นปัญหา เห็นปัญหาแล้วไม่อยู่เฉย ที่จริงอาจจะอยู่เฉยก็ได้ถ้าเกิดว่าไม่มีโครงงานให้ทำ พอครูให้ทำโครงงาน คิดไม่ออก พอเจอปัญหาข้ามถนน เกิดไอเดีย อันนี้เรียกว่า ปัญหาทำให้เกิดปัญญา ถ้าข้ามถนนได้สะดวกคงไม่เกิดโครงงานนี้ คนเราบางครั้งจะเกิดไอเดียได้เพราะว่าเจอปัญหา เจอตอ และได้เกิดฉุกคิดขึ้นมา
และเรื่องของโคตะชี้ให้เห็นว่า ความรู้มีอยู่รอบตัว ไม่จำเป็นต้องหาจากหนังสือก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมีครูมาสอนก็ได้ คนมักจะคิดว่าความรู้อยู่แต่ในตำรา แต่ที่จริงความรู้อยู่รอบตัวเราทุกลมหายใจ สิ่งที่เราเห็นสามารถทำให้เป็นความรู้ได้ แต่บางทีเรามองไม่เห็นต่างหาก
และเรื่องนี้ยังชี้ให้เห็นถึงความเพียร โคตะต้องไปยืนนับรถยนต์อยู่ข้างถนนตั้งแต่ 7 โมงครึ่ง ถึงทุ่มหนึ่ง ไม่เบาเลย คงมีเวลาแว้บไปเข้าห้องน้ำบ้าง มีเวลาแว้บไปกินข้าวบ้าง แต่ว่าไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหนเลย 12 วัน นี่แสดงถึงความเพียรมาก
และแสดงว่าเป็นคนที่รักความรู้ อยากจะรู้ ทำไมอยากจะรู้ เพราะว่าเจอปัญหาด้วยตัวเอง เรื่องแบบนี้บางทีไม่ต้องมีใครสอน เพียงแต่ว่าครูแนะนำให้เด็กเกิดความใฝ่รู้ พอเด็กเกิดความใฝ่รู้แล้ว ความเพียรพยายามก็ตามมาเอง
อันนี้เป็นบทเรียน เป็นตัวอย่างที่พ่อแม่หรือครูบาอาจารย์น่าจะเรียนรู้ว่า เด็กเขาสามารถจะทำอะไรได้มากกว่าที่เราคิดเยอะ และสิ่งที่อยู่รอบตัวเราก็สามารถจะเป็นโอกาสให้เราได้ศึกษาหาความรู้ เอามาเป็นปัญหาเพื่อแสวงหาคำตอบและทางออกได้.