พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 21 เมษายน 2567
มีชายคนหนึ่ง อายุ 70 ปี ชื่อโรเมโร เกิดป่วยหนักจนโคม่า ระหว่างที่นอนอยู่โรงพยาบาล 1 เดือน ไม่ตอบสนองอะไรเลย โรเมโรแกอยู่คนเดียว ลูกก็ไม่ได้อยู่ด้วย เมียก็คงจะเสียชีวิตไปแล้ว
แต่เขามีหมาอยู่ตัวหนึ่ง แล้วก็อยู่กับเขาตอนที่ยังไม่ป่วย พอเขาป่วยแล้วนอนโคม่าอยู่ โรงพยาบาลก็อนุญาตให้หมาตัวนี้มานอนเป็นเพื่อน ซึ่งเป็นเรื่องแปลกมากเพราะว่าเอาหมามานอนเป็นเพื่อน มันไม่ได้ช่วยอะไรเลย ถ้าเป็นลูกเป็นหลานมานั่งเฝ้าไข้ก็ยังพอจะมีประโยชน์อยู่บ้าง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นประโยชน์แค่ไหนเพราะว่าผู้ป่วยก็โคม่าไปเรียบร้อยแล้ว
ในความเข้าใจของคนทั่วไป โคม่าก็คือไม่รู้เรื่องอะไรแล้ว ไม่รู้เนื้อรู้ตัว แล้วจะเอาหมามานอนเป็นเพื่อน มันดูประหลาด เพราะว่าหมาก็ไม่รู้จะช่วยอะไรได้ คุยก็คุยไม่เป็น แถมยังเกะกะอีก แล้วก็อาจจะนำเชื้อโรคมาให้กับคนไข้ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าต้องหาอาหารมาให้หมา ก็เป็นภาระ แต่โรงพยาบาลนี้ก็มีนโยบายแปลก อนุญาตหรืออาจจะสนับสนุนให้หมามาเฝ้าไข้ด้วย
หลังจากที่ผ่านไป 1 เดือน โรเมโรก็ฟื้น เริ่มรู้สึกตัว ประโยคแรกที่พูดขึ้นมา คืออะไร เดาออกไหม เขาถามว่าเทวดาสีขาวอยู่ไหน เทวดาสีขาวที่คอยกระซิบบอกฉันอยู่ตลอดเวลาทั้งคืนทั้งวันเลยว่าไม่เป็นไร ๆ
หมอพยาบาลงงเลย หรืออาจจะยิ้มก็ได้ เพราะว่าเทวดาสีขาวที่โรเมโรพูดถึง คงจะได้แก่หมาตัวนั้นแหละ หมาที่มานอนมานั่งเป็นเพื่อน มันพูดไม่ได้ แล้วมันคงจะไม่เห่าด้วย
แต่ในระหว่างที่โรเมโรโคม่า เขาคงจะเห็นเทวดาสีขาว ก็คือสีเดียวกับหมาตัวนี้ หมาตัวนี้ถ้าเราพูดแบบสายมูหน่อยก็บอกว่าส่งกระแสจิตมา มาให้กับโรเมโร ด้วยความรักความผูกพันก็เลยส่งกระแสจิตมา โรเมโรแกก็คงจะรับรู้ได้ เพราะว่าคุ้นเคยสนิทสนมกับหมาตัวนี้ แล้วก็เลยสร้างเป็นนิมิตขึ้นมาเป็นเทวดาสีขาว มาให้กำลังใจทุกวัน ๆ และทั้งคืนด้วย
เรื่องนี้น่าสนใจ มันแสดงว่า คนที่โคม่านี่ไม่ใช่ว่าเขาไม่ได้รับรู้อะไรเลย เขารับรู้ได้ และเรื่องนี้ก็มีหลักฐานยืนยันมากมาย คนที่โคม่าสามารถจะเห็น สามารถจะได้ยิน บางทีเหมือนฝันไป แต่ว่ามันก็ไม่ใช่ความฝันทีเดียวเพราะมันมีมูลความจริงอยู่ด้วย
และการที่หมาตัวนี้สามารถที่จะส่งผลต่อจิตใจของโรเมโรได้ในขณะที่เขาหลับ มันเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก ถ้าหมาทำได้ คนก็ทำได้เหมือนกัน ลูกหลาน ญาติพี่น้อง คนรัก สามีภรรยามานั่งเฝ้าไข้คนที่โคม่า หรือแม้แต่เป็นผัก แม้จะไม่ได้พูดคุยกันเลย แต่แค่ความรักความปรารถนาดีที่มีแต่คนไข้ ก็เชื่อว่าคนไข้สามารถจะรับรู้ได้ เขารับรู้แล้วเขาก็อาจจะแปรเป็นภาพ เป็นเทวดา เป็นอะไรก็แล้วแต่
มีผู้ชายคนหนึ่งเล่นเทนนิสอยู่กับเพื่อน อายุประมาณสัก 50 ได้ ก็คงเล่นเป็นประจำ แต่ว่าคราวนี้เล่นอยู่ดี ๆ เป็นลมล้มฟุบไปเลย เพื่อนเป็นหมอ เห็นเพื่อนเป็นลมล้มฟุบไป ก็ไปดูอาการ ปรากฏว่าหัวใจหยุดเต้น หมอเลยปั๊มหัวใจตอนนั้นเลย ปรากฏว่าปั๊มสำเร็จ
คนไข้ฟื้นขึ้นมา แล้วเขาเล่าว่าตอนที่หัวใจหยุดเต้น ซึ่งในทางการแพทย์ถือว่าตายแล้ว เขาบอกเหมือนกับฝันไป ฝันว่ากำลังจะขึ้นเครื่องบิน เครื่องบินลำนี้มีเขาอยู่คนเดียวเป็นผู้โดยสาร เครื่องกำลังจะออกอยู่แล้ว ปรากฏว่ามีเพื่อนมาเรียกให้ลงจากเครื่องบิน เพื่อนที่เรียกก็คือหมอที่ช่วยปั๊มหัวใจนี่แหละ พอลงจากเครื่องบิน ก็เลยเริ่มรู้สึกตัว แล้วก็เห็นหน้าเพื่อนซึ่งกำลังปั๊มหรือเพิ่งปั๊มเสร็จอยู่
หัวใจหยุดเต้น แต่ว่าสิ่งที่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในจินตนาการ มันไม่ใช่แค่ความฝันธรรมดา มันมีความจริงอยู่ด้วย เห็นเพื่อนมาเรียกให้ลงจากเครื่องบิน เพราะถ้าไม่ลงจากเครื่องบิน เครื่องบินคงจะพาไปไหนก็ไม่รู้แล้ว พาไปภพหน้าแล้ว แต่นี่ลงจากเครื่องบินทันก่อน ตอนนั้นหัวใจหยุดเต้นแล้ว แต่จิตยังรับรู้ได้ว่าเพื่อนกำลังปั๊ม แต่ว่าการรับรู้นั้นก็มีการปรุงแต่ง เป็นภาพว่า เพื่อนกำลังเรียกให้ลงจากเครื่องบิน
ก็คงคล้าย ๆ กับโรเมโรที่หมาน้อยส่งความรักความห่วงใยไปให้เขา แล้วเขาก็รับรู้ได้ แล้วก็ตีเป็นภาพว่าเทวดาสีขาวมาพูดให้กำลังใจ ให้ความหวัง ให้ความห่วงใย ก็เลยทำให้ช่วงเวลาที่เขาโคม่าอยู่นี่ ไม่ได้ทุกข์อะไรเลย มีเทวดาสีขาวมาเป็นเพื่อน มาให้กำลังใจ ซึ่งก็คือหมาตัวนั้นนั่นแหละ
เพราะฉะนั้นคนที่โคม่าหรือแม้แต่เป็นผัก เราอย่าไปคิดว่าเขาไม่รับรู้อะไร เขารับรู้ได้ แล้วเพราะฉะนั้นเวลาเราอยู่กับเขา ถ้าเราพูด เราคุย หรือส่งความปรารถนาดี แผ่เมตตาจิตให้เขา เขาคงจะรับรู้ได้เหมือนกัน แล้วอาจจะนึกว่าเราเป็นเทวดาที่กำลังช่วยเหลือดูแลเขาอยู่ก็ได้.