พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 19 เมษายน 2567
ที่กรุงเทพมีผู้ชายคนหนึ่งวิ่งทุกเช้าเลย อันนี้ก็ไม่ต่างจากคนอีกมากมายที่วิ่งออกกำลังกายทุกเช้า แต่ว่าผู้ชายคนนี้แตกต่างจากส่วนใหญ่ที่วิ่ง คือ 1) จะวิ่งวันหนึ่งนี้เกือบ 10 กิโลหรือเกินกว่า 10 กิโลด้วย ใช้เวลาวิ่งประมาณชั่วโมงครึ่ง วิ่งบนพื้นราบครึ่งชั่วโมง แล้วก็วิ่งขึ้นบันไดหรือทางลาดนี้อีกชั่วโมงหนึ่ง
ข้อ
2) แกวิ่งเท้าเปล่า ไม่ได้ใส่รองเท้า ไม่ใช่ง่าย วิ่งตามฟุตบาท หรือบนถนนในกรุงเทพฯ ข้อ 3) แกวิ่งทุกวันมา 13 ปีแล้ว ไม่ใช่ว่าวันปีใหม่ หรือว่าคริสต์มาส หรือสงกรานต์แล้วหยุด เขาวิ่งทุกวันไม่มีวันหยุดนักขัตฤกษ์
ข้อ 4) แกอายุ 66 ปี อายุมากกว่าหลายคนในที่นี้ แกบอกแกวิ่งมา 13 ปีแล้ว ก็คือวิ่งตั้งแต่อายุ 53
หลายคนนี้วิ่งเพื่อออกกำลังกาย แต่แกบอกว่าแกวิ่งเพราะมีจุดกระตุ้นก็คือเพื่อเตรียมตัวตาย แกบอกว่าเหตุการณ์ที่กระตุ้นให้แกหันมาวิ่งเป็นประจำทุกวัน ก็เพราะว่าแม่ป่วยหนัก จนมาถึงระยะท้ายหมอก็บอกแกกับลูก ๆ คือพี่ ๆ น้อง ๆ ว่า แม่อยู่ได้อยู่ไม่เกิน 24 ชั่วโมง
หมอไม่ได้บอกคนไข้ แต่บอกลูก บอกญาติ ก็เป็นหน้าที่ของลูกตัดสินใจแล้วคิดว่าควรจะบอกแม่จะได้เตรียมตัวรับมือความตาย แต่พอลูกบอกแม่ว่าวาระสุดท้ายใกล้มาถึงแล้ว
แม่มีท่าทางตื่นตระหนกและพูดขึ้นมาว่า ทำยังไงดีลูก แกบอกประโยคนี้ เขาสะเทือนใจมาก เพราะว่าแม่อายุมากแล้วยังไม่รู้เลยว่าเมื่อจะตายควรเตรียมใจอย่างไร จึงมาถามลูก
เขาบอกหดหู่และผิดหวังมาก ที่แม่นี้ไม่รู้เลยว่าเมื่อจะตายควรจะทำใจอย่างไร ถามลูก
ที่จริงลูกก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ลูกอาจจะคิดว่าฉันยังหนุ่มอยู่ ยังไม่รู้ตอนนี้ไม่เป็นไร แต่แม่นี้อายุมากควรจะรู้
อย่างไรก็ตาม เขาก็ฉุกคิดว่าเราเองก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่า เมื่อจะตายนี้ควรจะทำใจอย่างไร ก็เลยอยากจะรู้ขึ้นมา พยายามคิด พยายามใคร่ครวญก็ยังไม่รู้คำตอบ
แล้วเขาก็ได้คิดว่าน่าจะหาคำตอบจากพระพุทธเจ้า ก็เลยคิดจะบวช บวชเพื่อศึกษาธรรมและจะได้พบคำตอบว่าเมื่อถึงเวลาใกล้ตายจะวางใจอย่างไร
พอไปขอบวชจากหลวงพ่อที่รู้จัก ท่านบอก "โยมอยู่เป็นฆราวาสดีแล้ว" เพราะอะไร เพราะว่าป่วยหลายโรค ไม่เหมาะที่จะมาบวชพระ เขสมีหลายโรค คงเบาหวานด้วย แล้วก็โรคหยุดหายใจขณะหลับ
พอไม่ได้บวชทำยังไง? ไม่ได้บวชก็ศึกษาเองก็ได้ แล้วเขามาได้คิดว่า การปฏิบัติธรรมนี้มันน่าจะให้คำตอบได้ และการปฏิบัติธรรมที่เขาทำได้คือการวิ่ง วิ่งเพื่อปฏิบัติธรรม วิ่งเพื่อเจริญสติ
ซึ่งในที่สุดก็ทำให้เขารู้ว่า เมื่อใกล้ตายนี้จะตายอย่างสงบได้ก็ต้องรู้จักปล่อยวาง ทำใจให้สงบระงับ แต่ว่าเมื่อรู้แล้วนี้ เขาก็ยังคิดว่ายังต้องปฏิบัติธรรมอยู่เรื่อย ๆ บวชพระไม่ได้ก็ปฏิบัติธรรมขณะเป็นโยมก็ยังได้
แล้วแกก็ใช้วิธีการวิ่งนี่แหละเป็นการปฏิบัติธรรมด้วยการเจริญสติ และนี่คือคำตอบว่าทำไมเขาถอดรองเท้า เขาบอกว่าเพื่อจะได้รู้ ไม่ใช่แค่รู้กายเคลื่อนไหว แต่รู้เวลาเหยียบขี้หมาก็รู้ เวลาเหยียบแก้วก็รู้ เวลาเจอหนามก็รู้ มันรู้ชัดดี
แล้วก็คงไม่ใช่แค่รู้อย่างเดียวว่าเหยียบขี้หมาเหยียบแก้ว คงรู้ด้วยเวลามันเกิดความขยะแขยงเพราะเหยียบขี้หมา หรือรู้สึกปวดเวลาเหยียบเศษแก้วเศษหนาม คือเรียกว่าไม่ใช่แค่รู้กายรู้ใจแต่รู้เวทนาด้วย เป็นการปฏิบัติธรรมที่น่าสนใจมาก
ตอนหลังนี่ วิ่งไป วิ่งไป ก็วิ่งได้มากขึ้น ยาวขึ้น ระยะหลังที่วิ่งมา 10 ปีนี้หรือเกือบ 10 ปีนี้ เขาวิ่งได้ 30 กิโลโดยไม่หยุดเลย วันหนึ่งได้ข่าวว่ามีการวิ่งมาราธอน เดี๋ยวนี้วิ่งกันเยอะวิ่งมาราธอนนี้ วิ่งมาราธอน 42 กิโล เขาบอกเราก็วิ่งประจำอยู่แล้ว 30 กิโล วิ่งอีกหน่อยมันจะยากอะไรก็เลยไปสมัคร
เขาบอกเขาไม่รู้เรื่องอะไรหรอก วิ่งมาราธอนนี้ต้องทำอะไรบ้าง ต้องแต่งเครื่องแบบอะไรบ้าง ต้องมีติดป้ายติดเบอร์อะไรก็ไม่รู้เรื่องหรอก ใส่เสื้อธรรมดากางเกงธรรมดารองเท้าไม่มีแล้วก็วิ่งกับเขา แกบอกเคยทำสถิติวิ่งได้ 4 ชั่วโมง 13 นาที ถือว่า ไม่น้อยเลย ไม่น้อยนี่คือน้อยมากเมื่อเทียบกับคนหนุ่มสาวด้วยซ้ำ
4 ชั่วโมง 13 นาที เขาก็วิ่งมาหลายครั้งแล้ว แต่ไม่ได้วิ่งเพื่ออยากดังนะ วิ่งเพื่อลองดูว่าเราทำได้ไหม แล้วทุกวันนี้เขาก็ยังวิ่งอยู่ วิ่งโดยที่ไม่ได้แต่งตัวอะไรที่พิสดาร
อันนี้ก็เป็นเรื่องที่น่าคิด เพราะบางคนนี้ทั้งที่รู้ว่าการวิ่งนี่ดี ออกกำลังกายทุกเช้าดี แต่เวลาจะวิ่งนี่จะเกี่ยงงอน จะมีข้ออ้างเยอะ หรือบางทีก็ต้องให้รางวัลกับตัวเอง ซื้อรองเท้าแพง ๆ ใส่เสื้อสวย ๆ จะได้เกิดแรงจูงใจในการวิ่ง แต่ลงทุนขนาดนั้นบางคนก็ยังไม่ยอมวิ่ง ได้รองเท้ามาแล้วราคาหลายพัน ได้เสื้อสวย ๆ มาแต่ไม่ยอมวิ่ง
ไม่เหมือนกับลุงคนนี้ชื่อสมหมาย เสื้อธรรมดา รองเท้าไม่มี แต่ก็วิ่งทุกวัน เพราะสิ่งสำคัญไม่อยู่ที่เสื้อผ้าอยู่ที่รองเท้า แต่อยู่ที่ความตั้งใจ
ก็คล้าย ๆ กับคนที่อยากปฏิบัติธรรม บางคนจะปฏิบัติธรรมได้ต้องใส่เสื้อ นุ่งขาวห่มขาวราคาแพง ต้องซื้อเบาะราคาแพงถึงจะมีกำลังใจนั่งสมาธิ ให้รางวัลหรือจูงใจตัวเอง แต่เอาเข้าจริง ๆ พอถึงเวลามีเครื่องเคราครบแล้วก็ยังไม่ยอมนั่ง นั่งได้แค่วันแรก 2-3 วันแรก 4-5 นาที 10 นาทีแล้วก็เลิก
ขณะที่บางคนนี้ไม่มีอะไรมาก เสื้อก็ไม่ได้ขาว บางทีกางเกงก็ธรรมดากางเกงขาสั้น แต่ว่านั่งทุกวัน นั่งได้นานเพราะว่ามีความตั้งใจเห็นคุณค่า
แต่ในกรณีของโยมสมหมายนี้ ที่จุดประกายคือความตาย ระลึกถึงความตายว่า เมื่อวันที่ความตายมาถึงเราจะเตรียมตัวเตรียมใจอย่างไร แล้วก็พบว่าต้องปฏิบัติธรรม ต้องฝึกจิตก็เลยนำมาสู่การวิ่งนี้ พอวิ่งเป็นประจำแล้วมันก็กลายเป็นนิสัย เป็นความเคยชิน วันไหนไม่วิ่งก็คงจะรู้สึกขาดอะไรไปบางอย่าง การวิ่งก็เลยกลายเป็นเรื่องง่ายแล้วก็เป็นการฝึกจิตไปในตัวด้วย.