พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 15 เมษายน 2567
ช่วงนี้นอกจากอากาศจะร้อนมากแล้ว น้ำก็เริ่มน้อยลง และอาจจะขาดแคลนในบางที่ นอกจากนี้ยังมีเรื่องฝุ่น ฝุ่นที่เราเห็นด้วยตาอาจจะยังไม่เท่าไหร่ ในส่วนที่เรามองไม่เห็นนี่สิน่ากลัว คือ PM 2.5 ซึ่งนับวันจะรุนแรงมากขึ้น
เดี๋ยวนี้คนป่วยเพราะมลภาวะมากขึ้นเรื่อย ๆ มลภาวะมันไม่ได้มีแค่ควันเสีย อากาศพิษ แต่ต้องรวมถึงฝุ่น PM 2.5 ด้วย เมื่อปีที่แล้วมีคนไทยป่วยเข้าโรงพยาบาลหรือไปหาหมอเพราะมลภาวะในอากาศถึง 10 ล้านคน เรามีประชากร 70 ล้านที่ไปหาหมอ 10 ล้านคน ยังไม่นับที่ไม่ได้ไปหาหมอ นี่เมื่อปีที่แล้ว ข้อมูลจากสภาพัฒน์
แล้วก็ปีนี้ก็มีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้น เพราะว่าเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว 9 อาทิตย์แรกของปีที่แล้วมีคนไปหาหมอ 1 ล้าน 3 แสนคน แต่ปีนี้ช่วงเวลาเดียวกันคือ 9 อาทิตย์ คนไปหาหมอแล้ว 1.6 ล้านคน เฉพาะแค่มกราคมถึงต้นมีนาคม คนก็ไปหาหมอเกือบ 2 ล้านแล้ว ถ้าถึงสิ้นปีก็อาจจะมีเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ ก็คงจะมากกว่า 10 ล้าน อันนี้เป็นภัยที่คนไม่ค่อยได้ตระหนักว่ามันรุนแรงแค่ไหน
อย่างที่เราทราบ PM 2.5 เป็นฝุ่นที่เล็กมาก เล็กชนิดที่เรามองไม่เห็นด้วยตาเปล่า มันเล็กกว่าขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเส้นผมอีกหลายเท่า อันนี้มันอันตราย เพราะว่าความที่มันเล็กมาก มันก็เลยสามารถจะผ่านด่านต่าง ๆ ในร่างกายคนเรา ตั้งแต่รูจมูก หรือเมือกแถวทางเดินหายใจ ฝุ่นนี่มันก็สามารถจะเข้าไปสู่ทางเดินหายใจของเราได้อย่างง่ายและรวดเร็วเพราะมันเล็กมาก
ธรรมชาติของร่างกายเราไม่ได้วิวัฒนาการมาเพื่อดักจับฝุ่นเล็ก ๆ แบบนี้ เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่มีมาก่อนในธรรมชาติ แต่มันเกิดขึ้นจากมนุษย์ในระยะหลัง
คราวนี้พอฝุ่นเล็ก ๆ มันเข้าไปในทางเดินหายใจ อย่างน้อย ๆ ก็เกิดอาการแสบคัน ระคายเคืองที่คอ แต่นั่นยังเล็กน้อย ที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือมันจะเข้าไปสู่ปอด แล้วพอเข้าสู่ปอดมันก็เข้าสู่กระแสเลือด เข้าสู่กระแสเลือดมันก็ไปทำอะไรตั้งหลายอย่าง เช่น ทำให้เกิดอักเสบตามเส้นเลือด หรือไปอุดตันเส้นเลือดที่มันเล็กมาก เข้าเส้นเลือดฝอย หรือว่าทางเดินหายใจที่มันเล็กมาก คือปอด มันก็ทำให้เกิดโรคต่าง ๆ มากมาย
ตอนนี้คนที่ไปหาหมอในเมืองไทยส่วนใหญ่ 4 โรคใหญ่ ๆ หลอดลมอักเสบ หอบหืด มะเร็งปอด แล้วก็โรคหัวใจ ซึ่งเขาเชื่อว่ามันสัมพันธ์กับฝุ่น PM 2.5 แล้วมันก็รุนแรงขนาดทำให้เป็นมะเร็งปอดได้ ซึ่งตอนนี้ก็ยังไม่มีวิธีการรักษาที่ดีพอ
คนภาคเหนือเป็นมะเร็งปอดกันเยอะมากในช่วงระยะหลัง ซึ่งก็สันนิษฐานว่าเกิดจาก PM 2.5 ความร้อนที่เกิดขึ้นกับเรา ที่เกิดขึ้นจากอากาศร้อน พอตกค่ำมันก็เย็นแล้ว แต่ PM 2.5 นี่มันอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศ ไม่ใช่แค่ตลอดวัน กลางคืนด้วย แล้วก็อาจจะทั้งปีเลย เพียงแต่ว่าหน้าฝนก็น้อยหน่อย
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราต้องใส่ใจ ถามว่ามะเร็ง หรือว่า PM 2.5 มาจากไหน มันก็มาจากการเผาไหม้ ไม่ใช่แค่เผาไหม้จากเครื่องยนต์อย่างเดียว แต่รวมทั้งการเผาป่า การเผาไร่ โดยเฉพาะเดี๋ยวนี้เราพบว่าเผาป่าเพื่อปลูกข้าวโพด ไม่ใช่เมืองไทยอย่างเดียว พม่า ลาว ก็เหมือนกัน เผาป่าเพื่อปลูกข้าวโพด แล้วข้าวโพดส่วนใหญ่ไม่ได้ไปไหน ส่งมาที่ไทย บริโภคกันในเมืองไทย ข้าวโพดไม่ว่าจะแถวภาคเหนือที่ปลูกบนเขาหัวโล้นหรือว่าในพม่า ในลาว หรืออาจจะรวมเขมร ตลาดใหญ่คือเมืองไทย ยังไม่นับการเผาไร่อ้อย
เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าเราเห็นว่าปัญหา PM 2.5 เป็นเรื่องใหญ่ เราก็ต้องหาทางระงับยับยั้ง ไม่ให้มีการเผาป่าในลักษณะนี้ ซึ่งก็เป็นเรื่องใหญ่ แต่อย่างน้อย ๆ สิ่งที่เราทำได้ก็คือปลูกต้นไม้มาก ๆ อันนี้ทำได้เลย ส่วนการระงับยับยั้งการเผาป่าเพื่อทำไร่ข้าวโพดในเมืองไทย หรือว่าในประเทศเพื่อนบ้านนี่ก็ต้องใส่ใจ หาทางป้องกัน ไม่อย่างนั้นมันจะยืดยาวกันเป็นหลายชั่วคนเลยทีเดียว ตราบใดที่ยังมีปัญญาที่จะปลูกข้าวโพด เพราะฉะนั้นลูกหลานเราก็จะลำบากมากขึ้น
อย่างไรก็ตามนอกจากการป้องกันระมัดระวัง เช่น บางคนก็ใช้วิธีการใส่หน้ากาก อย่างหนึ่งที่ต้องใส่ใจคือการดูแลใจของตัว คือไม่ประมาทแต่ก็อย่าตื่นตระหนก ความตื่นตระหนกมันก็เป็นปัญหาในตัว เพราะว่าพอเราตื่นตระหนก เราก็อาจจะนอนไม่หลับ ความดันขึ้น เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมา บางทีผลเสียจาก PM 2.5 ยังไม่ทันเกิดชัดเจนเลย แต่ว่าเราก็แย่เสียแล้วเพราะความตื่นตระหนก
การที่เรารู้ข่าวคราวเรื่องภัยต่าง ๆ จากสิ่งต่าง ๆ อันนี้เป็นเรื่องดี แต่ถ้าเราปล่อยใจให้ตื่นตระหนกมากเกินไป เราก็แย่ เราไม่ได้แย่เพราะภัยเหล่านั้นเพราะบางทีอาจจะยังไม่ทันเกิดหรือผลร้ายยังไม่แสดงตัวชัดเจน แต่ความวิตกกังวลก็ทำให้เราแย่ไปเสียแล้ว นอนไม่หลับ ความดันขึ้น ปวดโน่นปวดนี่ ไม่ใช่เฉพาะวิตกเรื่อง PM 2.5 บางทีก็วิตกเรื่องงานการ บางทีก็วิตกเรื่องความเจ็บป่วยของตัว
แค่ความวิตกกังวลนี่ก็ทำให้เราแย่แล้ว บางคนไปเดินตากแดด วิตกว่าจะเป็นไข้ ปรากฏว่าเป็นไข้จริง ๆ เลย ไม่ได้เป็นไข้เพราะแดดหรือเพราะความร้อนแต่เพราะความวิตก วิตกว่าจะมีผื่น มีฝ้า พอวิตกปุ๊บเป็นปั๊บ หรือเกิดขึ้นปั๊บเลย
คนที่เขาไม่วิตกเขาไม่เป็นอะไร ทั้ง ๆ ที่เจอแดดเหมือนกัน แต่ความวิตกนี่มันก็เป็นตัวเร่งให้ทำให้สิ่งที่กลัวนั้นเกิดขึ้นจริง หรือบางทีอาจจะไม่ได้นึกถึงแต่มันไม่ดีก็เกิดขึ้นได้เหมือนกัน
เพราะฉะนั้น เรารู้จัก เห็นอันตรายของ PM 2.5 แล้วพยายามป้องกันก็ดีแล้ว แต่ก็ต้องรู้จักดูแลใจอย่าให้ตื่นตระหนกด้วย ไม่ว่าเรื่อง PM 2.5 หรือเรื่องใดก็ตาม เพราะว่าความวิตก ตัวมันเองก็เป็นอันตรายเหมือนกัน ไม่ใช่ต่อจิตใจของเราอย่างเดียว ต่อร่างกายของเราด้วย ถึงตายได้ มีตัวอย่างมาเยอะแล้ว.