พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้า ค่ายสามเณรและศีลจาริณี วัดป่าสุคะโต วันที่ 11 เมษายน 2567
ลูกเณร ลูกศีล รู้ไหมว่าวันนี้เป็นวันสำคัญของพวกเรา สำคัญมากด้วย ทำไมถึงสำคัญ เพราะว่าเป็นวันที่เราจะได้เป็นนักบวชตลอดทั้งวันเป็นวันสุดท้าย วันนี้คือวันสุดท้ายที่เราจะได้เป็นนักบวชเต็มวัน ตลอด 24 ชั่วโมง เพราะพรุ่งนี้เราจะเป็นนักบวชแค่ครึ่งวัน วันนี้คือวันสุดท้ายของการเป็นนักบวชเต็มวัน ตลอด 24 ชั่วโมง จึงเป็นวันสำคัญมาก
เพราะฉะนั้น ขอให้เราครองตนเป็นนักบวช ไม่ว่าจะเป็นสามเณรหรือศีลจาริณี อย่างเต็มที่ สุดฝีมือ เต็มร้อย เป็นนักบวชเต็มร้อย หมายความว่าอย่างไร หมายความว่าตัวเราอยู่วัด ใจเราก็อยู่วัดด้วย ไม่ใช่ตัวอยู่วัด ใจอยู่บ้าน ไปนึกถึงบ้านแล้ว ไปนึกถึงห้างสรรพสินค้าแล้ว อย่างนี้เรียกว่าเป็นนักบวชไม่เต็มร้อย ครึ่ง ๆ กลาง ๆ
เป็นนักบวชเต็มร้อยก็คือว่า ตัวอยู่วัด ใจก็อยู่วัด
เป็นนักบวชเต็มร้อย ยังหมายความอีกว่าในขณะที่เราครองเพศสมณะหรือนักบวช ใจเราก็ขอให้ประพฤติตนเหมือนกับนักบวช ไม่ใช่ว่าตัวเป็นสามเณร ตัวเป็นศีลจาริณี แต่ใจไปกินข้าวเย็นแล้ว หรือว่าตัวเป็นสามเณร ตัวเป็นศีลจาริณี แต่ใจไปเล่นเกมแล้ว หลายคนไปแล้ว เล่นเกมออนไลน์ที่บ้านแล้ว กินข้าวเย็นแล้ว หรือไม่ก็เล่นโทรศัพท์มือถือ หรือไม่ก็ไปเที่ยวห้างแล้ว ใจไปแล้ว ตัวยังเป็นสามเณรอยู่ ยังเป็นศีลจาริณี อย่างนี้เรียกว่าไม่เต็มร้อย
เพราะฉะนั้น ในเมื่อวันนี้คือวันสุดท้ายของการเป็นนักบวชของเรา ก็ขอให้การปฏิบัติของเราเต็มร้อย ตัวอยู่นี่ ตัวอยู่วัด ใจก็อยู่วัด ถ้ามันไหลไปที่บ้านก็พากลับมา ถ้าพากลับมาถือว่าสมกับเป็นนักบวช ขณะที่เราครองผ้า ไม่ว่าจะเป็นผ้าเหลือง ผ้าขาว
แต่ถ้าใจไปอยู่ที่ร้านพิซซ่าแล้ว ไปกินพิซซ่า กินสุกี้ตี๋น้อยตอนเย็น หรือว่าเล่นเกม วิดีโอเกม อย่างนี้เรียกว่าความเป็นนักบวชของเราไม่เต็มร้อยแล้ว ไหน ๆ เป็นวันสุดท้ายของการเป็นนักบวชแล้ว ทำให้สุดฝีมือ
ดูแลใจของเจ้าของ ดูแลใจของเราให้ดี อย่าให้ไหลไปที่บ้าน อย่าให้ไปซุกซนเกินความเป็นนักบวชของเรา เผลอได้ คิดได้ แต่ว่าให้กลับมา คนเราเผลอได้ เผลอกินข้าวเย็น เผลอนึกเล่นเกม แต่ว่าพอรู้แล้วกลับมา ไม่ใช่ปล่อยใจเตลิด วันนี้ถ้าเราทำได้ เราเก่งมากเลย สมกับเป็นนักบวช เป็นการใช้วันสุดท้ายของการเป็นนักบวชของเราในปีนี้อย่างวิเศษ
อย่าลืม นอกจากตัวทำกิจวัตรประจำวันอย่างที่เคยทำมาเกือบตลอด 3 อาทิตย์แล้ว ใจก็ให้อยู่กับสิ่งที่ทำ เรียกว่า “ตัวอยู่ไหน ใจอยู่นั่น” วันสุดท้ายของการเป็นนักบวช ขอให้เรานึกเอาไว้อยู่เสมอ ตัวอยู่ไหน ใจอยู่นั่น ตัวอยู่วัด ใจอยู่วัด ตัวเป็นพระ ใจก็เป็นพระด้วย ตัวเป็นเณร ใจก็เป็นเณร ตัวเป็นศีลจาริณี ใจก็เป็นศีลจาริณีด้วย หมั่นดูใจของตัวเองเอาไว้
และถ้าดูใจเรื่อย ๆ นอกจากจะไม่เผลอไผลไหลไปเป็นฆราวาส ไปเป็นโยมแล้ว บางทีเราจะเห็นอะไรแปลก ๆ ในใจของเรา
สังเกตไหม เวลาเราดื่มน้ำ กินโค้ก กินขนมกรุบกรอบ พอกินเสร็จ ขวดน้ำเปล่าในมือเราจะกลายเป็นขยะ กระป๋องโค้กจะกลายเป็นขยะ ห่อขนมจะกลายเป็นขยะไปทันที พอเป็นขยะเสร็จ เราทำอย่างไร ใจเราอยากทิ้งเลย
ตอนที่ขวดยังมีน้ำอยู่ ตอนที่กระป๋องยังมีน้ำอัดลมอยู่ เรากำไว้แน่นเลย ตอนที่ห่อขนมยังมีขนมอยู่ข้างใน เราถือไว้แน่นเลย ใครจะมาแย่งไม่ยอม แต่พอกลายเป็นขวดเปล่า กลายเป็นกระป๋องเปล่า กลายเป็นห่อเปล่า เราทำอย่างไร อยากจะทิ้งทันที
หลายคนทิ้งทันที ไม่ว่าจะอยู่บนรถ ถ้าอยู่บนรถก็โยนออกนอกหน้าต่าง หรือว่าถ้าอยู่ในบ้าน อยู่ในโรงเรียน ก็ทิ้งข้างทางเลย ครูหรือพ่อแม่ต้องคอยบอกว่าให้ถือเอาไว้แล้วไปทิ้งที่ถังขยะ แต่หลายคนขาดสติ ถ้าในมือเราถือขยะจะรีบทิ้งทันที ไม่ยอมถือนาน ๆ
แต่ใจเราแปลก เวลามีขยะอยู่ในใจ ใจเราจะถือเอาไว้นาน ๆ จะแบกไว้นาน ๆ ขยะในใจคืออะไร ความโมโห ความโกรธ ความโลภ ความน้อยเนื้อต่ำใจ ความอิจฉา ความเศร้า ความอาลัย พวกนี้ขยะทั้งนั้น
ขยะที่อยู่ในมือ เรารีบทิ้ง จนกระทั่งครูต้องบอกว่าอย่าเพิ่งรีบทิ้ง เก็บไว้ก่อน แล้วเอาไปทิ้งถังขยะ แต่บางคนรีบทิ้ง สังเกตไหม ทางมาวัด ถนนมาวัด ขยะเยอะไปหมดเลย เพราะว่าคนเรา ธรรมชาติของมือ หรือธรรมชาติของกาย ไม่ชอบแบก ไม่ชอบถือ ไม่ชอบจับ โดยเฉพาะถ้าเป็นขยะ
แต่ใจตรงข้าม กลับชอบถือ ชอบแบกขยะ ทั้ง ๆ ที่ไม่ดีเลย ความโกรธอยู่ในใจ เราถือเอาไว้นาน ๆ เป็นอย่างไร นอนหลับไหม ความเศร้า ความเสียใจ ความอาลัย ความน้อยใจ ถ้าอยู่ในใจเรา สบายดีหรือเปล่า ไม่สบาย แต่ทำไมใจเราชอบถือ ชอบแบก
ถ้าใจเราทำเหมือนกายหรือมือ คือเจอขยะปุ๊บทิ้งปั๊บ โอย เราจะมีความสุขได้ง่าย สิ่งที่เราต้องฝึกก็คือว่า มือเราเวลาถือขยะหรือแบกของหนักเอาไว้ เราต้องถือเอาไว้จนกว่าจะเห็นถังขยะ ต้องรู้จักเก็บไว้ก่อน อยู่ในรถก็ไม่ใช่ว่าโยนออกนอกหน้าต่าง หรือไปเสียบไว้ตรงช่องไหนที่ว่างที่อยู่ในรถ “สั่งกายไว้ สั่งมือเราให้ถือไว้ก่อน อย่าเพิ่งรีบทิ้ง” ไม่ว่าอยู่ในรถ อยู่ในบ้าน หรืออยู่ในโรงเรียน
แต่ถ้าเป็นใจ ใจเราจะอีกแบบหนึ่งเลย ใจเราถ้าถืออะไรไว้ แบกอะไรไว้ที่เป็นขยะ ต้องทำอย่างไร ต้องรีบทิ้ง ความโกรธ ความเกลียด ความเครียด พวกนี้อย่าไปแบกเอาไว้ แต่ใจเราชอบแบก ชอบถือ หวง เก็บไว้ข้ามวันข้ามคืนเลย
ใครมาแกล้งเรา ใครมาด่าว่าเรา เราเจ็บ เราแค้น เราจะจำ เราจะจำคำพูด การกระทำของเขาเอาไว้ แล้วมันก็เผาลนใจเหมือนกับแก้วที่ทิ่มแทงหรือบาดใจของเรา สิ่งที่เราควรทำคืออะไร รีบทิ้ง
เวลาเราไปเจอหิน เราคิดว่าหินสวย ไปจับเอาไว้ ถือเอาไว้ ปรากฏว่ากลายเป็นถ่าน ถ่านก้อนแดง ๆ เราควรทำอย่างไร รีบทิ้ง มือเราถ้าไปจับ ไปถูกถ่าน รีบสะบัดเลย ถ้าเป็นถ่านแดง ๆ แต่ใจเรากลับถือเอาไว้ สิ่งนั้นคืออะไร คือความโกรธ คือความเกลียด เราต้องฝึก ฝึกปล่อย ฝึกวาง ฝึกทิ้งทันทีเลย
ถ้าเราสังเกตใจของเรา เราจะเห็นว่าแปลกดี มือชอบทิ้งขยะ ไม่เก็บเอาไว้ แต่ใจเราชอบถือขยะ ชอบหวงชอบแหนขยะ ต้องรีบปล่อย
ที่จริงไม่ใช่แต่ขยะอย่างเดียว สิ่งที่ไม่ใช่ขยะ มือเราก็ไม่ค่อยชอบถือ เช่น โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต หลายคนไม่ค่อยอยากถือ ทั้งที่มันให้ความสุขกับเรา จะต้องหาอะไรมาวาง หาแท่นมารองบนโต๊ะ ขนาดของดี ๆ มือเรายังไม่อยากจะถือเลย แต่ใจเรา ของแย่ ๆ กลับถือ กลับหวงกลับแหน ใครจะบอก ให้อภัย ๆ ไม่ยอม ฉันจะหวงความโกรธเอาไว้ ฉันจะแบกความโกรธเอาไว้ อย่างนี้ไม่ฉลาด
ฉะนั้น ถ้าเราสังเกตใจของเรา เราจะเห็นว่าแปลกดี แปลกแล้วอย่าปล่อยให้ทำตามอารมณ์ของมัน รู้จักปล่อย รู้จักวางบ้าง ขยะที่อยู่ในใจต้องรีบทิ้ง อย่าเก็บไว้ข้ามวันข้ามคืน ข้ามชั่วโมงยังไม่คุ้มเลย อันนี้อยากจะให้เราฝึกเอาไว้ พอเราทำอย่างนี้ได้ เราจะเป็นนักบวชเต็มร้อย.