พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล แสดงธรรมก่อนฉันเช้า และแสดงธรรมให้กับค่ายสามเณรและศีลจาริณี วัดป่าสุคะโต 6 เมษายน 2567
สมัยหลวงพ่อเป็นวัยรุ่นประมาณสัก 16-17 มีนักร้องฮ่องกงชื่อดังคนหนึ่ง เป็นวัยรุ่นเหมือนกัน อายุประมาณ 18 เป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่นชาวไทยมาก เธอชื่อแอกเนส ชาน เคยได้ยินหรือเปล่า ถ้าไม่ได้ยิน หรือจำไม่ได้ หรือนึกไม่ออก ก็ไปถามโยมพ่อโยมแม่ว่า ตอนเด็กๆ เคยได้ยินเสียงเพลงร้องของแอกเนส ชานหรือเปล่า ดังมาก
แอกเนส ชานเล่าว่า ตอนอายุ 12-13 ชีวิตหม่นหมองมาก เรียนแบบซังกะตาย ไม่มีกำลังใจที่จะเรียนหนังสือ อยู่ไปวันๆ ด้วยความซึมเซาและห่อเหี่ยว เพราะอะไร เพราะว่าเธอเป็นลูกคนที่ 4 แม่มีลูก 6 คน แม่รักพี่สาวมาก เพราะพี่สาวหน้าตาดีแล้วก็เรียนเก่ง คงจะเอาอกเอาใจแม่ด้วย
เธอรู้สึกว่าแม่คงไม่ค่อยรักเธอเท่าไหร่ เพราะว่าเป็นคนกลางๆ ก็เลยรู้สึกไม่มีคุณค่า รู้สึกด้อยว่าเธอไม่มีอะไรน่าสนใจ เรียนก็ไม่เก่ง หน้าตาก็ไม่ค่อยดี ที่จริงหน้าตาเธอก็ดี แต่เธอก็รู้สึกว่าหน้าตาเธอสู้พี่สาวไม่ได้ ตัวเองไม่มีคุณค่า ก็เลยอยู่แบบหงอย ๆ พวกเราบางคนอาจจะมีความรู้สึกแบบนั้นในช่วงอายุใกล้ๆ กันกับแอกเนส ชาน
มีวันหนึ่งครูพาไปเยี่ยมค่ายผู้อพยพ เป็นผู้อพยพมาจากเวียดนาม เมื่อ 50 ปีที่แล้วมันมีสงครามเวียดนาม คนก็อพยพลี้ภัย จำนวนมากก็ลี้ภัยทางเรือออกไปถึงฮ่องกง ฮ่องกงก็เลยนำผู้อพยพเหล่านี้มาอยู่ในค่าย เธอไปเห็นคนในค่ายแล้วก็สงสาร เพราะว่าลำบาก อาหารก็อัตคัด แล้วก็เห็นเด็กๆ กระจองอแง เสื้อผ้าก็มีไม่มาก เกิดความสงสาร อยากจะช่วย
เพียงแค่เห็นคนเหล่านั้น เธอก็พบว่าโอย ความทุกข์ของเธอมันเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับผู้อพยพเหล่านั้น เธอยังมีบ้าน มีพ่อมีแม่ กินอิ่มนอนอุ่น แต่คนเหล่านั้นพลัดที่นาคาที่อยู่ พวกเราเคยไหมพลัดที่นาคาที่อยู่ ถึงแม้มาอยู่ที่นี่แต่ว่าก็ยังกินอิ่มนอนอุ่น แล้วก็ยังมีโยมแม่มาเยี่ยม โยมพ่อมาหา แต่ผู้อพยพพลัดที่นาคาที่อยู่ ห่างไกลเป็น หลายร้อยกิโล อยู่ในนั้นเหมือนกับอยู่ในคุก ออกไปไหนไม่ได้ ข้าวปลาอาหารก็ไม่พอเพียง เรียกว่าอัตคัด ความทุกข์ที่เธอเคยมีมันกลายเป็นเรื่องเล็กไปเลย
แต่ว่าเธอไม่ได้รู้สึกแค่นั้น เธออยากจะช่วยคนเหล่านั้น ทำยังไง อยากจะช่วยหาเงินมาให้ผู้อพยพเหล่านั้น เธอก็เลยคิดได้ว่า เธอมีความสามารถในการเล่นกีตาร์ เธอก็เลยไปเล่นกีต้าร์แล้วก็ร้องเพลงเรี่ยไรเงินตามโรงเรียนต่างๆ โดยเฉพาะช่วงพักเที่ยง
แอกเนส ชานแทนที่จะไปเที่ยวเล่นช่วงเที่ยง พักเที่ยงเธอก็กลับอาสาไปหาเงินให้กับผู้อพยพ ร้องเพลง เล่นกีต้าร์ เธอไม่เคยทำ แต่ว่าเธออยากจะช่วยคนเหล่านั้น เธอก็เลยไปทำ โรงเรียนแล้วโรงเรียนเล่า
แล้วไม่ใช่โรงเรียนเธออย่างเดียว ไปโรงเรียนอื่นด้วย ทีแรกเธอก็ไม่ค่อยกล้าแสดงออก แต่ว่าพอทำไปๆ เธอก็กล้าที่จะร้อง กล้าที่จะเล่นกีตาร์ แล้ววันหนึ่งเธอก็พบว่า เธอกลายเป็นคนใหม่ที่มีความรู้สึกสดใสเบิกบาน มีความเชื่อมั่นในตัวเอง แต่ละวันๆ ไม่มีความรู้สึกซังกะตาย เบื่อหน่าย หรือเซ็งอีกต่อไปเลย
เพราะอะไร เพราะว่าเธอได้พบว่า เธอได้ทำสิ่งที่มีคุณค่าคือ ช่วยเหลือคนที่เขาตกทุกข์ได้ยาก การที่เธอได้พบความเปลี่ยนแปลงในตัวเธอ ทำให้ภายหลังเธอกลายเป็นนักร้องชื่อดัง กลายเป็นดาราที่ใครๆ ก็อยากจะพบ อยากจะเจริญรอยตาม เธอก็เลยได้บทเรียนชีวิตว่า ความทุกข์ของเรามันจะน้อยลงเมื่อเรานึกถึงคนอื่น
เมื่อเราทำอะไรเพื่อคนอื่น หรือนึกถึงคนอื่นความทุกข์เราจะเล็กลง แล้วเราจะออกจากทุกข์ได้ง่าย ถ้าเราช่วยคนอื่นด้วย ที่จริงไม่ใช่แค่ช่วยเหลือ แค่นึกถึงก็พอ แล้วก็ไม่ต้องนึกถึงใคร บางทีแค่นึกถึงคนใกล้ตัวก็ช่วยได้เยอะ
มีเด็กสาวคนหนึ่ง อายุ 5 ขวบชื่อโมเน่ ฟันผุต้องไปอุดฟัน พวกเราเคยอุดฟันไหม เจ็บไหม 5 ขวบ เพราะกินน้ำตาลกินของหวานเยอะ เลยต้องไปอุดฟัน ฟันน้ำนม อุดฟันก็จะเจ็บ พ่อของโมเน่พาลูกสาวไปอุดฟัน แล้วก็รู้ว่าอุดฟันมันคงเจ็บคงเสียว เพราะมันอาจจะไปถูกปากถูกเหงือก ก็เลยบอกโมเน่ว่า ถ้าโมเน่เจ็บให้ยกมือ หมอจะได้เพลาๆ มือ
ระหว่างที่หมออุดฟัน พ่อก็ถามโมเน่อยู่เป็นระยะๆ ว่า เจ็บไหม แต่โมเน่ไม่ยกมือเลย ไม่ยกมือเพื่อเป็นสัญญาณว่าเจ็บ ตลอดเวลาที่อุดฟันราวครึ่งชั่วโมง โมเนไม่ยกมือเลย
พออุุดฟันเสร็จนั่งรถกลับบ้าน พ่อก็แปลกใจว่าอุดฟัน โมเนไม่เจ็บเลยเหรอ ถามโมเน่ว่า “ตอนที่อุดฟัน ไม่เจ็บเลยหรือ พ่อไม่เห็นหนูยกมือเลย” โมเน่ตอบว่า “เจ็บมากเพราะมันไปถูกเหงือก” “อ้าว แล้วทำไมโมเน่ไม่ยกมือล่ะ” โมเน่ตอบว่า “หนูอดทนค่ะ เพราะอยากให้พ่อดีใจ”
พ่อนี้ซาบซึ้งมากเลย ลูกแค่เด็ก 5 ขวบ เจ็บก็เจ็บ แต่ก็คิดถึงพ่อเป็นห่วงพ่อว่า พ่อจะทุกข์ แล้วก็อยากให้พ่อดีใจ ความเจ็บปวดของโมเน่ก็เลยเล็กลงพออยู่ในระดับที่อดทนได้ ถ้าเป็นเด็กคนอื่นคงจะร้องแล้ว ร้องเพราะความเสียว ร้องเพราะความเจ็บ แต่โมเน่นึกถึงพ่อ อยากให้พ่อดีใจก็เลยอดทนได้
การที่คนเรานึกถึงพ่อ นึกถึงแม่ นึกถึงใครก็ตาม นึกด้วยความเป็นห่วง หรืออยากให้เขาดีใจ ไม่อยากให้เขาทุกข์ มันก็ช่วยทำให้ความทุกข์ของเราเล็กลง
มีเด็กชายคนหนึ่งชื่อน้องโย วัย 7 ขวบ วันหนึ่งป้าชวนน้องโยให้เข้าไปในเมือง น้องโยก็ซ้อนจักรยานมอเตอร์ไซค์ แล้วประสบอุบัติเหตุกลางทาง มอเตอร์ไซค์พังยับเยิน ป้าแขนหักไปข้างหนึ่ง แต่น้องโยขาเละไปข้างหนึ่ง โชคดีที่ได้รับการพาส่งโรงพยาบาลทัน ระหว่างอยู่บนรถพยาบาลป้านี่ร้องโอดโอย แต่น้องโยไม่ร้อง
พอถึงโรงพยาบาลก็รีบเข้าห้องผ่าตัด ผ่าตัดเสร็จหมอถามน้องโยว่า ทำไมไม่ร้องเลย เพราะป้าร้องโอดโอยตลอด ทำไมหนูไม่ร้องเลย น้องโยตอบว่ากลัวป้าเสียใจครับ เพราะว่าน้องโยเห็นป้าร้องอยู่ก็รู้เลย ถ้าตัวเองร้องอีกคน ป้าคงจะใจสลายเลย เพราะป้ารักน้องโยมาก แล้วป้านี้ก็คงจะทุกข์ เพราะป้าพาน้องโยมาเกิดอุบัติเหตุ น้องโยก็เลยอดทน สะกดกลั้นความเจ็บปวด
ความเจ็บปวดระดับน้องโยมันต้องร้องแล้ว อย่าว่าแต่เด็กเลยผู้ใหญ่ก็ต้องร้อง แต่ว่าน้องโยกลับมองว่า ความเจ็บปวดของตัวเองมันเล็กกว่าความทุกข์ของป้า ไม่อยากให้ป้าทุกข์ กลัวป้าเสียใจ น้องโยก็เลยไม่ร้องเลย ถ้าน้องโยคิดถึงแต่ตัวเอง น้องโยคงร้องไปแล้วถ้านึกถึงว่าฉันต้องพิการ และต่อไปนี้ฉันจะเดินกะเผลกๆ
พวกเราเห็นไหมว่า การที่คนเรานึกถึงคนอื่น มันทำให้ความทุกข์ของเราเล็กลง ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์ใจ ความเจ็บปวดทางกาย พวกเราเวลามีความทุกข์ก็นึกถึงคนอื่นบ้าง หรือถึงแม้ไม่ทุกข์ก็นึกถึงได้
อย่างวันนี้พวกเราลูกเณร ลูกศีล จะไปสะพุงเหนือ ไปผจญภัย รู้ไหมว่าจะเจออะไรบ้าง อาจเจอช้าง เจอเสือ เจอหมีก็ได้ หรืออาจจะเจอผึ้ง ไม่ว่าอะไรก็ตาม ให้เรานึกถึงคนอื่น นึกถึงเพื่อน อย่านึกถึงแต่ตัวเอง เราก็จะทุกข์น้อยลง
อย่างเรื่องคราวที่แล้วที่หลวงพ่อเล่าเรื่องหลวงปู่ดีเนาะ สามเณรดีนะ ก่อนที่เราจะออกไปธุดงค์ที่วัดโป่งช้างวันนี้ ก็ให้เรานึกถึงเรื่องที่เล่าวันนี้ เรื่องของน้องโย นึกถึงเรื่องของโมเน่ นึกถึงเรื่องแอกเนส ชาน ให้ใจเรานึกถึงคนอื่นเอาไว้
เวลาที่กลับไปบ้าน ถ้าเราทุกข์เพราะว่าไม่มีโทรศัพท์มือถือ หรือถึงมีแต่มันไม่ใช่ยี่ห้อดังไอโฟน ลองนึกถึงคนที่เขาไม่มีเสื้อใส่ เด็กๆ อายุรุ่นเดียวกับเรา ไม่มีเสื้อใส่ ไม่มีสมุดหนังสือ หรือไม่มีแม้กระทั่งรองเท้า เราจะรู้เลยว่า ไม่มีโทรศัพท์มือถือนี้มันจิ๊บจ๊อยมาก หรือมีแต่ไม่ใช่ยี่ห้อไอโฟน เรายังสบายกว่าเขาเยอะเลย นึกอย่างนี้ไว้บ้าง ความทุกข์เรามันจะเล็กลง ทุกข์จะมากหรือน้อยมันอยู่ที่ใจ ไม่ได้อยู่ที่คนอื่น
ก็ฝึกเอาไว้ บทเรียนที่เล่ามานี้เอาไปใช้ในช่วง 3-4 วันนี้ที่เราจะไปสะพุงเหนือ นึกถึงคนอื่นเอาไว้ แม้จะกินไม่เต็มอิ่ม อาหารไม่อร่อย ให้นึกถึงคนที่เขาไม่มีอาหารจะกิน และแม้อากาศจะร้อนก็ให้นึกถึงคนที่เขาต้องทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำ บางคนก็เป็นเด็กๆ ด้วยซ้ำ ต้องไปขายของตามสี่แยก.