พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 23 มีนาคม 2567
ได้ดูคลิปสั้น ๆ ของการแข่งฟุตบอล มีนักฟุตบอลกองหน้า 2 คนหลุดเข้าไปถึงหน้าประตูของฝั่งตรงข้าม ฝั่งตรงข้ามหรือฝั่งตั้งรับนี้ก็มีแค่กองหลังอยู่คนเดียว ขณะที่ฝ่ายรุกมี 2 คน กองหน้าของฝ่ายรุก คนที่ครองบอลอยู่พอสบโอกาส เขายิงเข้าประตูเลย แต่ปรากฏว่าผู้รักษาประตูปัดออกได้
กองหน้าอีกคนหนึ่งที่วิ่งคู่กันมา พอเห็นเช่นนั้นก็ไม่พอใจ โวยวายใส่เพื่อน เพราะว่าก่อนหน้านั้นเขาบอกให้เพื่อนส่งลูกมาให้ เขาจะยิงเอง แต่เพื่อนไม่ส่ง กลับตัดสินใจยิงเอง แล้วปรากฏว่าไม่เข้า นักฟุตบอลคนนั้นเลยโวยวายใส่เพื่อน คงโมโหที่ไม่ส่งลูกมาให้ตัวเองยิง
ระหว่างที่นักฟุตบอลคนนั้นกำลังโวยวาย ลูกฟุตบอลที่โกลปัดออกไปมันก็กระเด็นตรงมาที่ตัวเขาที่หน้าเลย เขาไม่เห็นเพราะมัวแต่โวยวายใส่เพื่อนที่ไม่ส่งลูกให้เขา ก็กลายเป็นว่าทั้งที่ลูกบอลมันกระดอนมาอยู่หน้าเขาแล้ว แต่เขาไม่ฉวยโอกาสยิง ถ้าเขายิงก็คงเข้าเพราะว่าโกลก็ล้มลงแล้ว
แต่ทำไมเขาไม่ยิง เพราะไม่เห็น ทำไมไม่เห็น เพราะว่าใจเขาหรือความสนใจเขาไปอยู่ที่เพื่อนที่เตะบอลไม่เข้า แล้วก็ไม่ส่งลูกให้เขาด้วย คลิปสั้น ๆ นี้ให้ข้อคิดที่ดีว่า ถ้าเราไปมัวจดจ่ออยู่แต่ความผิดพลาดของเพื่อนหรือของคนอื่น เราก็ไม่สามารถทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี นักฟุตบอลคนที่ 2 ถ้าเขาไม่มัวแต่โวยวายใส่เพื่อนด้วยความฉุนเฉียว ก็คงจะเห็นบอลที่กระดอนตกมาที่หน้าเขาแล้ว ถ้าเขาใส่ใจเพียงพอเขาก็เตะบอลเข้า หากเขาไม่ตื่นตกใจเสียก่อน
เรื่องนี้มันก็ชี้เห็นว่า เราจะมองว่าเป็นเพราะมัวไปจดจ่อใส่ใจอยู่กับความผิดพลาดของเพื่อน ก็เลยลืมทำหน้าที่ของตัว กลายเป็นว่าไปต่อว่าเพื่อน สุดท้ายตัวเองก็พลาดเหมือนกัน
มองในแง่หนึ่ง นักฟุตบอลคนที่ 2 คงจะโมโหที่เพื่อนเตะไม่เข้า รู้สึกเสียดายโอกาสมาก โอกาสทองแบบนี้มันมีไม่บ่อย แต่การที่เขามัวแต่เสียใจโอกาสทองที่หลุดลอยไป มันก็ทำให้เขาไม่เห็นว่าโอกาสทองนี้มันมาอยู่ข้างหน้าเขาแล้ว เวลานั้นวินาทีนั้น พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือว่า มัวไปโมโหโกรธา หรือเสียโอกาส เสียใจกับโอกาสที่หลุดลอยไป ซึ่งเป็นอดีต
การที่ไปมัวเสียใจกับโอกาสทองที่หลุดลอยไป ก็ทำให้ไม่เห็นโอกาสทองที่มันเกิดขึ้นอยู่ต่อหน้า อันนี้เขาเรียกว่า ไม่ได้ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด เรามักได้ยินคำว่าทำปัจจุบันให้ดีที่สุด มันชี้ให้เห็นได้เลยจากคลิปนี้ ถ้าชายคนนั้น นักฟุตบอลคนที่ 2 ไม่มัวแต่เสียใจ ไม่มัวแต่โมโหความผิดพลาดที่เกิดขึ้นเมื่อ 2-3 วินาทีที่แล้ว เขาก็จะทำหน้าที่ของเขาในปัจจุบันขณะ หรือว่าใช้โอกาสทองที่เกิดขึ้นในปัจจุบันขณะให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่
คนเรามักจะพลาดโอกาสทองหรือปล่อยให้โอกาสทองหลุดลอยไปทั้งที่มันมาต่อหน้า เพราะมัวแต่ไปเที่ยวเสียใจหรือโมโหโกรธากับความผิดพลาดในอดีต หรือว่าไปโมโห ไปเสียใจกับโอกาสที่มันหลุดลอยไปเมื่อไม่กี่วินาทีที่ผ่านมา
การอยู่กับปัจจุบัน การทำปัจจุบันให้ดีที่สุดนี่มันมีความหมายแบบนี้ด้วยก็คือว่า อย่าไปมัวเสียอกเสียใจหรือไปโมโหโกรธากับสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต แม้มันจะไม่ควรเกิดขึ้นเลย แต่ถ้ามันเกิดขึ้นแล้วก็อย่าไปหมกมุ่นกับมันมาก เพราะถ้าไปมัวหมกมุ่นเสียใจ โมโห ก็อาจจะทำให้เราปล่อยโอกาสทองที่มันมารออยู่ตรงหน้าแล้วหลุดไป
ในชีวิตจริงของคนเราเองก็เป็นอย่างนี้บ่อย เราอาจจะไม่ทันสังเกตหรือว่าไม่ได้ใคร่ครวญเพียงพอ อย่างคุณแม่คนหนึ่ง จะเรียกอาม่าก็ได้ รักลูกมาก เก็บหอมรอมริบ เพื่อจะให้เป็นทุนรอนของลูก 3 คนเมื่อโตขึ้น แกเอาเงินที่เก็บหอมรอมริบมาได้เอาไปลงทุนทางธุรกิจแล้วปรากฏว่ามันเกิดผิดพลาดขึ้น เงินศูนย์หมดเลย
ก็กลายเป็นว่าไม่มีเงินเหลือสำหรับจะให้ลูกเมื่อโต เมื่อเรียนจบ ก็กลายเป็นว่าลูกก็ต้องพึ่งตัวเอง ไม่มีเงินของแม่ที่จะมาช่วยสนับสนุน แม่ก็เสียใจ ไม่น่าตัดสินใจผิดพลาดเลย โทษตัวเอง หมกมุ่นครุ่นคิดอยู่แต่ความผิดพลาดในอดีต จนกระทั่งไม่ได้ดูแลหรือให้เวลากับลูกเพียงพอ มิหนำซ้ำพอหมกมุ่นครุ่นคิดกับความผิดพลาดในอดีต ก็กลายเป็นโรคซึมเศร้า กลายเป็นว่าแทนที่จะช่วยลูกให้มีชีวิตที่มั่นคงก้าวหน้า กลายเป็นภาระให้กับลูก
อันนี้เรียกว่ามัวไปจมอยู่กับอดีตซึ่งเป็นความผิดพลาด ถอนใจไม่ขึ้นจากเรื่องราวในอดีต สิ่งที่ควรจะทำในปัจจุบันก็เลยไม่ได้ทำ หรืออย่างมีคุณแม่คนหนึ่งเสียสามีไป สามีก็เป็นคนดีมาก เป็น Family Man และที่สามีเสียก็เพราะว่าโรคที่เกิดขึ้นซึ่งมันก็มีอาการมาก่อนแล้ว แต่ว่าตัวภรรยาไม่ทันสังเกตทั้งที่ก็เป็นพยาบาล กว่าจะรู้ตัว โรคก็ลุกลามแล้ว คือมะเร็ง
แล้วก็มันก็ลามเร็วมาก สุดท้ายสามีก็ตาย ผู้เป็นภรรยาก็เสียอกเสียใจมาก นอกจากเสียใจเพราะสูญเสียคนรักแล้วยังรู้สึกผิด โมโหตัวเองที่ไม่พาสามีไปรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ ซึ่งที่จริงถึงแม้จะรักษาตัวแต่เนิ่น ๆ จะรักษาหายหรือเปล่า ก็ไม่แน่ เพราะมะเร็งมันก็เป็นโรคที่รักษายากอยู่แล้ว บางโรคแม้จะรู้ตัวแต่เนิ่น ๆ ก็ช่วยอะไรไม่ได้มาก
เธอก็เอาแต่เศร้าเสียใจ นึกถึงสามี ยอมรับไม่ได้ที่สามีจากไป จมอยู่กับความคิดถึงสามีจนลืมไปว่าตัวเองมีลูกสาวอายุ 12 กำลังต้องการความรัก การดูแล เอาใจใส่จากผู้เป็นแม่ แต่ผู้เป็นแม่ไม่สนใจลูกสาวเลย มัวเสียอกเสียใจกับเรื่องราวในอดีต หรือไปมัวคิดถึงคนที่กลายเป็นอดีตไปแล้ว
คนที่ยังอยู่ในปัจจุบันที่ยังต้องการความรักความดูแลของแม่ แม่ไม่สนใจเลย ก็น่าเป็นห่วงว่าลูกสาวคนนี้จะลงเอยอย่างไร เพราะกำลังเข้าสู่วัยรุ่น อาจจะโผไปหาเพื่อนที่ไม่ดี หรือไปทำอะไรที่มันแย่กว่านั้นก็ได้ เพราะขาดความอบอุ่นความรักที่ควรจะได้รับจากแม่ อันนี้เรียกว่าผู้เป็นแม่ไม่ได้ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด เพราะไปจมอยู่กับอดีต
การทำหน้าที่ปัจจุบันให้ดีที่สุด ก็รวมถึงหน้าที่ที่มีอยู่ในปัจจุบัน รวมทั้งคนที่เรารักที่เขารอคอยการดูแลความเอาใจใส่ของเรา บางครั้งเราพลาดโอกาสดี ๆ ที่มันมีอยู่ต่อหน้าแล้วเพราะว่าไปมัวแต่นึกถึงสิ่งที่ไม่ควรเกิดทีพึ่งเกิดขึ้น
มีบางคนไปกราบสักการะสังเวชนียสถาน ไปถึงพุทธคยาแล้ว แทนที่จิตใจจะเกิดความปิติ อิ่มเอิบ ที่ได้มาอยู่ ณ สถานที่ ๆ มีความศักดิ์สิทธิ์ มีความสำคัญ กลับปล่อยใจให้หมกมุ่น หม่นมัว เพราะอะไร เพราะก่อนที่จะไปที่พุทธคยา ข้างหน้าพุทธคยามีขายของ ของที่ระลึกเยอะแยะไปหมด เธอก็เห็นของชิ้นหนึ่งน่าสนใจ ราคา 300 บาท เธอต่อราคาเหลือ 100 เดียว ซื้อมาได้
แต่มาพบว่าเพื่อนที่มาด้วยซื้อได้ถูกกว่า ในราคา 50 บาท เธอทั้งโมโหทั้งเสียใจว่า ทำไมเราซื้อแพงกว่าเขา ใจที่ขุ่นมัวทำให้เมื่อมาถึงเจดีย์พุทธคยาแล้ว ก็ไม่ได้เป็นบุญเป็นกุศลอะไรเลย ทั้งที่โอกาสที่จะมากราบสักการะมหาเจดีย์พุทธคยาไม่ใช่มีง่าย ๆ เมื่อมาถึงแล้วถ้าทำใจให้เป็นบุญเป็นกุศลจิตก็จะมีความอิ่มเอิบ หรือทำใจให้ว่าง ๆ บุญก็จะเกิดขึ้นกับใจของตัว
แต่ใจไปมัวนึกถึงเรื่องในอดีตไม่กี่นาทีที่ผ่านมา แทนที่จะปล่อยวาง ซื้อของแพงกว่าเพื่อน เพื่อนซื้อ 50 เราซื้อ 100 ก็ช่างมัน เราทำปัจจุบันให้ดีที่สุด ก็คือการอยู่หน้าพระพักตร์ อยู่ต่อหน้าเจดีย์พุทธคยาด้วยใจที่อิ่มเอิบ ก็เลยพลาดโอกาสดี ๆ ทั้ง ๆ ที่มาถึงเจดีย์พุทธคยาก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
ที่จริงอย่าว่าแต่อะไรเลย บางคนอยากจะไปดูคอนเสิร์ต อุตส่าห์ตั้งหน้าตั้งตารอคอยที่จะไปดูคอนเสิร์ตของดารานักร้องที่ตัวเองนิยม แต่ว่าก่อนที่จะไปถึง ก็เกิดเรื่องที่ทำให้หงุดหงิดรำคาญ เพื่อนผิดนัด นัดกันออกเดินทาง 4 โมงเย็นปรากฏว่ากว่าจะมาก็ 4.15 โมง มาถึงสถานที่จัดงานคอนเสิร์ตช้ากว่ากำหนดเล็กน้อย
พอเกิดขุ่นมัว โมโห หงุดหงิดที่เพื่อนผิดนัดก็ทำให้พอมาชมคอนเสิร์ตก็ไม่ได้มีความสุข ไม่ได้เบิกบานอะไรเลย เป็นเพราะใจมันยังไปอยู่กับอดีตอยู่ ยังไปหมกมุ่นอยู่กับความผิดพลาดของเพื่อนที่เขาผิดนัด มาช้า มาสาย แล้วเป็นอย่างนี้กันเยอะ ไม่รู้จักอยู่กับปัจจุบัน ทำให้สิ่งดี ๆ ที่มันอยู่ต่อหน้าเรา เราไม่ได้ประโยชน์จากมันเลย หรือทำให้พลาดโอกาสที่จะได้รับสิ่งดี ๆ จากสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า
มีคนหนึ่งไปเที่ยวกับเพื่อน จะไปดูพระอาทิตย์ตกที่มหาสมุทรอินเดีย ตรงประเทศศรีลังกา มีเมือง ๆ หนึ่งชื่อเมือง Galle เป็นเมืองที่อยู่ริมทะเล พอพระอาทิตย์ตกนี่สวยมาก แล้วข้างหน้าไม่ใช่ทะเลธรรมดา เป็นมหาสมุทรอินเดีย พระอาทิตย์ตกสวยมาก
ในช่วงนั้นปรากฏว่า คณะทัวร์มัวช็อปปิงเพลิน ช็อปตามรายทาง ซื้อชาบ้าง ซื้อโน่นซื้อนี่ กว่าจะไปถึงชายหาด พระอาทิตย์ก็จมหายไปเสียแล้ว ไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ตก เขาโมโหมาก เสียดาย ไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ตก จนลืมมองไปว่า ตอนนั้นฟ้ามืด มีดาวระยิบระยับ
ถ้าไม่มัวแต่โมโหที่เพื่อนมัวแต่ช็อปปิง หรือถ้าไม่มัวแต่เสียใจที่ไม่ได้ดูพระอาทิตย์ตก ลองหันมาเปิดใจเปิดตาดูท้องฟ้าในคืนนั้น จะเห็นว่ามันสวยงามมาก ดวงดาวระยิบระยับ เห็นทางช้างเผือกด้วย แต่ไม่เห็นเพราะว่ามัวแต่โมโห มัวแต่หงุดหงิด เสียใจที่ไม่ได้ดูพระอาทิตย์ตกดิน ผ่านไปเป็นชั่วโมงแล้วก็ยังไม่คลายความรู้สึกนั้น
มันก็เลยมีคำพูดว่า อย่ามัวแต่เสียใจอาลัยพระอาทิตย์ตกดินเพราะว่าน้ำตามันจะทำให้มองไม่เห็นความงดงามของดวงดาวที่ระยิบระยับในท้องฟ้า ก็เป็นคำเปรียบเปรยที่ดี เสียใจอาลัยที่พระอาทิตย์ตกดินเร็วเกินไป หรือไม่ได้ดูพระอาทิตย์ตกดิน ก็เลยเป็นอุปสรรคทำให้ไม่สามารถจะมองเห็นความงดงามของท้องฟ้ายามค่ำคืนได้
การที่คนเรามัวแต่อาลับเสียใจหรือขุ่นมัวกับเหตุการณ์ในอดีต มันทำให้เราพลาดโอกาสทองที่ปรากฏอยู่ต่อหน้า หรือว่าทำให้เราละเลย บกพร่องในสิ่งที่เราควรทำในเวลานั้น
ที่จริงเวลาปฏิบัติธรรมก็เหมือนกัน เวลาปฏิบัติธรรมหลายคนจะมีเกิดความรู้สึกหงุดหงิดมากเพราะว่าตั้งใจว่าจะไม่เผลอ จะไม่ไหลไปตามความคิด แต่ว่าพอมันคิดทีไรก็เผลอทุกที ลืมตัวทุกที คิดยาวเลย กว่าจะรู้ตัวก็คิดไปแล้ว 10 เรื่อง ตั้งใจว่าฉันจะไม่เผลอแบบนี้อีกแล้ว แต่พอเดินจงกรมได้ไม่กี่รอบ ก็เอาอีกแล้ว หรือว่ายกมือสร้างจังหวะ ไม่ทันไรก็ไปอีกแล้ว พอรู้ตัวเข้า ก็จะเสียใจ เราเผลอเราพลาดได้อย่างไร เอาแต่ตำหนิตัวเอง โทษตัวเอง
การทำอย่างนี้ก็เรียกว่า ไม่ได้อยู่กับปัจจุบัน เพราะว่าถ้าหากว่าเราอยู่กับปัจจุบันมันจะผิดมันจะพลาดอย่างไร ก็ช่างมัน มันจะผิดมันจะพลาด จะเผลออย่างไร ก็ช่างมัน เริ่มต้นใหม่ทุกครั้ง ไม่มามัวเสียใจว่า ทำไมพลาด ทำไมเผลอ เมื่อกี้คิดอะไร ทำไมถึงคิด
การเจริญสติเป็นโอกาสที่จะฝึกให้เราปล่อยวางอดีต แล้วกลับมาอยู่กับปัจจุบันได้อย่างรวดเร็วทันท่วงที แต่ใหม่ ๆ นิสัยเดิม ๆ มันยังมีอยู่ มันก็จะเป็นอย่างนี้ มันเสียใจ มันโมโห ทำไมเราถึงไปใจลอย ทำไมเผลอ ไหลไปตามความคิดแบบนั้นแบบนี้
ขณะที่ตำหนิตัวเองก็กำลังเดินอยู่ แต่ไม่รู้ว่าเดิน กำลังเดินอยู่ก็ไม่รู้ว่าเดิน กำลังสร้างจังหวะอยู่ก็ไม่รู้ว่าสร้างจังหวะ เพราะว่ามัวแต่ตำหนิตัวเองกับความผิดพลาดในอดีตเมื่อไม่กี่วินาทีที่แล้ว แต่ต่อไปมันจะเห็นเองว่า นี่เราเผลอไปแล้ว
การเจริญสติมันจะสอนให้เราปล่อย ให้เราวาง ความผิดพลาดความเผลอในอดีต เพราะเราจะรู้จักคำว่า ช่างมัน ๆ เผลอก็ช่างมัน ผิดก็ช่างมัน เราจะเริ่มต้นใหม่เร็วขึ้น ๆ เรื่อย ๆ อยู่กับปัจจุบัน แล้วถ้าเราทำแบบนี้ให้เป็นนิสัย ทำบ่อย ๆ ถึงเวลาทำงานก็ดี ถึงเวลาเกี่ยวข้องกับผู้คนก็ดี ถึงเวลาที่ไปใช้ชีวิตในโลกกว้างก็ดี
มันจะมีความผิดพลาดอะไร มันจะมีความสูญเสียอะไรเกิดขึ้น เราก็จะปล่อยวางมันได้เร็ว เราจะไม่มัวจมอยู่กับเหตุการณ์ในอดีตจนกระทั่งลืมหน้าที่ ๆ ควรทำในปัจจุบัน หรือลืมที่จะหาประโยชน์จากสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน อดีตมันก็มีประโยชน์ถ้าเรารู้จักใช้ แต่ส่วนใหญ่เรามัวแต่ปล่อยให้มันกักขังหน่วงเหนี่ยวจิตใจของเราจนไม่สามารถที่จะทำหน้าที่ในปัจจุบันได้ หรือทำให้เราพลาดสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
ที่จริงไม่ใช่เฉพาะสิ่งไม่ดีที่เกิดขึ้นในอดีต สิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นในอดีตเราก็ต้องรู้จักปล่อย รู้จักวางบ้าง ไม่อย่างนั้นมันก็จะเป็นตัวขัดขวางการทำปัจจุบันให้ดีที่สุด อย่างเช่นปฏิบัติธรรม เมื่อวานนี้เราปฏิบัติได้ดีมากใจสงบ มันรู้สึกตัวมากเลย แล้วเราก็เพลินหรือว่าเกิดความติดใจในภาวะอารมณ์แบบนั้น อยากให้มันเกิดขึ้นอีกในวันนี้ แต่พอทำวันนี้แล้วมันไม่ได้อย่างที่ เหมือนเมื่อวาน ก็เกิดความหงุดหงิดเกิดความไม่สบายใจ เกิดความไม่พอใจ
บางคนทุกข์มากเลย ทั้งที่สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้มันก็ไม่ได้แย่อะไร แต่เป็นเพราะว่าไปติดใจกับอารมณ์การปฏิบัติของเมื่อวาน แล้วก็อยากให้มันเกิดขึ้นในวันนี้ ความอยากให้มันเกิดขึ้นวันนี้อย่างที่เป็นเมื่อวาน มันก็แสดงว่าเราไม่ได้อยู่กับปัจจุบันแล้ว ถ้ายังอยู่กับปัจจุบันมันก็ต้องวางให้หมด เมื่อวานนี้เป็นอย่างไร ดีหรือไม่ดีก็เป็นเรื่องของเมื่อวาน วันนี้เราจะอยู่กับปัจจุบัน ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด แล้วเราก็จะพบว่าถ้าเราวางเหตุการณ์ภาวะอารมณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ได้
ฉะนั้นการปฏิบัติวันนี้ มันจะเป็นไปได้อย่างราบรื่น แม้มันจะมีความคิดฟุ้งซ่านบ้าง มีความคิดผุดขึ้นมาบ้าง มันก็ไม่ใช่เป็นปัญหา เพราะว่าหน้าที่ของเราก็คือว่ารู้ทันความคิดและอารมณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ไม่ไปอ้อยอิ่งหรือติดใจหลงใหลอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ หรือว่าเมื่อวานซืน
มันก็ยังทำให้การปฏิบัติของเรานอกจากเป็นไปได้ดีแล้ว ก็ยังทำให้ไม่หงุดหงิด หัวเสีย ที่มันไม่เป็นเหมือนเมื่อวาน เมื่อวานจะดีหรือไม่ดีก็ช่างมัน ปล่อยวางได้ และต่อไปเราก็จะเรียนรู้วิธีการยอมรับ ยอมรับทุกอย่างที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน รวมทั้งยอมรับอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นในอดีต
ถ้าเรายอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตได้ไม่ว่าจะเป็นความผิดพลาดในอดีต หรือว่าสิ่งดี ๆ ที่สูญเสียไปในอดีต ถ้าเรายอมรับได้ การที่ใจเราจะอยู่กับปัจจุบัน หรือว่าเดินหน้าต่อไปอย่างที่สมัยใหม่เขาเรียกว่า move on มันก็ทำได้ง่าย เราสามารถจะทำปัจจุบันให้ดีที่สุดได้ด้วยการที่เรายอมรับไม่ว่าอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นในอดีต จะดีหรือไม่ดี ยอมรับมันได้ เราก็จะเดินหน้าต่อไปได้ สามารถที่จะทำปัจจุบันให้ดีที่สุดได้