พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 22 มีนาคม 2567
บทสวดมนต์คนจำนวนไม่น้อยคิดว่าสวดเพื่อความขลัง เพื่อความเป็นสิริมงคล แล้วก็จะขลังยิ่งขึ้นหรือสิริมงคลเพิ่มพูนขึ้น ถ้าเกิดว่าสวดโดยพระสงฆ์ ยิ่งถ้านิมนต์มาที่บ้านก็ยิ่งขลัง ยิ่งเกิดสิริมงคล แต่ถามว่าพระสวดแล้วเรารู้ความหมายไหม ส่วนใหญ่ก็ไม่รู้ความหมายเพราะว่าพระสวดเป็นภาษาบาลี มันก็เลยคิดว่า เออ ความขลังก็จะเพิ่มพูนขึ้นเพราะว่าเป็นภาษาที่เราไม่รู้จัก เป็นภาษาโบราณ
แต่พอเรามาสวดมนต์แปลที่นี่ มันจะได้ความรู้สึกที่แตกต่างไป เพราะว่านอกจากพระจะสวดแล้ว เราญาติโยมก็สวดด้วย บทสวดมนต์นี้ไม่ใช่เฉพาะให้พระสวดเท่านั้น โยมก็สวดได้ แล้วจะดียิ่งขึ้นถ้าเรารู้ความหมาย ที่นี่เราจึงสวดมนต์แปล แล้วพอรู้ความหมาย แล้วก็จะรู้ว่าบทสวดมนต์นี้จุดหมายไม่ใช่เพื่อเพิ่มความขลังความศักดิ์สิทธิ์ให้กับสถานที่ หรือให้กับผู้สวด หรือแม้แต่ผู้ฟัง แต่เพื่อให้ผู้สวดนั้นเกิดปัญญา ถ้ารู้ความหมายแล้วก็จะพบว่ามันไม่ใช่เป็นเรื่องของความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์
เป็นเรื่องของการสาธยายพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ เพื่อจะได้รู้ว่าพระคุณสมบัติของพระพุทธเจ้านี้คืออะไร หรือว่าธรรมคุณ สังฆคุณ คืออะไร มันไม่มีเรื่องของศักดิ์สิทธิ์อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์เลย บางทีเราไปเข้าใจว่า พุทธคุณ หมายถึงอำนาจ อานุภาพบางอย่าง อย่างเวลาคนพูดถึงพระเครื่องก็มักจะพูดถึงพุทธคุณว่าพระเครื่องรุ่นนี้มีพุทธคุณมาก
พุทธคุณ ในที่นี้ที่เขาพูดถึงหมายถึงอะไร ก็หมายความว่าช่วยปกปักรักษาให้แคล้วคลาดจากอันตราย หรือว่าทำให้คนหลงรัก ซึ่งที่จริงแล้วมันไม่ใช่พุทธคุณเลย ถ้าเราสวดสาธยายพุทธคุณในบททำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น พุทธคุณทั้ง 9 ประการนี้ไม่มีเรื่องพวกนี้เลย แต่คนไปเข้าใจว่าพุทธคุณนี้หมายถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ในพระเครื่อง
มีบางคนอ้างว่ามีความสามารถในการที่จะบอกว่าพระเครื่ององค์นี้ๆ หรือพระกริ่งองค์นี้ๆ มีพุทธคุณแค่ไหน ทำยังไง ก็จับใส่มือ แล้วถ้าเกิดว่าเกิดอาการสั่นขึ้นมาก็แสดงว่าพระเครื่องหรือพระกริ่งองค์นี้มีพุทธคุณแรงเลย แล้วก็สั่นจริงๆ ไม่ได้หลอก ไม่ได้แกล้ง แต่ถ้าเกิดว่าเป็นพระธรรมดาๆ ที่ปั๊มขายกัน ไม่มีการปลุกเสก จับใส่มือก็เฉยๆ ไม่มีอาการเขย่าหรือว่าสั่นทั้งตัว
อันนี้ก็เป็นเรื่องแปลก แต่ว่าอำนาจที่แผ่มาจากพระเครื่อง พระกริ่ง ที่ท่านผู้นั้นใส่ในมือจนกระทั่งสั่น มันไม่ใช่พุทธคุณหรอก แม้จะมีพลังที่จะทำให้เจ้าตัวนี้สั่นได้ แต่รับรองว่าไม่ใช่พุทธคุณ หรือธรรมคุณ สังฆคุณ เพราะพุทธคุณนี้ล้วนแต่เป็นไปเพื่อทำให้เกิดปัญญาอันนำไปสู่ความดับทุกข์ได้
ฉะนั้นถ้าเราสวดสาธยายพุทธคุณแต่ละข้อ แต่ละข้อ จะเห็นได้ว่ามันไม่ได้เป็นเรื่องเกี่ยวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ ให้ดลบันดาล ให้ประสบโชคประสบสุขอะไรได้เลย แต่ล้วนแต่เป็นเรื่องของพระคุณสมบัติของพระพุทธเจ้าที่จะช่วยให้สรรพสัตว์ได้เกิดปัญญาจนหลุดพ้นจากความทุกข์ได้ ซึ่งถ้าจะสวดย่อๆ นี้ก็มี 2 ประการ ก็คือพระปัญญาคุณ แล้วก็พระกรุณาคุณ ซึ่งตอนหลังก็มีเพิ่มเป็นอีกข้อหนึ่งเป็น 3 คือวิสุทธิคุณ
อันนี้เป็นของแท้พุทธคุณ ซึ่งถ้าเราไม่อ่าน ไม่รู้ความหมายของพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ เราก็อาจจะเข้าใจผิดไปว่าพุทธคุณนี้ก็ต้องเป็นเรื่องของอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สถิตอยู่ในพระเครื่อง พระกริ่ง ที่จะปกปักรักษาเราให้ปลอดภัยได้ ถ้าจะให้มีพุทธคุณสูงๆ นี้ ก็ต้องนิมนต์พระเกจิอาจารย์มาปลุกเสก อันนั้นไม่เกี่ยวกับพระปัญญาคุณ พระกรุณาคุณ ซึ่งไม่ใช่เป็นเรื่องของพระพุทธเจ้าอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องของเราที่จะต้องน้อมหรือพัฒนาให้เกิดขึ้นกับตัวเอง
เพราะถ้าเรามีปัญญาเข้าใจความจริงของชีวิตและโลกมากเท่าไหร่ เราก็มีโอกาสที่จะหลุดพ้นจากความทุกข์ได้มาก อย่างบทสวดมนต์ที่เราเพิ่งสวดกันไป หลังจากที่เราสวดพระคุณสมบัติของพระรัตนตรัยแล้ว เราก็สวดบทที่เป็นธรรมะชั้นสูง ที่ทำให้พระปัญจวัคคีย์ทั้งหมดบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ อนัตตลักขณสูตร
หลายคนไม่เคยสวด หรือสวดแล้วก็ไม่เคยรู้ความหมาย แต่วันนี้ก็มารู้ความหมายแล้ว บทสวดมนต์นี้นอกจากเราสรรเสริญพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ แล้วเราก็ยังสาธยายคำสอนของพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นเรื่องของสัจธรรม เรื่องของการชี้แสดงสัจธรรมให้เราเห็น เป็นธรรมชาติความเป็นจริง
อย่างเช่น อนัตตลักขณสูตร ก็ทำให้เราได้เห็นว่าขันธ์ 5 มีธรรมชาติอย่างไร รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งรวมแล้วเรียกว่าตัวเรา ทุกคน นาย ก นาง ข แม้จะมีชื่อเรียกต่างกันแต่ก็ประกอบไปด้วยขันธ์ 5 เหมือนกัน ขันธ์ 5 ที่ว่านี้ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ถ้าเราได้พิจารณาตาม ก็จะพบว่าหรือได้คิดว่าขันธ์ 5 นี้ไม่ใช่ของเรา ไม่อาจเรียกว่าเป็นตัวเราได้ เพราะถ้าเป็นของเราจริง ก็ต้องสั่งหรือบังคับให้เป็นไปอย่างที่ต้องการได้
แต่ว่าอย่างที่เราสวดกัน เราไม่สามารถจะบอกได้ว่า รูปของเรา อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย, เวทนาของเรา อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย, สัญญาของเรา อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย, สังขารของเรา อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย, วิญญาณของเรา อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย,
รูปของเรา อย่าให้เป็นอย่างนั้นเลย หมายความว่าอะไร อย่าเจ็บ อย่าป่วย หรือว่าอย่าอ้วน อย่าขี้ริ้วขี้เหร่อย่างนั้นเลย เราสั่งไม่ได้
เวทนาก็เหมือนกัน สั่งไม่ได้ว่าอย่าปวด อย่าเมื่อยเลย ถ้าเราสั่งได้ เราก็ไม่รู้จักคำว่าปวด ไม่รู้จักคำว่าเมื่อย เพราะสั่งให้มันหายไป สั่งให้มันหยุดเมื่อย
สัญญาก็เหมือนกัน สั่งไม่ได้ บางทีจำได้หมายรู้ก็คลาดเคลื่อน โดยเฉพาะพอแก่ตัวเข้า ความจำได้หมายรู้ก็เริ่มเสื่อม จนกระทั่งบางทีจำลูกไม่ได้ จำผัวจำเมียไม่ได้ เห็นดอกไม้ เห็นดอกกุหลาบยังนึกไม่ออกเลยว่าเป็นดอกอะไร ทั้งๆ ที่เคยเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านดอกไม้ ด้านพันธุ์พืช
มีผู้เชี่ยวชาญด้านดอกไม้คนหนึ่ง รู้เรื่องดอกไม้เยอะมาก แต่พอแก่ตัวเข้า วันหนึ่งเห็นดอก “นี่ดอกอะไร” ลูกและภรรยาเห็นตกใจเลย “นั่นมันดอกกุหลาบ” ชายคนนั้นตกใจเลย “ฉันจำไม่ได้แล้วเหรอว่า นี่คือดอกกุหลาบ” อันนี้เรียกว่าสัญญาคลาดเคลื่อน หรือคนบางคนตื่นขึ้นมากลางดึก ตกใจโทรศัพท์ไปหาลูกว่า “ไม่รู้ใครมานอนอยู่ข้างๆ” ลูกสาวพอรับสายแล้วใจหายเลย “ตายแล้ว พ่อจำแม่ไม่ได้”
ที่นอนอยู่ข้างๆ ก็คือแม่ คือภรรยา แต่พ่อจำไม่ได้แล้วว่าคือภรรยา อันนี้เรียกว่าอัลไซเมอร์เล่นงานแล้ว แต่ไม่ต้องรอให้เป็นอัลไซเมอร์ ความจำได้หมายรู้ของคนเรามันก็ค่อยๆ เสื่อมลงไปเรื่อยๆ สั่งไม่ให้มันเสื่อม มันสั่งไม่ได้
สังขารก็เหมือนกัน สังขารอันได้แก่ ความคิดและอารมณ์ มันคิดไม่หยุดเลย นอนก็นอนไม่ได้ เพราะมันเอาแต่คิดๆๆ อันนี้เป็นเรื่องสังขาร สั่งให้มันหยุดคิดได้ไหม สั่งไม่ได้ เวลาเศร้า เศร้าเพราะเงินหาย โทรศัพท์ถูกขโมย บ้านถูกยึด มันเศร้ามาก สั่งให้มันหยุดเศร้าก็สั่งไม่ได้ ยิ่งคนรักตายนี้ ยิ่งเศร้าเข้าไปใหญ่
เวลาใครมาเหยียดหยาม เกิดความโกรธขึ้นมา รู้สึกว่าทุกข์มากเลย ความโกรธ สั่งให้มันหยุดโกรธไม่ได้ เพราะอะไร เพราะสังขารไม่ใช่ของเรา แต่เราไปสำคัญมั่นหมายว่าสังขารหรือจิตนี้เป็นของเรา
วิญญาณก็เหมือนกัน วิญญาณ คือการรู้แจ้งอารมณ์ บางทีได้ยินเสียง เสียงกระทบหูแต่ไม่ได้ยินเพราะใจลอย หรือว่าเวลาเห็นใคร แม้ภาพมากระทบตาแต่ไม่เห็นเพราะว่ากำลังคิดเรื่องอื่น มีคนเดินผ่านหน้าไปยังไม่เห็นเลย ทั้งที่อยู่หน้าแท้ๆ อยู่หน้าเราแท้ๆ อันนี้เรียกว่าการรับรู้ทางตาไม่เกิดขึ้น แม้ว่ารูปมันจะกระทบตาก็ตาม
ถ้าเราพิจารณาบทสวดมนต์ เราจะได้ปัญญา เราจะได้ตระหนักว่า แม้กระทั่งรูปและนาม กายกับใจ ยังไม่ใช่ของเราเลย นับประสาอะไรกับรถยนต์ บ้าน ที่ดิน หรือว่าลูก เมีย ผัว จะเป็นของเราได้อย่างไร สั่งให้เขาเป็นไปอย่างที่เราต้องการยังไม่ได้เลย เพราะแม้แต่รูปกับนาม กายกับใจของเรา ก็ยังสั่งไม่ได้ สั่งให้หยุดทุกข์ก็สั่งไม่ได้ สั่งให้หยุดป่วยก็สั่งไม่ได้ เพราะอะไร เพราะมันไม่ใช่ของเรา ให้เราเข้าใจในอนัตตาในความหมายนี้ไว้บ้าง
ฉะนั้นถ้าเราสวดมนต์ เราก็จะรู้ว่าประโยชน์ของการสวดมนต์คืออะไร ไม่ใช่เพื่อความขลัง ไม่ใช่เพื่อความศักดิ์สิทธิ์ แต่เพื่อทำให้เกิดปัญญา โดยเฉพาะที่ข้อความที่ว่า “เห็นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว” ในบทอนัตตลักขณสูตรจะมีข้อความนี้ การเห็นสิ่งต่างๆ ตามที่เป็นจริง อันนี้จะเป็นสิ่งสำคัญ เป็นจุดมุ่งหมายของการปฏิบัติในพุทธศาสนา ไม่ใช่แค่การทำความดี สร้างบุญ สร้างกุศล แต่ว่าต้องพัฒนาไปจนกระทั่งเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริง
เห็นตามเป็นจริงก็เห็นขันธ์ 5 นี่แหละเป็นพื้นฐานเลย ว่ามันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา อันนี้พอสวดมนต์แล้ว มันไม่ใช่ว่าสวดปุ๊บ เราจะเกิดปัญญาปั๊บ มันก็ต้องเกิดการใคร่ครวญอยู่เรื่อยๆ เกิดการพิจารณาอยู่เรื่อยๆ แล้วก็จะดียิ่งขึ้นถ้าเกิดว่าเราไม่ใช่แค่สวดมนต์อย่างเดียวหรือฟังบทสวด แต่ว่าเราปฏิบัติด้วย
หลายคนชอบสวดมนต์ แต่ว่านิสัยใจคอไม่เปลี่ยน ยังเป็นคนขี้โกรธ ยังเป็นคนตระหนี่ ยังหวงทรัพย์หวงเงิน ทั้งๆ ที่บทสวดมนต์ก็ประเสริฐทั้งนั้น ท่านสอนว่า เงินก็ไม่ใช่ของเรา ร่างกายก็ไม่ใช่ของเรา แต่พอร่างกายเจ็บร่างกายป่วย โอย ร้องโวยวายตีโพยตีพาย เวลาทรัพย์มันเกิดแปรเปลี่ยนไปก็ตีอกชกหัว เรียกว่าความยึดมั่นถือมั่นก็ไม่ได้จางคลายลงเลย
อันนี้ก็เกิดขึ้นเยอะเพราะว่าเอาแต่สวด หรือบางคนก็เอาแต่ฟังธรรมะ มันก็เพลินดีระหว่างที่สวด หลายคนสวดแล้วก็สบายใจ ฟังธรรมะก็สบายใจ เลยฟังทุกวัน ฟังเช้า ฟังเย็น ฟังก่อนนอน เพราะฟังแล้วสบายใจ ที่สบายใจเพราะอะไร เพราะว่าไม่มีเรื่องคิดโน่นคิดนี่ เพราะถ้าอยู่ว่างๆ มันจะคิดโน่นคิดนี่ ก็ทำให้เกิดความเครียด เกิดความวิตก บางทีก็นึกถึงลูก นึกถึงทรัพย์สินเงินทอง นึก ถึงงานการ เครียด!
แต่พอสวดมนต์หรือว่าฟังธรรม มันไม่ได้คิดถึงเรื่องเหล่านั้นเลย พอไม่ได้คิด ใจก็สบาย ผ่อนคลาย แต่ว่าถ้าคิดเมื่อไหร่ ก็เกิดความเครียด เกิดความวิตก เกิดความกังวล เกิดความโกรธเหมือนเดิม อันนี้เพราะว่าฟังอย่างเดียว สวดอย่างเดียว แต่ไม่ได้ปฏิบัติ
ปฏิบัติอะไร ปฏิบัติคือการเจริญสติให้รู้ รู้อะไร รู้กายรู้ใจ โดยเฉพาะรู้ใจ หมายความว่ารู้ทันความคิด รู้ทันอารมณ์ มันเกิดขึ้นก็ไม่ได้ปล่อยใจไหลไปตามความคิด หรือปล่อยใจให้ไปหลงตามอารมณ์ ปล่อยให้อารมณ์นั้นบงการ ไม่ว่าจะเป็นความโศก ความเศร้า ความเครียด ความหงุดหงิด สวดมนต์มาหลายสิบปี ฟังธรรมมาหลายสิบปี แต่ว่าพอมีความคิด อารมณ์ใดๆ เกิดขึ้น ก็ไหลไปตามความคิด หรือว่าปล่อยใจลอยหลงไปตามอารมณ์ แล้วก็ทุกข์ รุ่มร้อน อันนี้มีเยอะ
เพราะอะไร เพราะไม่ได้ปฏิบัติ การฟังธรรม การสวดมนต์ ก็เลยกลายเป็นแค่การกล่อม กล่อมใจ กล่อมใจให้เพลิน กล่อมใจให้เคลิ้ม กล่อมใจให้สบาย มันไม่ต่างจากฟังเพลงสำหรับวัยรุ่น วัยรุ่นฟังเพลงก็กล่อมใจให้สบายหายเครียด แต่พอเลิกฟังเพลงก็เครียดใหม่
เราจะต้องไม่ใช้บทสวดมนต์หรือว่าการฟังธรรมเป็นเครื่องกล่อมใจ แต่ว่าเอามาใช้เป็นเครื่องฝึกใจดีกว่า ซึ่งที่จริงถ้าเราฟังเป็น สวดเป็น มันก็ฝึกใจได้ เช่น เวลาขณะที่สวด ขณะที่ฟังธรรม ใจลอย ลอยไปโน่น ลอยไปนี่ ก็ให้รู้ทัน รู้ว่าเผลอไปแล้ว รู้ว่าตอนนี้กำลังลืมตัว สิ่งที่ทำให้เรารู้ว่ากำลังลืมตัวก็คือ สติ ถ้าเรารู้ว่าเผลอได้ไว ใจมันก็จะกลับมารู้สึกตัวได้เร็ว กลับมาอยู่กับการสวด กลับมาอยู่กับการฟังธรรมได้อย่างรวดเร็ว
แต่ว่าถ้าจะให้ดีก็น่าจะฝึกปฏิบัติ อย่างที่เราทำมาตั้งแต่เช้าจนเย็น การปฏิบัติที่เราเรียกว่าการเจริญสติ ใหม่ๆ นี้มันต้องใช้ความอดทนมาก เพราะว่ามันเบื่อ รสชาติมันแตกต่างจากการฟังธรรม การสวดมนต์ เพราะเราสวดแค่ครึ่งชั่วโมง เราฟังธรรมก็ไม่นาน ฟังก็เพลิน แต่พอมาปฏิบัตินี้ โอ้ย ใจมันว้าวุ่น ฟุ้งซ่าน แล้วก็ไม่ใช่แค่ทำครึ่งชั่วโมง ทำหลายชั่วโมงเลย ก็เกิดความเบื่อ เกิดความง่วง แต่อย่าท้อ อย่ายอมแพ้ ทำไปเรื่อยๆ แม้ว่าจะไม่ค่อยเห็นผลเท่าไหร่
เวลาเราทำอะไร เริ่มต้นทำอะไรนี้ มันยากเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มเรียนภาษาต่างประเทศ หรือแม้แต่การเริ่มหัดขับรถ หัดว่ายน้ำ โอ้ มันยาก หัดขับรถนี้มันมีความรู้สึกหลายอย่าง อาจจะไม่เบื่อแต่มันมีความตื่นเต้น หรือว่าหัดเรียนภาษา อันนี้อาจจะรู้สึกชวนให้เบื่อได้ง่ายเพราะเป็นภาษาที่เราไม่คุ้นเคย แต่ทำไมเราเรียนจนรู้ภาษาคล่องแคล่ว ทำไมเราหัดว่ายน้ำจนว่ายน้ำเป็น ทำไมเราหัดขับรถยนต์จนขับเป็น ก็เพราะเรามีความเพียร
และความเพียรนี้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการปฏิบัติ แล้วก็ต้องไม่กลัว ไม่กลัวล้มเหลว ไม่กลัวพลั้ง ไม่กลัวเผลอ ฉะนั้นบ่อยครั้งเวลาเราปฏิบัตินี้มันจะเผลอบ่อย เผลอบ่อยก็คือว่าคิดฟุ้งซ่านเป็นหลัก ปฏิบัติใน 1 ชั่วโมง มี 58 นาทีที่หมดไปกับความฟุ้งซ่าน เพียง 2 นาทีที่พอจะรู้สึกตัวหรือมีสติอยู่บ้าง หลายคนก็ท้อ เพราะว่าทำทั้งวันแล้วมันก็ยังไม่ได้ดีขึ้นเท่าไหร่
แต่อย่าท้อ เพราะว่าความฟุ้งซ่านที่เกิดขึ้นมันเป็นของดี ทุกครั้งที่เราเผลอ มันคือวัตถุดิบที่ช่วยทำให้สติเราเจริญเติบโต เพราะว่าสติเราจะพัฒนาได้ก็เพราะเห็นหรือรู้ทันความคิดบ่อยๆ ถ้าไม่มีความคิดที่เผลอคิด สติจะฝึกจากอะไร สติก็ฝึกจากความคิดที่เผลอคิด หรือฝึกจากอารมณ์ที่เผลอปล่อยให้มันปรุงแต่งขึ้นมา จะรู้ทันความคิดได้ก็ต้องมีความคิดให้รู้ทันก่อน จะรู้ทันความโกรธได้ก็ต้องมีความโกรธให้รู้ทัน จะรู้ทันความเครียดก็ต้องมีความเครียดให้รู้ทัน
เพราะฉะนั้นถ้าเกิดว่าเรามีความคิด มีอารมณ์ต่างๆ ผุดขึ้นมา ไม่ใช่เป็นเรื่องเสียหาย แต่ใหม่ๆ นี้หลายคนอาจจะคาดหวังว่ามันต้องไม่มีความคิด มันจะต้องสงบ อันนี้เป็นความคิดหรือเป็นทัศนคติที่เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติ หลวงพ่อเทียนท่านพูดอยู่เสมอ “มันจะคิดก็คิดไป อย่าไปห้ามคิด” ท่านพูดแม้กระทั่งว่า “ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้” หมายความว่า ยิ่งเผลอคิดก็ยิ่งรู้สึกตัว หรือ ยิ่งเผลอคิดก็ยิ่งรู้ทันความคิด
ใหม่ๆ นี้อย่าไปคาดหวังผล เอาปริมาณไว้ก่อน ทำเยอะๆ ซึ่งหลายคนอาจจะไม่คุ้น โหย ทำทั้งวันเลย ไม่คิดว่าจะมาปฏิบัติทั้งวันแบบนี้ แต่ว่านั่นแหละมันทำให้เรามีประสบการณ์เพราะมันเป็นการสร้างนิสัยใหม่ กลายเป็นต้องมีนิสัยใหม่ คือนิสัยที่รู้ทันความคิด หรือนิสัยที่หันมามองตนอยู่เสมอ
ปกติเราชอบมองออกไปข้างนอก แล้วเราส่งจิตออกนอก ซึ่งก็ทำให้เราเผลอปล่อยให้อารมณ์ต่างๆ เล่นงานจิตใจ เผาลนจิตใจด้วยความโกรธ กรีดแทงใจด้วยความเกลียด หรือหนักอกหนักใจเพราะแบกโน่นแบกนี่ เพราะเราไม่รู้จักมีสติเห็นใจของตัว เพราะมัวแต่ส่งออกนอก เราต้องหันกลับมาดูใจของเราอยู่เสมอซึ่งจะทำได้นี้มันก็ต้องทำเป็นนิสัย แล้วนิสัยจะเกิดขึ้นได้ต้องทำบ่อยๆ ทำซ้ำๆ
และไม่ใช่แค่ปฏิบัติที่นี่ กลับไปบ้านเราก็ปฏิบัติได้ เช่น เวลาเก็บที่นอน อาบน้ำ ถูฟัน ล้างหน้า แทนที่จะปล่อยใจลอยคิดโน่นคิดนี่ ก็กลับมารู้สึกตัว หรือว่าฝึกใจให้เห็นความคิดที่มันเกิดขึ้น ขณะที่ทำนั่นทำนี่ รู้แล้วก็วาง รู้แล้วก็วาง หมายถึงรู้ความคิดว่ามันเผลอคิดไป รู้แล้วก็วาง วาง ถ้าทำอย่างนี้บ่อยๆ แม้กระทั่งเวลากินข้าว เราก็มีสติกับการกินข้าว ไม่ใช่ปากเคี้ยวแต่ใจไม่รู้ คิดไปโน่นคิดไปนี่ แต่ถึงคิดไปก็พาใจกลับมาบ่อยๆ
อันนี้จะเป็นการสร้างนิสัยใหม่ที่จะทำให้เรานี้มีสติเป็นเครื่องรักษาใจ แล้วก็จะช่วยให้อารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น มันเล่นงานจิตใจ สร้างความทุกข์ให้กับจิตใจเราได้น้อยลง แล้วตรงนี้ที่มันจะช่วยให้เรารู้จักสลัดความคิด สลัดอารมณ์ หรือปล่อยวางอารมณ์ ปล่อยวางความทุกข์ออกไปจากใจได้เร็ว
ฉะนั้นถ้าเราทำอย่างนี้บ่อยๆ ก็เรียกว่าเรามีจิตที่ฝึกไว้ดีแล้ว และอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัส “จิตที่ฝึกไว้ดีแล้ว ย่อมนำสุขมาให้” หรืออย่างน้อยๆ ก็ไม่พาเอาทุกข์มาทับถมใจของเรา ฝึกจิตเอาไว้ให้ดีก็จะมีความสุขหรือความปกติเป็นรางวัล.