พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 21 มีนาคม 2567
เวลาพูดถึงทวีปยุโรป เราก็นึกถึงประเทศที่ร่ำรวย เจริญด้วยเทคโนโลยี ผู้คนมีสิ่งอำนวยความสะดวก แต่ที่จริงแล้วประเทศเหล่านี้มีความแตกต่างกันทางด้านรายได้ บางประเทศก็รวยกว่า เขาเคยมีการจัดลำดับประเทศในยุโรปว่าประเทศไหนประชาชนมีรายได้ดีมากๆ ประเทศไหนรายได้ดีแต่ไม่มาก
แต่เขาไม่ได้มีการจัดลำดับฐานะทางเศรษฐกิจอย่างเดียว เดี๋ยวนี้มีการจัดลำดับความสุข ประเทศไหนประชาชนมีความสุขมากในภาพรวม ประเทศไหนประชาชนมีความสุขไม่มาก หรือไม่มีความสุขเลย ก็พบว่า สวิสเซอร์แลนด์ เนเธอร์แลนด์ ฟินแลนด์ นอร์เวย์ เดนมาร์ก ประเทศเหล่านี้ประชาชนเขามีความสุขมาก
ส่วนประเทศในยุโรปที่ไม่ค่อยมีความสุขหรือมีความสุขไม่มากก็มี เช่น อิตาลี โปรตุเกส สเปน กรีซ ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะว่าฐานะทางเศรษฐกิจมันต่างกัน แต่ก็มีคนตั้งข้อสังเกตซึ่งอาจจะยกเป็นคำถามก็ได้ว่า เราคิดว่าในประเทศเหล่านี้ประเทศใดที่มีคนฆ่าตัวตายสูงหรือสูงกว่าประเทศอื่น
แล้วสิ่งที่เราอาจจะไม่คาดคิดก็คือว่าประเทศที่ผู้คนเขาบอกว่าเขามีความสุขมาก เช่น สวิสเซอร์แลนด์ เนเธอร์แลนด์ เดนมาร์ก ฟินแลนด์ นอร์เวย์ สวีเดน พวกนี้ประชาชนเขาบอกว่ามีความสุขมาก แต่ปรากฏว่ามีการฆ่าตัวตายสูงกว่าประเทศที่เขาบอกว่ามีความสุขไม่มาก อย่างเช่น อิตาลี กรีซ โปรตุเกส สเปน
ที่มันน่าแปลก ประเทศที่คนเขาบอกว่าเขามีความสุขมาก ทำไมถึงมีอัตราฆ่าตัวตายสูงกว่าประเทศที่ผู้คนมีความสุขไม่มาก ทำไมมันเป็นอย่างนั้น มันเหมือนกับว่า ‘ในสุขก็มีทุกข์’ สุขกับทุกข์นี้มันเป็น 2 ด้านของเหรียญเดียวกัน แต่พูดอย่างนี้ก็อาจจะเข้าใจยาก
ถ้าอธิบายว่าประเทศที่ประชาชนเขามีความสุขมาก มันไม่ได้แปลว่าคนร้อย 100% ที่มีความสุขมากๆ คนที่มีความสุขมากอาจจะสัก 80-90% แต่ว่าที่เหลือ 10% หรือ 20% เขาไม่ได้มีความสุขมาก เขาอาจจะมีความทุกข์ มีความเครียดเรื่องงาน มีบ้านเล็ก หรือว่ามีรายได้ไม่ค่อยดี บางทีก็ตกงาน หรือว่าอาจจะมีความเหงา มันย่อมเป็นธรรมดาทุกประเทศก็ต้องมีคนที่มีความทุกข์แบบนี้
แต่ทั้งๆ ที่ประเทศอย่าง สวีเดน เดนมาร์ก หรือว่าสวิสเซอร์แลนด์ คนที่มีความทุกข์จะว่าไปมันก็ไม่มาก ถ้าคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของประชากร แต่ว่าคนเหล่านี้เมื่ออยู่ท่ามกลางผู้คนที่มีความสุขมากๆ ที่ทุกข์อยู่แล้วก็จะทุกข์ยิ่งขึ้น คนเราเวลามีความทุกข์แล้วเห็นคนรอบตัวเขายิ้มแย้มแจ่มใส มีความสุขกันทั้งนั้น เราจะรู้สึกแย่กว่าเดิม
เราจะรู้สึกคับข้องใจว่า “ทำไมฉันไม่มีความสุขเหมือนคนอื่นเขาเลย คนอื่นเขามีความสุขยิ้มแย้มแจ่มใสกันทั้งนั้น แต่ทำไมฉันจึงมีความทุกข์” ยิ่งรู้สึกแย่เข้าไปใหญ่ แล้วเพราะเหตุนี้เขาจะรู้สึกว่าฉันนี่ทุกข์มากกว่าใครเลย สุดท้ายก็กลายเป็นซึมเศร้าแล้วก็ฆ่าตัวตาย
ในขณะที่ประเทศที่ประชากรไม่ค่อยมีความสุขกัน โดยส่วนใหญ่ เช่น อิตาลี โปรตุเกส สเปน กรีซ เวลาเรามีความทุกข์ แล้วเห็นคนรอบข้างเขาก็ไม่ได้มีความยิ้มแย้มแจ่มใสเท่าไหร่ เรากลับรู้สึกดี รู้สึกดีกับตัวเองว่า “เออ ฉันก็ไม่ได้แย่ไปกว่าคนอื่น ใครๆ เขาก็ทุกข์กัน” ความคิดที่จะฆ่าตัวตายมันก็เลยน้อยลง
อันนี้มันก็เป็นเรื่องที่ขัดกับความเข้าใจของคนเรา ว่าทั้งๆ ที่อยู่ในประเทศที่ร่ำรวย คนมีความสุข แล้วผู้คนจะฆ่าตัวตายน้อยลง ที่จริงมันตรงกันข้ามเลย ยิ่งอยู่ในประเทศที่คนมีความสุขมากๆ แต่ว่าเรานี้กลับทุกข์ เราจะยิ่งรู้สึกแย่ รู้สึกว่าเราผิดปกติ แล้วมันก็ทำให้เราดำดิ่งอยู่ในความทุกข์ จนบางคนก็ถึงขั้นฆ่าตัวตาย นี่คือคำอธิบายอย่างหนึ่งที่ตอบว่าทำไมประเทศที่ผู้คนมีความสุขมากๆ จึงมีการฆ่าตัวตายสูง สูงกว่าเมืองไทยเยอะเลย และแน่นอนสูงกว่าประเทศที่ผู้คนไม่ค่อยมีความสุข อย่างอิตาลี กรีซ สเปน โปรตุเกส
การที่คนเราอยู่ท่ามกลางผู้คนที่มีความสุข มีความเจริญ มีความมั่งคั่ง หรือประสบความสำเร็จ มันอาจจะไม่ใช่เป็นเรื่องดีก็ได้ โดยเฉพาะในยามที่เราไม่ได้เป็นอย่างเขา พอเปรียบเทียบกันแล้ว “โอย! เรานี่แย่กว่าเขามากเลย” มันก็ทำให้ความคิดที่เรียกว่าโวยวาย ตีโพยตีพาย ตีอกชกหัว มันรุนแรงขึ้นแล้วถึงกับทำร้ายตัวเอง
เคยมีการเปรียบเทียบ 2 ประเทศ ชิลี กับ ฮอนดูรัส แล้วเลือกสอบถามคนยากจนใน 2 ประเทศ ว่าคนจนประเทศไหนมีความสุขมากกว่ากัน เราพอตอบได้ไหม ชิลีนี้เป็นประเทศที่ฐานะทางเศรษฐกิจดี ส่วนฮอนดูรัสมีฐานะทางเศรษฐกิจไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ฉะนั้นคนจนในชิลีแม้จะได้ชื่อว่าจน แต่ว่าฐานะทางเศรษฐกิจดีกว่าคนจนในฮอนดูรัสเยอะเลย มีบ้าน มีอาหารดีกว่า แล้วก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากกว่า
ปรากฏว่าคนจนในชิลีมีความทุกข์มากกว่าคนจนในฮอนดูรัส หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ มีความสุขน้อยกว่าคนจนในฮอนดูรัส ทั้งๆ ที่ฐานะเศรษฐกิจก็ดีกว่า ความเป็นอยู่ก็ดีกว่า ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะว่า คนจนในชิลีถึงแม้จะกินอิ่มนอนอุ่น มีบ้าน มีอาหารไม่ขาดเลยทั้ง 3 มื้อ แต่ว่าเวลามองไปที่คนไม่จน “โอย! เขาฐานะดีกว่าเราเยอะเลย” ก็เลยรู้สึกว่าตัวเองนี้แย่ลำบาก (คนไม่จน คือคนชั้นกลาง)
ขณะที่คนจนในฮอนดูรัสเวลามองไปที่คนไม่จน ก็พบว่า คนไม่จนหรือคนชั้นกลางก็ไม่ได้ดีกว่าเขาเท่าไหร่ ความแตกต่างไม่ได้มาก ก็เลยไม่รู้สึกว่าตัวเองแย่เท่าไหร่ เรื่องนี้มันชี้ให้เห็นว่าคนเราไม่ใช่ว่าจะมีเท่าไหร่ มีอะไร ก็ไม่สำคัญเท่ากับว่ารู้สึกอย่างไร มีน้อยแต่ว่าไม่รู้สึกว่ามีน้อย มันก็ไม่แย่ มีมากแต่รู้สึกว่าน้อย อันนี้แย่กว่า
แล้วก็เป็นอย่างนั้น คนรวยมากๆ น่าจะมีความสุข แต่ถ้าเกิดว่าไปอยู่ท่ามกลางคนที่รวยกว่า ก็ทุกข์ คนที่รวยมากๆ ขนาดมีเงิน 100 ล้าน แต่ถ้าหากแวดล้อมไปด้วยคนมีรายได้ฐานะพันล้าน พวกนี้ก็ทุกข์ เครียด เครียดกว่าคนจน เทียบกับคนจนที่อยู่ท่ามกลางคนจนด้วยกัน เช่น คนจนในสลัม แวดล้อมด้วยคนที่จนเหมือนกัน ไม่ค่อยได้ทุกข์เท่าไหร่
แต่คนรวย 100 ล้าน ถ้าถูกแวดล้อมด้วยคนระดับพันล้านนี้ทุกข์ เรารู้ได้อย่างไรว่าทุกข์ ก็ดูจากแนวโน้มที่จะเจ็บป่วยด้วยโรคหัวใจ คนรวยที่อยู่ท่ามกลางคนที่รวยกว่า มีโอกาสที่จะเป็นโรคหัวใจสูงกว่าคนจนที่อยู่ท่ามกลางคนจนด้วยกัน
ทำไมถึงรู้สึกแย่ เพราะว่ามีการเปรียบเทียบ คนเราไม่ว่าจะมีอะไร มีแค่ไหน แม้จะมีดี มีมาก แต่ถ้าเปรียบเทียบกับคนที่เขามีมากกว่า มันทุกข์เลย แม้จะหน้าตาดีสะสวย แต่ถ้าอยู่ท่ามกลางคนที่สวยกว่า ก็จะรู้สึกว่าตัวเองขี้เหร่ แล้วก็จะไม่ค่อยรู้สึกดีกับตัวเองเท่าไหร่ อันนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทั่วไป
เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดามากที่ทุกวันนี้ ผู้หญิงหรือผู้หญิงชายก็ตาม ฐานะดี รายได้ดี หน้าตาดี ยังไม่พอใจในรูปร่างหน้าตาของตัวแบบนี้มีเยอะมาก มีมากกว่าเมื่อก่อน มีมากกว่าเมื่อก่อน มีข้อตำหนิเยอะไปหมดเลย เช่น ผิวคล้ำ หรือว่าน้ำหนักเยอะ หรือว่าตัวอ้วน ทั้งที่เราดูแล้วก็ไม่เห็นอ้วนเท่าไหร่เลย แต่เขาไปเปรียบเทียบกับคนที่เพรียวกว่า ก็เลยรู้สึกว่าตัวเองนี้น้ำหนักเกิน
นี่เป็นปัญหาของคนยุคปัจจุบัน คือ แม้จะมีดี มีมาก แต่ว่าพอไปเปรียบเทียบกับคนที่มีมากกว่านี้ทุกข์เลย ในขณะที่คนที่เขาไม่มีหรือมีน้อย แต่พอแวดล้อมด้วยคนที่มีน้อยพอๆ กัน เขาไม่ค่อยทุกข์ หรือคนที่หน้าตาไม่ค่อยดีเท่าไหร่ พอไปวัดไปวาได้ อยู่ท่ามกลางคนที่หน้าตาคล้ายๆ กัน ระดับเดียวกัน เขาไม่ค่อยทุกข์เท่าไหร่ ต่างจากคนที่หน้าตาดี พออยู่ท่ามกลางคนที่หน้าตาดีกว่า ก็ทุกข์มาก แล้วคนที่หน้าตาดีกว่าก็ทุกข์เหมือนกัน เพราะไปเปรียบเทียบกับคนที่เขาดีกว่า สวยกว่า
เดี๋ยวนี้คนเป็นอย่างนี้กันมากเพราะการเปรียบเทียบ คนเรามีอะไร ได้อะไรมา มันไม่ได้สุขเสมอไป มันขึ้นอยู่กับว่าเรารู้สึกอย่างไรกับสิ่งที่เรามีด้วย ถ้าเรารู้สึกว่าสิ่งที่เรามีสิ่งที่เราได้มามันน้อย เรารู้สึกแย่เลย
มีชาวบ้านคนหนึ่ง ไปซื้อหวย 3 ตัว ปรากฏว่าถูก แทง 15 ก็ได้ 600 บาท เธอดีใจมากเลย พูดอวดใครต่อใครในหมู่บ้านว่า “ฉันถูกหวย ถูกหวย โชคดีแฮะ” แต่พอไปพบว่ามีชาวบ้านอีกคนหนึ่งเป็นเพื่อนกัน เขาแทงเลขตัวเดียวกัน แต่เขาแทงมากกว่า เขาแทง 50 ไม่ใช่ 15 แล้วก็ได้มา 2,000 บาท
พอรู้ว่าเพื่อนได้ 2,000 บาท แต่เราได้แค่ 600 ที่เคยยิ้มนี้หุบ ทุกข์เลย ที่ทุกข์ไม่ใช่เพราะคิดว่าตัวเองได้น้อย แต่ยังคิดต่อไปว่า ฉันน่าจะแทงมากกว่านี้ แทนที่จะแทง 15 บาท แทงมันไปเลย 100 บาท หรือ 200 บาท หรืออย่างน้อยๆ ก็แทงสัก 50 บาท เพื่อจะได้ 2,000
ได้โชคได้ลาภ แต่ว่าทุกข์เพราะอะไร ทุกข์เพราะเปรียบเทียบ แทนที่จะดีใจว่า เออ เราได้โชคได้ลาภ กลับเป็นทุกข์เพราะไปเปรียบเทียบกับคนที่เขาได้มากกว่า ความทุกข์ของคนทุกวันนี้มันเป็นเพราะเหตุนี้กันเยอะ ไม่ใช่ทุกข์เพราะเสีย ทุกข์เพราะเสียมันก็เป็นเรื่องหนึ่ง มันก็น่าทุกข์อยู่หรอก แต่ว่าได้แล้วยังทุกข์นี่ อันนี้เพราะอะไร ก็เพราะเปรียบเทียบ
ฉะนั้นคนทุกวันนี้ไม่ว่าจะได้เท่าไหร่ มันก็ไม่เคยมีความพอใจ ไม่เคยมีความสุขสักที เพราะเปรียบเทียบกับคนอื่น พอเขาได้มากกว่า ได้โบนัสอย่าว่าแต่หมื่นเลย ตัวเองได้ เป็นแสนหรือ 5 แสน ดีใจ! แต่เป็นชั่วครู่พอรู้ว่าเพื่อนอีกคนได้ 5.5 แสนบาท มันทุกข์เลย
ซื้อของถูก ดีใจ! ซื้อของได้ถูก ของตามห้างเขาขาย 500 เราซื้อได้ 250 พอพบว่าเพื่อนเขาซื้อได้ถูกกว่าคือ 200 ที่เคยยิ้มนี้หุบเลย อาจจะคิดว่า โอย! ซวยจริง เราไม่น่าด่วนซื้อเลย อาจจะโทษตัวเองสารพัด ที่จริงถ้ามองให้เป็น น่าจะดีใจว่าเราซื้อได้ถูกกว่าของที่เขาวางขายตามห้าง ราคา 500 เราซื้อได้ 250 แต่ทำไมยังทุกข์ ยังเสียใจ ก็เพราะไปเปรียบเทียบกับคนที่ซื้อได้ถูกกว่า นี่เรียกว่า มองไม่เป็น
คนที่มองไม่เป็น ไม่ว่าจะได้อะไรมา เจอโชคเจอลาภก็ทุกข์ แม้จะมีความสุขแต่เห็นคนอื่นเขาสุขกว่าก็ทุกข์ นับประสาอะไรกับคนที่ทุกข์ถ้าเกิดว่าเห็นใครๆ เขามีความสุขกัน ยิ่งรู้สึกแย่เข้าไปใหญ่ แล้วคนเราหากว่าไม่รู้จักมอง มัวเปรียบเทียบกับคนที่เขามีมากกว่า ดีกว่า สุขกว่า แบบนี้เราแย่เลย
มันจะดีกว่าถ้าเกิดว่า เรามองคนที่ลำบากกว่าเรา ยากจนกว่าเรา ได้น้อยกว่าเรา หรือเขาทุกข์มากกว่าเรา ถ้ามองแบบนี้ มันก็จะมีเหตุผลที่เราจะมีความสุขได้ หรือไม่ต้องอะไร ถูกหวยได้มา 600 แทนที่จะไปมองคนที่เขาได้ 2,000 มองว่า เออ คนอื่นเขาแทงแล้วเสีย แทงแล้วถูกกิน แต่เราได้ มองแบบนี้ มองไปที่คนเหล่านี้ที่เขาเสีย เราก็จะรู้สึกยิ้มได้
แต่มนุษย์เรานี้มันเหมือนกับว่าชอบซ้ำเติมตัวเอง กลับไปมองคนที่เขาได้มากกว่า เขารวยกว่า ก็เลยทุกข์ ที่จริงถ้ารู้จักพอใจในสิ่งที่มี ยินดีในสิ่งที่ได้ มันจะไม่ค่อยทุกข์หรอก เออ ได้เท่านี้ก็ถือว่าเยอะแล้ว พอใจแล้ว ถือว่าโชคดีด้วยซ้ำ คนอื่นเขาเสียแต่เราได้ ได้ตั้ง 600 ถ้ารู้จักมองแบบนี้ มันก็ไม่ทุกข์
หรือซื้อของได้ถูก แม้จะรู้ว่าเพื่อนเขาซื้อได้ถูกกว่า เราซื้อ 250 บาท เพื่อนเขาซื้อได้ 200 ก็อนุโมทนา ดีใจแทนเขาด้วย แล้วเราก็พอใจเหมือนกัน เพราะของที่เราได้มานอกจากถูกกว่าราคาท้องตลาดแล้ว มันก็ยังดีใช้ได้ แต่บางคนพอพบว่าคนอื่นเขาซื้อได้ถูกกว่า ไม่อยากใช้ของที่ตัวเองซื้อมาเลย เวลาเห็นของชิ้นนั้นทีไร รู้สึกปวดใจว่าเราไม่น่าด่วนซื้อเลย ซื้อแล้วแพงกว่าเขา ทั้งที่มันถูกกว่าท้องตลาด
มันมีคนที่ประเภทซื้อของมาแล้ว ทีแรกก็ดีใจว่าได้ของถูก แต่พอรู้ว่ามันมีที่อื่นที่ขายถูกกว่า หรือรู้ว่าเพื่อนเขาซื้อได้ถูกกว่า โอย! ไม่อยากใช้เสื้อตัวนั้นเลย อยากจะเก็บเอาไว้ เก็บให้มิดชิด เพราะว่าเห็นแล้วมันแทงใจหรือว่ามันปวดใจว่าเราไม่น่าซื้อเลย ทำไมไม่น่าซื้อในเมื่อมันก็ถูกกว่า แล้วมันก็ดี เอามาใช้ก็ยิ่งมีประโยชน์เข้าไปใหญ่ นี่เรียกว่ามองไม่เป็น
ถ้ารู้จักพอใจสิ่งที่มี ยินดีในสิ่งที่ได้ หรือยิ่งกว่านั้นก็คือว่า อย่าไปให้ค่ากับของพวกนี้มาก อย่าไปให้ค่ากับเรื่องเงินเรื่องทอง อย่าไปให้ค่ากับเรื่องของข้าวของเครื่องใช้ จะมีเงินเดือนมากหรือน้อย มันก็ไม่สำคัญ แม้เราจะมีเงินเดือนน้อยกว่าเขา แม้เราจะได้โบนัสน้อยกว่าเขา มันก็ไม่ใช่เป็นเรื่องสำคัญของชีวิต
สำหรับชีวิตมีสิ่งที่สำคัญกว่า อย่างเช่น การมีสุขภาพดี การทำความดี หรือความพอใจในสิ่งที่มี เราได้น้อยกว่าเขา เรามีน้อยกว่าเขา หรือเราอาจจะไม่ถูกหวยเลย แต่ว่าเราพอใจกับสิ่งที่เรามี แล้วไม่ใช่แค่พอใจสิ่งที่เรามี เรามีความสุขกับการมีสุขภาพดี เรามีความสุขกับการที่ได้ทำงาน ได้ทำสิ่งที่เรารัก ได้ทำความดี ได้สร้างบุญกุศล เรื่องนี้ต่างหากที่เป็นสิ่งสำคัญของชีวิต
แล้วยิ่งถ้าเกิดว่าไม่ไปให้ค่ากับสิ่งที่เราเรียกว่าโลกธรรมมาก โลกธรรมคือลาภ ยศ สุข สรรเสริญ คนเราถ้าไม่ให้ค่ากับโลกธรรม ใครมีมาก เราก็ไม่ได้เดือดร้อน ไม่ได้ทุกข์อะไร ไม่ได้อิจฉาอะไร ใครได้เลื่อนตำแหน่ง 2 ขั้น เราไม่ได้เลื่อน เขาได้เป็นเจ้านายเป็นหัวหน้ากอง แต่เราก็เป็นแค่เจ้าหน้าที่ธรรมดา ไม่เห็นทุกข์อะไรเลย เพราะไม่ได้ให้ค่ากับสิ่งนี้ สิ่งที่ทางพระเรียกว่าโลกธรรม ลาภ ยศ สรรเสริญ
คนเราถ้าไปให้ค่ากับลาภยศสรรเสริญ มันหาความสุขได้ยาก แล้วที่ผู้คนมีความทุกข์กันอย่างที่ว่ามานี้เพราะไปให้ค่ากับลาภยศสรรเสริญ เขามีรายได้มากกว่าเรา เขามีตำแหน่งสูงกว่าเรา เขาได้เลื่อนขั้น หรือว่าเขามีบ้านหลังใหญ่ เขามีรถคันใหญ่ เหล่านี้ไม่ใช่สิ่งสำคัญของชีวิตเลย ตายไปก็เอาไปไม่ได้
อย่าว่าแต่ตอนตายเลย ตอนเจ็บ ตอนป่วย ตอนสูญเสียพลัดพรากจากคนรัก ลาภยศสรรเสริญนี้ช่วยอะไรไม่ได้เลย เวลาสูญเสียคนรัก สูญเสียลูก สูญเสียพ่อแม่ เงินทองทั้งหลาย เพชรนิลจินดา ตำแหน่ง ผอ. หรือว่าตำแหน่งปลัดกระทรวง ตำแหน่งรัฐมนตรี ไม่ได้ช่วยทำให้ความทุกข์มันลดน้อยลงเลย
แต่สิ่งที่ทำให้ความทุกข์ลดน้อยลง ก็คือ ธรรมะ คือความภาคภูมิใจในชีวิตที่ผ่านมา คือการที่เรามีสติ มีความรู้สึกตัว มีปัญญารู้จักมอง เวลาสูญเสียพลัดพรากแล้ว เราก็พยายามนึกถึงความดีที่เราได้ทำ หรือสร้างสมความดีให้มากขึ้น อย่างบางคนพอสูญเสียคนรัก เขาก็ไปทำความดี ไปสร้างบุญสร้างกุศล ไปเป็นจิตอาสา ไปช่วยเหลือผู้อื่น มันกลับลดความทุกข์ได้มาก
ความทุกข์ที่มี ความเศร้าโศกที่เกิดขึ้น พอไปทำความดี ไปช่วยเหลือผู้อื่น ไปเป็นจิตอาสานี้ ความสุขที่เกิดขึ้นมันบรรเทาความทุกข์ได้เยอะเลย หรือว่าการมีปัญญารู้ว่าสิ่งทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่นได้ เห็นว่าความทุกข์เป็นธรรมดาของชีวิต ยอมรับความทุกข์ที่เกิดขึ้นได้ มันก็ช่วยปลดเปลื้องใจให้ออกจากความทุกข์ได้
ฉะนั้น ถ้าคนเราเห็นคุณค่าของธรรมะ หรือรู้ว่าอะไรเป็นคุณค่าสาระของชีวิต มันจะไม่ค่อยสนใจเรื่องโลกธรรม ลาภยศสรรเสริญ ใครเขาจะรวยกว่า ใครเขาจะมีบ้านหลังใหญ่ มีรถหลายคัน เราก็ไม่สนใจ เพราะลึกๆ นี้เราก็ไม่แน่ใจเขามีความสุขกว่าเราหรือเปล่า เขาอาจจะมีความทุกข์กว่าเราก็ได้ ถึงแม้เรามีน้อยกว่า แต่เราพอใจในสิ่งที่มี ยินดีในสิ่งที่ได้ เราสุขกว่าคนที่เขามีเยอะกว่าเรา 10 เท่า 100 เท่า แต่เขาไม่พอใจในสิ่งที่เขามี เขารู้สึกด้อย เพราะเขารู้สึกว่าเขาได้น้อยกว่าคนอื่น มีน้อยกว่าคนอื่น
คนเราถ้าหากรู้จักภาคภูมิใจในตัวเอง แล้วก็เข้าถึงความสุขจากการทำความดี ความสุขจากธรรมะ ความสุขจากอริยทรัพย์แล้ว มันไม่สะดุ้งสะเทือน ไม่หวั่นไหวเลย ใครจะมีมากกว่าเรา ใครจะได้เยอะกว่าเรา ใครจะเลื่อนขั้นมากกว่าเรา ฉะนั้นถ้าเรามาเข้าใจความจริงของชีวิตแบบนี้ มีน้อย ได้น้อย ก็มีความสุขได้.