PAGODA

  • Create an account
  • Forgot your username?
  • Forgot your password?
or

Connection

Your e-mail is required to ensure the proper functioning of the Website and its services and we make a commitment not to reveal it to third parties

  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ
PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ

เข้าสู่ระบบ / สมัครสมาชิก

เข้าสู่ระบบ

  • สมัครสมาชิก
  • ลืมชื่อผู้ใช้?
  • ลืมรหัสผ่าน?

Search

  • หน้าแรก
  • เสียง
  • พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล
  • ชีวิตเปลี่ยนเพราะคำ 3 คำ
ชีวิตเปลี่ยนเพราะคำ 3 คำ รูปภาพ 1
  • Title
    ชีวิตเปลี่ยนเพราะคำ 3 คำ
  • เสียง
  • 13898 ชีวิตเปลี่ยนเพราะคำ 3 คำ /aj-visalo/3-5.html
    Click to subscribe
    • Share
    • Tweet
    • Email
    • Share
    • Share

ผู้ให้ธรรม
พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล
วันที่นำเข้าข้อมูล
วันพุธ, 21 พฤษภาคม 2568
ชุด
ธรรมะสั้นๆ ก่อนอาหารเช้า 2568
  • แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]

  • พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 11 พฤษภาคม 2568

    วันนี้เป็นวันสำคัญสำหรับชาวพุทธ ไม่ว่าอยู่แห่งหนตำบลใด พวกเราที่เป็นชาวพุทธนับว่าโชคดีที่ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็จะมีสิ่งเตือนใจให้เราระลึกถึงพระพุทธเจ้า รวมทั้งพระธรรม และพระสงฆ์ ซึ่งเป็นสรณะประเสริฐของพวกเรา ผ่านมา 2,500 กว่าปีแล้ว นับตั้งแต่การบังเกิดมีของพระพุทธเจ้า จนถึงทุกวันนี้ เรายังมีสิ่งเตือนใจให้ระลึกนึกถึงพระองค์อยู่เสมอ มีวัดวาอาราม มีพระพุทธรูปให้สักการบูชา บางคนมีพระเครื่องห้อยคอ นอกจากนั้นยังมีหนังสือหนังหาที่บรรจุพระธรรมคำสอนของพระองค์ เห็นผ้าเหลืองซึ่งเป็นเสมือนธงชัยพระอรหันต์

    เรียกว่าแม้จะไม่ตั้งใจ เราก็จะเห็นสิ่งเตือนใจให้ระลึกถึงสรณะอันประเสริฐของพวกเราอยู่เสมอ ไม่เว้นแม้กระทั่งในโทรศัพท์มือถือ ก็จะมีข้อความเตือนใจว่าวันนี้เป็นวันวิสาขบูชา บางทีก็มีรูปพระพุทธเจ้า พร้อมพระธรรมคำสอนที่กัลยาณมิตรส่งมา

    สภาพเช่นนี้ต่างจากเมื่อสมัยพุทธกาลมาก ในหลายท้องที่ ผู้คนแม้จะเป็นผู้ใฝ่ธรรม แต่ไม่เคยได้ยินเลย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่าว่าแต่เห็นเลย เพียงแค่ได้ยินก็ไม่เคย แต่หลายท่านพอได้ยินเท่านั้น เกิดปีติโสมนัสอย่างแรงกล้า แค่มีคนเอ่ยคำว่า พระพุทธเจ้า

    อย่างในสมัยพุทธกาล มีพระราชาองค์หนึ่งชื่อ พระเจ้ามหากัปปินะ ครองราชย์อยู่ในเมืองที่เขาเรียกว่าอยู่ในเขตปัจจันตชนบท คือไกล ประเทศไทยเรียกว่า ปัจจันตประเทศ ปัจจันตชนบทก็เรียกว่าไกล ไกลจากศูนย์กลางของพระพุทธศาสนา คือ สาวัตถี ราชคฤห์

    พระมหากัปปินะวันหนึ่งพาบริษัทบริวารไปเที่ยวอุทยาน ไปเจอพ่อค้าคนหนึ่งจากเมืองสาวัตถี พระมหากัปปินะสนทนากับพ่อค้าคนนี้ และเขาเล่าว่า ที่สาวัตถีมีพระพุทธเจ้ามาประทับ

    พอพระเจ้ามหากัปปินะได้ยินคำว่า พระพุทธเจ้า เท่านั้น ปรากฏว่าร่างกายซาบซ่านเลย ตามตำราเขาบอกว่าพระวรกายถูกปีติโสมนัสครอบงำท่วมท้น คือนอกจากเกิดความปีติโสมนัสแล้ว ยังเกิดอาการซาบซ่านไปทั่วพระวรกาย

    จะว่าไปถ้าพูดภาษาชาวบ้านเหมือนกับไฟฟ้าช็อตอย่างนั้น และถามถึง 3 ครั้งว่า เมื่อสักครู่นี้พูดอะไร ก็ได้คำตอบเหมือนเดิมว่า พระพุทธเจ้าเสด็จมาประทับที่สาวัตถี และพ่อค้าคนนั้นยังบอกว่าบัดนี้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ได้บังเกิดขึ้นแล้ว

    ปรากฏว่าพระเจ้ามหากัปปินะเกิดศรัทธาแรงกล้า ตั้งใจเลยว่าจะบวชเพื่อเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ตัดสินใจเดี๋ยวนั้นเลย เลิกแล้ว ไม่ครองราชสมบัติแล้ว จะมอบราชสมบัติให้กับพระชายา และเดินทางไปที่กรุงสาวัตถีทันที

    เรียกว่าเด็ดขาดมาก ไม่ทันกลับไปที่เมือง และฝากฝังราชสมบัติ ออกจากราชสมบัติทันที และเดินทางไปกับบริษัทบริวารซึ่งมีมาก ตามตำราเขาว่าเป็นพันคน ไปไหน ไปกรุงสาวัตถี เรียกว่าต้องเดินทางยากลำบากมาก ข้ามแม่น้ำ ข้ามหุบเขา เพราะอยู่ไกล แต่ลำบากเพียงใดก็ไปถึงจนได้ กรุงสาวัตถี ระยะทางหลายร้อยกิโล พอไปถึงก็ขอบวชเลย

    พระพุทธเจ้าก่อนจะบวชก็แสดงธรรมก่อน อนุปุพพิกถา พูดถึงเรื่องทาน ศีล และสวรรค์ และเนกขัมมะ และตามด้วยอริยสัจ 4 พอบวชเสร็จบรรลุธรรมเลย เป็นพระโสดาบัน และหลังจากนั้นไม่นานก็บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์

    เพราะว่าพระชายาพอรู้ข่าวนี้ก็ตามมาเลย ไม่ได้ตามมาเพื่อเรียกพระมหากัปปินะกลับคืนพระราชวัง แต่ตามมาเพื่อจะขอบวชด้วย พระพุทธเจ้าพอแสดงธรรมให้อดีตชายาของพระมหากัปปินะ พระมหากัปปินะซึ่งบวชอยู่แล้วได้ฟังธรรมก็บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์เลย ตอนที่ฟังธรรม พระชายาไม่เห็น แต่พอท่านบรรลุอรหัตผลก็แสดงตัวให้พระชายาเห็น

    อันนี้เป็นตัวอย่าง และไม่ใช่แค่มีตัวอย่างเดียว อนาถบิณฑิกเศรษฐีก็เหมือนกัน ใหม่ ๆ ไม่รู้จัก ไม่ได้ยินพระพุทธเจ้า แม้แต่คำว่า พระพุทธเจ้า ก็ไม่เคยได้ยิน มีคราวหนึ่งมาธุระที่กรุงราชคฤห์ และไปพักอยู่ที่บ้านเศรษฐีคนหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อน เห็นเศรษฐีกำลังวุ่นวายสั่งการ คิดว่าคงจะต้อนรับพระเจ้าพิมพิสารในวันรุ่งขึ้น เลยไม่ได้คุยอะไรมาก

    แต่พอเพื่อนซึ่งเป็นเศรษฐีใหญ่สั่งการเสร็จ แล้วก็เลยสนทนากัน เลยทราบความว่า กำลังจัดงานเพื่อต้อนรับพระพุทธเจ้าซึ่งจะเสด็จมาในวันรุ่งขึ้น พอเพื่อนเอ่ยถึงคำว่า พระพุทธเจ้า เท่านั้นแหละ อนาถบิณฑิกเศรษฐีเกิดปีติโสมนัสอย่างแรง ยิ่งพอได้ข่าวว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ได้บังเกิดขึ้นแล้ว จากปากของเศรษฐีที่เป็นเพื่อน เกิดศรัทธา อยากจะไปพบพระพุทธเจ้า

    วันรุ่งขึ้นได้ไปฟังธรรมก็บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน และตอนหลังก็นิมนต์พระพุทธเจ้าให้ไปกรุงสาวัตถี โดยอนาถบิณฑิกะนำสมบัติที่มีไปซื้อที่ เป็นที่มาของเชตวัน ซึ่งพระพุทธเจ้าได้เสด็จไปประทับ 20 กว่าพรรษา

    สองท่านนี้เป็นตัวอย่าง เพียงแค่ได้ยินคำว่า พระพุทธเจ้า ได้ยินคำว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์บังเกิดขึ้นแล้ว เกิดปีติโสมนัสอย่างแรง และทำให้ชีวิตเปลี่ยน ได้บรรลุธรรมอย่างต่ำ ๆ พระโสดาบัน

    แต่เดี๋ยวนี้เราได้ยินได้ฟังคำว่าพระพุทธเจ้า แม้กระทั่งได้เห็นพระพุทธรูป ได้ฟังธรรมจากพระองค์ ยังเฉยเลย เพราะว่าชินชาเสียแล้ว นับว่าน่าเสียดาย

    บางทีคนที่ไม่เคยได้ยินคำว่าพระพุทธเจ้า หรือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พอได้ยิน เปลี่ยนเลย เหมือนกับว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พวกเราเกิดมาก็ได้ยินมาตั้งแต่เล็กแล้ว เลยเฉย ๆ ไม่รู้สึกอะไร แต่ว่าบางท่านพอได้ยินคำว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จิตเปลี่ยนเลย

    อย่างอุปติสสะ พอได้ยินพระอัสสชิเอ่ยถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าว่า ธรรมใดเกิดแต่เหตุ ตถาคตกล่าวถึงเหตุแห่งธรรม และการดับแห่งธรรมนั้น คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แต่ท่านไม่ได้เอ่ยคำนี้ออกมา อุปติสสะพอได้ยินก็บรรลุธรรมเป็นโสดาบันเลย และตอนหลังก็ออกบวช ได้ชื่อว่า พระสารีบุตร

    แต่เดี๋ยวนี้พอเราได้ยินคำแบบนี้แล้ว หรือธรรมะแบบนี้แล้ว เฉย แต่ถ้าหากว่าเราลองใคร่ครวญสักหน่อย ชีวิตเราจะเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน อย่างน้อยก็รู้จักวางใจ ไม่ยึดติดถือมั่นในสิ่งต่าง ๆ

    วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่เราจะได้มาระลึกถึงพระพุทธเจ้า และพระธรรม พระสงฆ์ หลายท่านนอกจากเข้ามาฟังธรรมแล้ว มาเวียนเทียนด้วย

    เวียนเทียนปีนี้อยากเชิญชวนว่า นอกจากธูปเทียนแล้ว ขอให้นำกล้าไม้มาร่วมเวียนเทียนด้วย เพื่อระลึกถึงความสำคัญของต้นไม้ที่ทำให้เกิดมีการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า และยังเป็นการระลึกถึงคำสอนของพระองค์เรื่องหนึ่ง ซึ่งคนไทยชาวพุทธส่วนใหญ่ลืมไปแล้วคือ คำสอนเรื่อง รมณีย์ ความร่มรื่น เริ่มจากความร่มรื่นของสถานที่ เรียกว่า ถิ่นรมณีย์ ไปสู่ความร่มรื่นในจิตใจ ทำให้เกิดบุคคลรมณีย์

    พระพุทธเจ้าตรัสว่า หากว่าจิตหลุดพ้นจากความทุกข์แล้ว พระนิพพานที่เข้าถึงก็ไม่ต่างจากรมณีย์เท่าไร และพระอรหันต์ไปที่ไหน ที่นั่นก็เป็นถิ่นรมณีย์ และยังมีพระประสงค์อยากจะให้วัดเป็นถิ่นรมณีย์ด้วย อันนี้เราชาวพุทธเราลืมไปแล้ว

    แต่ถ้าหากว่าวันนี้เรามาเวียนเทียนด้วยกล้าไม้ จะได้ระลึกถึงพระประสงค์ของพระพุทธเจ้าที่อยากจะให้วัดเป็นถิ่นรมณีย์ เป็นการสานต่อ และถ้าเราทำได้ดี นั่นคือสานต่อพระประสงค์ของพระองค์ ด้วยการทำให้วัดเป็นถิ่นรมณีย์ ทำให้สถานที่ต่าง ๆ รวมทั้งรอบบ้านเราเป็นถิ่นรมณีย์ คือร่มรื่นด้วยต้นไม้ เริ่มที่ตรงนี้ก่อน แล้วต่อไปก็ให้จิตใจมีความร่มเย็น

    เพราะฉะนั้น ระยะหลังมีหลายวัด รวมทั้งสุคะโตด้วย จะเชิญชวนให้ผู้คนมาเวียนเทียนกันด้วยกล้าไม้ จะนำดอกไม้หรือธูปเทียนมาด้วยก็ได้ แต่ว่าอย่าลืมกล้าไม้ และถ้าจะให้ดี แม้จะนำธูปเทียนมา แต่อย่าจุด เพราะว่าจุดแล้วจะเกิดควัน โดยเฉพาะธูป ตอนนี้ PM 2.5 เยอะ พอจุดเสร็จ เวียนเทียนเสร็จก็ทิ้งเป็นขยะอีก แต่ถ้าหากว่าเราไม่จุดก็สามารถจะนำไปบูชาที่บ้านได้ รวมทั้งต้นไม้ด้วย

    หลายวัดเตรียมต้นไม้ เตรียมกล้าไม้ให้ญาติโยมที่ไปเวียนเทียนนำไปเวียนเทียนด้วย ในกรุงเทพฯ มีเยอะ วัดเบญจมบพิตร วัดมหาธาตุ วัดโพธิ์ วัดอรุณ วัดประยุรวงศ์ วัดสุทธิ มีหลายสิบวัด ถ้าหากว่าไม่สะดวกก็ไปตัวเปล่า และทางวัดจะนำกล้าไม้ไปแจก แต่ถ้าใครสามารถเอากล้าไม้จากที่บ้านไปร่วมเวียนเทียนได้ด้วยก็ดี

    ที่นี่เราก็มีเตรียมกล้าไม้เอาไว้ให้ญาติโยมนำไปเวียนเทียน เสร็จแล้วถือว่าต้นไม้เป็นสิริมงคล จะนำไปปลูก น่าจะนำไปปลูกให้เกิดความร่มรื่นในถิ่นฐานบ้านเรือนของตัว เป็นการสานต่อพุทธประสงค์ ที่อยากจะให้ ไม่ใช่แค่วัดเป็นถิ่นรมณีย์ แต่ทุกหนทุกแห่งเป็นถิ่นรมณีย์ และน้อมนำให้เกิดรมณีย์ที่ใจด จึงเชิญชวนไปร่วมเวียนเทียนกันในวันนี้ด้วยกล้าไม้ด้วย.

     

logo

  • เกี่ยวกับเรา
  • ติดต่อเรา
  • จดหมายข่าว
  • Privacy Policy
  • Terms of Service