พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 13 มีนาคม 2567
เมื่อปลายเดือนที่แล้วมีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นที่ภูเก็ต แล้วกลายเป็นข่าวใหญ่ต่อเนื่องติดต่อกัน 2-3 อาทิตย์ เพิ่งซาไปเมื่อไม่กี่วันนี้เอง นั่นก็คือเหตุการณ์ที่ฝรั่งคนหนึ่งเตะกลางหลังหมอซึ่งเป็นผู้หญิงไทย ขณะที่กำลังนั่งชมจันทร์อยู่ที่ชายหาดแห่งหนึ่งในภูเก็ต
เรื่องของเรื่องคือว่า คุณหมอท่านนี้ไปเดินเล่นอยู่ที่ชายหาด คืนนั้นพระจันทร์วันเพ็ญด้วย เป็นวันมาฆบูชา พอเดินไปเห็นบันไดแห่งหนึ่งหน้าวิลล่า เป็นบันไดไม่กี่ขั้น ก็เลยนั่งตรงขั้นบันไดนั้นเพื่อชมจันทร์ ปรากฏว่าฝรั่งที่เขาเช่าวิลล่าอยู่ใกล้ๆ กับบันไดนี้ ไม่พอใจ เพราะว่าเขาถือว่าบันไดนี้ เป็นบันไดของเขา มันอยู่ในที่ของเขา
พอเขาเห็นใครไม่รู้มานั่งบันไดของเขา เขาก็เลยโกรธ โกรดจัดเลย ไม่พูดพล่ามทำเพลงอะไร เตะเข้ากลางหลังเลย เท่านั้นยังไม่พอภรรยาที่มาด้วยก็ด่าทอหลายอย่าง มิหนำซ้ำฝรั่งก็ยังถ่ายคลิป อาจจะเพื่อเป็นหลักฐานว่ามีคนมานั่งในที่ของฉัน
ก็เลยกลายเป็นข่าวใหญ่โต ถึงขั้นทำให้คนภูเก็ตทั้งเกาะลุกฮือขึ้นมา เพราะว่าจริงๆ แล้วหาดตรงนั้นเป็นหาดสาธารณะ ไม่มีใครที่จะมายึดเอาบริเวณนั้นเป็นที่ส่วนตัวได้ แล้วตอนหลังก็พบว่าบันไดนั้นก็สร้างบนที่สาธารณะ ไม่ใช่สร้างบนที่ส่วนตัว จึงมีการรื้อบันไดทิ้ง แล้วก็มีการดำเนินมาตรการกับฝรั่งคนนั้น ถึงขั้นยกเลิกวีซ่า ให้กลับไปประเทศของตัวคือสวิสเซอร์แลนด์
สิ่งที่น่าสนใจคือ ทำไมฝรั่งคนนั้นมีความกราดเกรี้ยว ถึงขั้นทำร้ายผู้หญิงตัวเล็กๆ ทำร้ายข้างหลังด้วย แน่นอนเขาทำด้วยความโกรธ เป็นความโกรธชนิดลืมตัวเลย ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร ทำไมถึงโกรธ เพราะเขารู้สึกว่าบันไดของเขามันถูกล่วงล้ำ
มันเป็นความรู้สึกที่ยึดมั่นในของกูๆ ถ้าพูดแบบพุทธคือความยึดมั่นว่าเป็นของกูๆ บันไดของกู ที่ของกู ใครมาล่วงล้ำไม่ได้ ถ้าเห็นใครมาล่วงล้ำก็เกิดความโกรธจัด จนลืมตัว แล้วก็ทำสิ่งที่ไม่สมควรออกไป สุดท้ายตัวเองก็เดือดร้อน อยู่เมืองไทยไม่ได้
ความยึดมั่นว่าของกูๆ นี่มันน่ากลัว คนเราถ้ามีความยึดมั่นถือมั่นอะไรว่าเป็นของกู มันสามารถที่จะกระตุ้นให้คนๆ นั้นทำสิ่งที่น่ารังเกียจหรือสิ่งที่เลวร้ายได้ หากว่ามีใครมาล่วงล้ำหรือว่ามายุ่งย่ามกับสิ่งที่เป็นของกู
แล้วไม่ใช่แค่มีกรณีแบบนี้กรณีเดียว มีเยอะแยะไปหมดเลย คนที่โกรธจนลืมตัว อันเนื่องมาจากความยึดมั่นในทรัพย์สมบัติว่าเป็นของกูๆ พอมีใครมาล่วงล้ำหรือมากระทบกระทั่งกับสิ่งนั้น ก็จะเกิดความโกรธ เหมือนกับว่ากระแทกตัวกูไปด้วย หรือตัวกูถูกกระทบไปด้วย เกิดความเจ็บปวด เกิดความโกรธตามมา แล้วพอโกรธแล้วก็ลืมตัว พอลืมตัวแล้วก็ทำอะไรก็ได้
อย่างเมื่อหลายปีก่อนก็มีข่าวใหญ่อีกข่าวหนึ่ง เป็นพิธีกรหนุ่มชื่อดัง มีรถ รถก็ไม่ถึงขั้นเป็นซุปเปอร์คาร์ แต่ราคาแพง เขารักรถมาก คงผูกใจในรถคันนั้นด้วย มีวันหนึ่งรถคันนั้นเกิดถูกมอเตอร์ไซค์สะกิดหรือเฉี่ยว
ตอนนั้นจราจรคับคั่ง แล้วรถมอเตอร์ไซค์คันนั้นก็เกิดพลั้งขึ้นมา ไปโดนท้ายรถคันสวยคันงามของพิธีกรคนนั้น เบาๆ ไม่ได้รุนแรงอะไร เพราะรถไม่ได้ขับด้วยความเร็ว รถเก๋งก็อยู่นิ่ง ส่วนรถมอเตอร์ไซค์ก็ขยับกระดึ๊บๆ เพราะรถติด แต่ว่าก็คงเผลอไป รถมอเตอร์ไซค์ก็ไปเฉี่ยวไปสะกิดเอาท้ายของรถคันสวยของพิธีกร
เจ้าของมอเตอร์ไซค์คงคิดว่าเจ้าของรถเก๋งไม่รู้ ก็เลยทำทีเหมือนกับว่าไม่รู้ไม่ชี้ พอดีไฟเขียวก็เลยขับเลยไป สักพักไปได้ยังไม่ไกล ก็เกิดสำนึกผิด รู้ว่าทำไม่ถูกต้อง ต้องรับผิดชอบ ทำอะไรไปต้องรับผิดชอบแม้จะเล็กน้อยก็ตาม จึงกลับรถขับมาใกล้ๆ กับรถเก๋งคันนั้น แต่ว่าอยู่คนละฟากกัน
ฝ่ายเจ้าของรถเก๋งบังเอิญรู้ว่ารถตัวเองถูกกระทบ ถูกเฉี่ยว แล้วก็คิดว่าตัวการคือมอเตอร์ไซค์คันนั้น พอเห็นเจ้าของมอเตอร์ไซค์ขับรถวกกลับมาอยู่อีกฟากหนึ่งของถนน ด้วยความโกรธมาก เดินข้ามถนนไปหาคนขี่มอเตอร์ไซค์ซึ่งจอดนิ่งอยู่ แล้วไปด่า ด่าอย่างเดียวไม่พอ ลากคอข้ามถนนมาที่รถของตัว แล้วก็ตบ
แล้วก็พูดว่า “หนีทำไมๆ” ตบใหญ่เลย เท่านั้นไม่พอยังให้ก้มลงกราบรถ “กราบรถกูเดี๋ยวนี้” ชายที่ขี่มอเตอร์ไซค์ก็ยอม ถูกตบ เขาก็ไม่ต่อสู้ ไม่สวน ให้กราบ ก็กราบ แต่ก็คงงง ทำกันขนาดนี้เชียวเหรอ ตบยังไม่พอ ยังให้กราบอีก
บังเอิญมีคนเห็น อยู่ในเหตุการณ์ ได้ถ่ายคลิปไว้ ซึ่งเดี๋ยวนี้ทำอะไรก็ตาม มันสามารถจะมีคนถ่ายคลิปว่าเราทำอะไรได้ง่ายมากเลย เขาเอาคลิปไปขึ้นเฟซบุ๊กขึ้นเว็บที่มีชื่อ ปรากฏว่าคนที่มาดู เขาไม่พอใจมากว่า ทำไมทำกันขนาดนี้ แล้วบังเอิญพิธีกรคนนี้ก็เป็นคนดังด้วย คนก็รุมด่าใหญ่เลยว่าทำอย่างนี้ได้อย่างไร
แล้วก็ไม่ใช่แค่รุมด่าพิธีกรคนนี้ รุมด่าไปถึงต้นสังกัดด้วย ถึงรายการโทรทัศน์ กดดันจนกระทั่งรายการโทรทัศน์นั้นต้องปลดพิธีกรคนนั้นออกจากหน้าที่ ต้นสังกัดก็ปลดเลย เพราะเสียงกดดันของมหาชนมันรุนแรงมาก มาจากทุกสารทิศเลย สุดท้ายพิธีกรคนนั้นก็ตกงาน กลายเป็นหมาหัวเน่า
อันนี้มันก็น่าคิดเหมือนกันว่า ทำไมแค่รถถูกเฉี่ยวถูกชนนิดเดียว ถึงทำกับเจ้าของรถมอเตอร์ไซค์ขนาดนั้น ทำร้ายร่างกายเขาต่อหน้าสาธารณชน กลางวันแสกๆ แล้วยังบังคับให้กราบรถอีก ส่วนหนึ่งก็เพราะเขาเห็นว่าการที่ชนแล้วหนีนี่มันไม่ถูก เขาก็เลยโกรธ ต้องการสั่งสอน แต่จริงๆ เขาก็ไม่ได้หนี เพราะเขาวกกลับมา
แต่ความโกรธมันชอบอ้างหาเหตุ เวลาตัวโทสะกำเริบ มันก็ต้องหาเหตุ หาเหตุที่จะระบายโทสะ ก็อ้างว่าเป็นเพราะหนี ก็เลยต้องการสั่งสอน ตบเพื่อสั่งสอน แต่ทำไมถึงโกรธขนาดนั้น ก็เพราะว่าความยึดมั่นว่ารถของกูๆ ใครมาแตะต้องรถของกูไม่ได้ ใครมากระทบรถของกูไม่ได้ ก็เลยโกรธจนลืมตัว
พอลืมตัวแล้ว สิ่งที่ทำลงไปก็ทำให้เสียผู้เสียคน เสียอนาคตไปพักใหญ่เลย แล้วก็มีชื่อจารึกไว้เลยว่าเคยมีประวัติในเรื่องนี้มา เดี๋ยวนี้หลายคนอาจจะลืม แต่บางคนเขาก็ไม่ลืม เพราะเป็นข่าวดังมาก
กลายเป็นว่าความยึดมั่นว่าของกูๆ นี่มันน่ากลัว เพราะไม่ว่าเรายึดอะไรว่าเป็นของกูก็ตาม เรากลายเป็นของมันทันทีเลย อะไรก็ตามที่เราคิดว่าเป็นของกู ยิ่งยึดมั่นเท่าไรว่าเป็นของกู เรากลายเป็นของมันทันทีเลย แล้วเราพร้อมที่จะทำอะไรก็ได้เพื่อมัน หรือเพื่อปกป้องมัน หรือเพื่อแก้แค้นมัน
บันไดของกู ใครมานั่งไม่ได้ มานั่งนี่ต้องจัดการ รถของกู ใครมาแตะต้องไม่ได้ มาเฉี่ยวมากระทบไม่ได้ เล่นงานหนัก สุดท้ายตัวเองก็แย่ หมดอนาคตหรือเสียผู้เสียคนไป อย่างน้อยก็พักหนึ่งทีเดียว ส่วนฝรั่งคนนั้นก็กลับเมืองไทยไม่ได้แล้ว
ความยึดมั่นว่าของกู เราไม่ได้ทำกับเฉพาะสิ่งของ เช่น บ้าน บันได หรือว่ารถเท่านั้น สิ่งที่เป็นนามธรรม เราก็ยึดว่าเป็นของกู แล้วถ้าเรายึดมั่นในของกูมากๆ พอมีอะไรมาแย้ง มาสวน มาท้าทายกับความคิดที่เรายึดก็เป็นของกู ก็เกิดเรื่องได้
เมื่อสัก 20 ปีก่อนได้ มีเพื่อน 2 คนนั่งกินเหล้า กินเหล้าไปกินเหล้ามา ก็คุยเรื่องการเมือง คนหนึ่งก็วิจารณ์ทักษิณ อีกคนหนึ่งบอกวิจารณ์ได้อย่างไร ทักษิณเขาดี ก็โต้เถียงกัน คนหนึ่งเอาทักษิณ คนหนึ่งไม่เอาทักษิณ โต้เถียงกันไปโต้เถียงกันมา โกรธกัน ถึงขั้นต่อยตีกัน แล้วมันไม่ใช่แค่กำปั้นเท่านั้น บังเอิญมีมีดมีค้อนอยู่ใกล้ตัว ก็คว้ามีดคว้าค้อนมาซัดกัน ปรากฏว่ามีคนหนึ่งตาย
เป็นเพื่อนแท้ๆ กินเหล้าด้วยกัน แต่สุดท้ายก็กลายเป็นศัตรู ถึงขั้นอาฆาต ฆ่าจนตาย อันนี้เพราะอะไร เพราะความยึดมั่นในความคิด ฝ่ายหนึ่งก็บอกว่าทักษิณดี ฝ่ายหนึ่งก็บอกว่าทักษิณไม่ดี ฝ่ายหนึ่งเอาทักษิณ ฝ่ายหนึ่งไม่เอาทักษิณ พอมีความคิดแล้วไปยึดว่าความคิดของกูๆ ใครที่คิดไม่เหมือนกู ใครที่คิดต่างจากกู หรือถึงขั้นมากระแทกทำร้ายความคิดของกู โจมตีความคิดของกู กูก็จะเอามันตาย ถึงตายได้
มันต้องลงเอยขนาดนั้นเชียวหรือ โดยสามัญสำนึกมันก็ไม่ได้จบแบบนั้น เพื่อนแท้ๆ แต่เพราะความยึดมั่นว่าของกูๆ ๆ ไม่ได้ยึดมั่นในสิ่งของที่เป็นรูปธรรม แต่ยึดมั่นในความคิด บังเอิญกินเหล้าเข้าไปด้วย ความโกรธตัวมันเองก็ทำให้หลงอยู่แล้ว พอกินเหล้าก็ทำให้มึนเมา ยิ่งหลงเข้าไปใหญ่ คราวนี้กิเลสก็เลยออกฤทธิ์เต็มที่ ไม่มีสติยับยั้งชั่งใจ
นอกจากยึดทรัพย์สินของว่าเป็นของกู หรือยึดความคิดว่าเป็นของกูแล้ว มันยังมีตัวกูที่ยึดอีก ถ้าท่านพุทธทาสใช้คำว่า “ตัวกูของกู” คนเราถ้ายึดตัวกูแน่นหนา มันก็สร้างปัญหาได้เหมือนกัน เวลามีใครมาตำหนิวิพากษ์วิจารณ์หรือนินทา พอได้ยิน พอเสียงนั้นเข้าหู มันไม่ใช่แค่นั้น มันกระทบไปถึงตัวกู แล้วก็เกิดความโกรธขึ้นมา ถึงขั้นทะเลาะเบาะแว้งหรือถึงขั้นวิวาทบาดหมางกัน คนเราทะเลาะกันก็เพราะความยึดมั่นในตัวกูนี่แหละ
แล้วมันไม่ใช่แค่เฉพาะเพื่อนหรือคนรู้จัก แม้กระทั่งพ่อแม่กับลูก ความสัมพันธ์ก็ร้าวฉานไปเพราะความยึดมั่นว่าตัวกูหรือของกู พ่อแม่แนำลูก ลูกไม่เชื่อ พ่อแม่ก็รู้สึกถูกกระทบถูกกระแทก ความคิดของกูไม่เป็นที่ยอมรับ หรือบางทีเถียงกันระหว่างพ่อแม่กับลูก พ่อแม่ก็รู้สึกว่าความคิดของกูนี่มันถูกท้าทาย เกิดอะไรขึ้น เกิดความโกรธ
ลูกก็เหมือนกัน ความยึดมั่นว่าความคิดของกูนี่ถูก พอถูกพ่อแม่วิพากษ์วิจารณ์ ก็รู้สึกถูกกระทบ ตัวกูถูกกระทบ บางทีก็ลืมเนื้อลืมตัว ลืมว่าเป็นพ่อเป็นแม่ ลืมว่าเป็นลูก ด่าทอกันอย่างรุนแรง เสร็จแล้วก็เกิดความเสียหายตามมา
เวลายึดมั่นในตัวกูมากๆ เวลาใครไม่ให้ความสำคัญกับกู มันก็โกรธ แม้จะเป็นครูบาอาจารย์ อย่างที่เคยเล่า มีพระรูปหนึ่งเป็นลูกศิษย์พระสารีบุตร โกรธพระสารีบุตรมากที่ไม่ทักทาย พระสารีบุตรทักทายคนอื่นทุกคนเลย ที่มาต้อนรับที่มาส่ง ก่อนที่ท่านจะไปธุดงค์ แต่พระรูปนี้พระสารีบุตรมองไม่เห็น ไม่ได้ทักทาย
พระรูปนี้โกรธมากเลย เพราะรู้สึกว่าตัวกูถูกกระทบ เนื่องจากพระสารีบุตรไม่ให้ความสำคัญกับตัวกู ถึงขั้นฟ้องเลย กล่าวหาพระสารีบุตรว่าทำร้าย เพียงเพราะชายสังฆาฏิไปทุกตัวเท่านั้นแหละ หาเหตุโจทก์ฟ้องพระสารีบุตรเลยว่าทำร้าย อันนี้เรียกว่าใส่ร้ายพระสารีบุตรเลย
นี่ขนาดศิษย์กับอาจารย์ แต่ว่าด้วยความไปหลงยึดในตัวกู แล้วก็อยากจะให้ครูบาอาจารย์เห็นความสำคัญของกู พอครูบาอาจารย์ไม่เห็น ด้วยความพลั้งเผลอก็โกรธ อันนี้ก็เช่นเดียวกับพ่อแม่กับลูก พอลูกไม่เห็นความสำคัญของพ่อแม่ หรือไม่ให้ความสำคัญแก่พ่อแม่เพียงพอ ก็รู้สึกว่าตัวกูไม่ได้รับการยอมรับ ก็โกรธ ไม่ได้รับการยอมรับอย่างไร ก็คือไม่เชื่อฟัง ไม่เชื่อฟังพ่อแม่ ไม่ทำตามที่พ่อแม่แนำ ก็รู้สึกว่าตัวกูถูกกระทบ
ยิ่งบางทีลูกแสดงอาการเหมือนกับจะอกตัญญู อย่างมีนักพากย์คนหนึ่ง นักพากย์เสียงธรรมะ อายุมากแล้ว รักลูกมาก พออายุมากก็มอบทรัพย์สินให้ลูก รวมทั้งเงินฝากในธนาคาร ให้จนหมดเลย แต่ลูกค่อนข้างดื้อ หรือพ่อรู้สึกว่าดื้อ พ่อป่วยไม่สบาย ขอเงินลูก ลูกก็อิดออดไม่ให้
พ่อรู้สึกโกรธมาก อาจจะโกรธว่าเงินของกูนี่ ทำไมไม่ให้กูบ้าง หรืออาจจะรู้สึกว่าไม่เคารพกูเลย ปรากฏว่าโต้เถียงกัน ด่าทอกัน สุดท้ายพ่อก็ยิงลูกตาย พ่อรู้ตัวเข้า ตายแล้ว อุตส่าห์พูดเรื่องธรรมะมาเยอะ แต่ตัวเองทำแบบนี้ ไม่รู้จะอยู่สู้โลกอย่างไร ก็เลยยิงตัวตายตาม ทั้งหมดนี้ก็ตัวกูทั้งนั้นแหละ เพราะยึดว่าตัวกูของกู
ฉะนั้นต้องระวัง พวกเราที่เป็นนักปฏิบัติ โดยเฉพาะที่เป็นชาวพุทธ สิ่งสำคัญที่เราควรยึดถือเป็นเป้าหมายคือ การลดความยึดในตัวกูของกูให้ได้มากๆ และพร้อมที่จะไว สังเกตเวลาตัวกูมันถูกกระทบ เวลาตัวกูถูกกระทบ หรือของกูถูกกระทบ มันจะเกิดความรู้สึกอย่างหนึ่งคือความโกรธ คนจำนวนไม่น้อยพอความโกรธเกิดขึ้น ก็หลงไปตามความโกรธ เพราะลืมตัว แต่ถ้าเป็นนักปฏิบัติ เวลาเกิดความโกรธขึ้นมา ต้องเฉลียวใจฉุกคิดว่านี่ตัวกูมันกำเริบเสียแล้ว
ความโกรธก็เป็นข้อดี มันทำให้เรารู้ว่าเรามีความยึดตัวกู หรือยึดของกูตรงไหน บางทีเราปฏิบัติไปๆ เราก็คิดว่าตัวกูเราเล็กน้อยแล้ว ลดลงไปแล้ว แต่พอมีความโกรธเกิดขึ้น อันนี้คือสัญญาณว่าตัวกูหรือของกูถูกกระทบแล้ว คนที่เป็นนักปฏิบัติเขาก็จะรู้แล้วว่านี่คือจุดที่ต้องจัดการ นี่คือสิ่งที่ต้องแก้ไข
ถ้าเราใช้ความโกรธเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ ว่าเรากำลังมีความยึดมั่นถือมั่นในอะไรบางอย่าง ว่าเป็นของกู ว่าเป็นตัวกู เราก็ได้จัดการ รวมทั้งฝึกหัดขัดเกลาจิตใจตัวเอง เพื่อไม่ให้ตัวกูนี่มันครองจิตครองใจมากเกินไป หรือว่าเพื่อลดความยึดมั่นในตัวกู
เช่น ตัวกูมันชอบอวด ชอบแสดง ชอบประกาศความเก่งกล้าสามารถ บางทีเราก็ต้องสวนทางกับมัน มันอยากอวด มันอยากแสดง อยากจะโชว์ เราก็ไม่ทำตามมัน ใหม่ๆ จะรู้สึกอัดอั้น แน่นหน้าอกเหลือเกิน รู้สึกเหมือนอกจะแตกถ้าไม่ได้อวด ไม่ได้คุยไม่ได้โว ไม่ได้โชว์ออฟ แต่ว่าทำไปนานๆ มันก็จะค่อยๆ เบาบางลง ไม่ได้โชว์ไม่ได้อวดก็ไม่เห็นเดือดร้อนอะไร หรือว่าไม่มีใครชมก็ไม่ได้เดือดร้อน ต่อไปถึงแม้เขาตำหนิ เราก็ไม่ได้ทุกข์
การลดความยึดว่าเป็นของกูและตัวกู มันทำได้เยอะเลย แม้กระทั่งการให้ทาน การสละสิ่งของที่เรารัก สิ่งของที่มีค่า ก็เป็นการลดความยึดในของกู หรือการทำใจเป็นกลาง เวลาความคิดของตนไม่มีคนเห็นด้วย เวลาความคิดที่เราพูดไปมีคนแย้ง ก็ถือว่าดี ถือว่ามันได้มาช่วยขัดเกลาความยึดมั่นในของกู สังเกตใจของตัวไปด้วย
เวลาคนเขาแย้งความเห็นของเรา ใจมันกระเพื่อม ใจมันไม่พอใจหรือเปล่า อันนี้แสดงว่าเรายังมีความยึดในความคิดความเห็นอยู่ เรียกว่าที่ทิฏฐุปาทาน ยึดในสิ่งของทรัพย์สมบัติ เรียกว่ากามุปาทาน
ถ้ายึดในตัวกู หรือยึดในความเชื่อว่ามีตัวกู หรือความยึดมั่นว่าตัวกู เรียกว่าอัตตวาทุปาทาน ตัวนี้ไถ่ถอนยากที่สุด แล้วถ้าเราไม่ลดมัน นอกจากเราจะไปสร้างความทุกข์ให้กับผู้อื่น อย่างตัวอย่างที่เล่ามา ถึงขั้นไปทำร้ายคนที่เรารัก หรือคนที่เราไม่รู้จัก
บางทีเราเองนั่นแหละจะทุกข์เอง ทุกข์เพราะยึดอะไรต่ออะไรว่าเป็นของกู
ยึดว่าความทุกข์เป็นกู ยึดว่าความทุกข์เป็นของกู สิ่งที่ไม่ดี ความโกรธ ความเกลียด ความเจ็บความปวดนี่ไม่ดี แต่ทำไมเราไปยึดว่าเป็นของกู ความโกรธเป็นกู ความปวดเป็นของกู แล้วยิ่งยึดว่าเป็นของกู หรือเกิดกูผู้ปวดขึ้นมา เกิดกูผู้ทุกข์ขึ้นมา มันยิ่งทุกข์เข้าไปใหญ่เลย
แต่ถ้าปวดแล้วไม่มีผู้ปวดนี่มันเบา มันมีแค่ปวดกาย หรือว่าเวลาโกรธ มันมีแต่ความโกรธ แต่ไม่มีผู้โกรธ เวลาเศร้า มีแต่ความเศร้า ไม่มีผู้เศร้า เราก็จะเบา อาจจะยังลดความโกรธไม่ได้ ยังมีความโศกความเศร้าอยู่ แต่มันไม่มีผู้โกรธ ไม่มีผู้เศร้า หรือมีก็มีประเดี๋ยวประด๋าว
มันไม่มีอะไรที่จะวิเศษสำหรับชาวพุทธมากไปกว่าการที่ไม่มีผู้ทุกข์ แม้ว่าความทุกข์เป็นสิ่งที่หนีไม่พ้น แต่แม้เกิดขึ้นกับกาย เกิดขึ้นกับทรัพย์สมบัติสิ่งของ แต่มันไม่มีผู้ทุกข์ และเมื่อไม่มีผู้ทุกข์ จิตก็โปร่งเบา อันนี้คือสิ่งที่ชาวพุทธเราน่าจะถือเป็นเป้าหมาย ในการปฏิบัติ ในการฝึกตน คือลดความยึดมั่นในตัวกูในของกู แม้จะไม่ถึงกับเป็นศูนย์ แต่ว่ายิ่งลดได้เท่าไร ความทุกข์ก็น้อยลงเท่านั้น.