พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 14 มีนาคม 2567
ที่สี่แยกแห่งหนึ่งในเมืองใหญ่มีรถหลายคันรอไฟเขียว พอไฟเขียวสว่าง มีรถคันหนึ่งอยู่เลนกลาง แทนที่จะพุ่งตรงไปข้างหน้า กลับค่อย ๆ เลื่อน ค่อย ๆ ขยับ เบี่ยงไปทางซ้าย ไปขวางรถที่อยู่ซ้ายสุด
รถคันนั้นเหมือนกับว่าไม่รู้เรื่องอะไร แล้วก็ขยับเลื่อนตัดสี่แยกไปยังอีกฝากหนึ่งของถนน ซึ่งก็จะมีรถตรงข้ามแล่นสวนมา อาการมันผิดปกติมาก เพราะว่ารถควรจะวิ่งตรง แต่ว่านี่ค่อย ๆ เบี่ยงซ้ายไปช้า ๆ ตัดผ่านสี่แยก แล้วก็กำลังจะไปสวนกับรถอีกฟากหนึ่ง
มีผู้หญิงคนหนึ่งอยู่เลนขวา ขวาสุดเลย พอแกเห็นเหตุการณ์นี้ แกรู้ว่ามันผิดปกติแล้วล่ะ รีบจอดรถข้างทางเลย แล้วก็เปิดประตูรถ ลงจากรถ เพื่ออะไร เพื่อไปช่วยคนที่อยู่ในรถคันนั้นที่ทำท่าประหลาด ๆ ระหว่างที่วิ่งตัดสี่แยก ผ่านเลน ผ่านถนนหลายเลนเลย เพราะเป็นถนนสายใหญ่
แกเหลียวซ้ายแลขวา เพื่อระวังไม่ให้รถมาวิ่งชนตัวเอง ส่วนขาก็วิ่งไปด้วย วิ่งไปหารถคันที่แปลก ๆ นั่น แล้วก็ตะโกน ตะโกนบอกเจ้าของรถคันนั้นที่แกวิ่งไป เพื่ออะไร เพราะรู้ว่าคนขับคงจะมีปัญหา ต้องการความช่วยเหลือ ระหว่างที่วิ่งตะโกนบอกคนที่เป็นเจ้าของรถคันนั้น ซึ่งไม่ได้ผล เพราะว่ารถติดกระจก
แกก็โบกไม้โบกมือให้รถฝั่งตรงข้ามว่า “หยุด ๆ ๆ” เพราะถ้าไม่หยุดนี่ก็จะต้องสวนแล้วก็ชนรถคันที่ประหลาด ๆ นั้น
พอไปถึงรถคันนั้น แกก็พยายามทุบกระจก เพราะเห็นคนขับหน้าทิ่มพวงมาลัย ไม่รู้ว่าหลับในหรือเปล่า แต่ว่าทุบกระจกอย่างไรคนขับก็ไม่ตื่น และรถก็ยังเคลื่อนไปเรื่อย ๆ ถ้าอย่างนั้นจะทำอย่างไร เราก็ต้องพยายามหยุดรถ เพราะถ้าไม่หยุดรถก็อาจจะไปโดนรถอีกฝั่งหนึ่งชนเอา แต่ผู้หญิงคนเดียวนี่หยุดรถไม่ได้
โชคดี มีพลเมืองดีหลายคนเห็นเหตุการณ์นี้ เขาจอดรถข้างทางเลย แล้วก็กรูลงมาเพื่อมาช่วยกันหยุดรถ มากัน 4-5 คนเลย สุดท้ายก็หยุดรถได้ หยุดรถได้แล้วไม่พอ ต้องพยายามช่วยคนขับรถซึ่งหมดสติไปแล้ว ไม่รู้ว่าหัวใจวายหรือเปล่า ก็ต้องทุบกระจกรถแตก แล้วก็ไปช่วยเอาคนขับรถนั้นออกมาเพื่อส่งโรงพยาบาล
มีคนถ่ายคลิปเหตุการณ์นี้ตั้งแต่ต้นเลย เป็นเหตุการณ์ที่น่าทึ่ง แล้วก็น่าประทับใจมาก เพราะว่าคนธรรมดาหรือคนทั่วไปพอเจอเหตุการณ์แบบนี้ เห็นรถคันนั้นทำพฤติกรรมแปลก ๆ นี้ ก็อาจจะบ่นว่า มันเป็นอะไรของมัน แทนที่จะขับตรง นี่กลับเบี่ยงซ้าย คือในเมืองนอกรถเขาชิดขวา ไม่เหมือนเมืองไทยรถชิดซ้าย
เพราะฉะนั้นพอเบี่ยงซ้าย มันก็คือจะไปอีกเลนหนึ่ง แล้วก็ไปเจอกับรถที่แล่นมาจากทิศตรงข้าม ซึ่งถ้ารถคันนั้นไม่หยุดก็อาจจะมีการประสานงากัน ผู้หญิงคนที่ไปช่วย เห็นเหตุการณ์ แกไม่เหมือนคนทั่วไป คนทั่วไปก็อาจจะบ่นว่ามันทำอะไรประหลาด ๆ หรือไม่ก็ ไม่สนใจ เพราะว่าเร่งรีบ
ผู้หญิงคนนี้ก็อาจจะมีธุระเร่งรีบ แต่เธอเห็นว่าเหตุการณ์นี้ มันน่าเป็นห่วง อาการแบบนี้แสดงว่าคนขับมีปัญหา เธอก็ไม่อยู่เฉย แทนที่จะวิ่งไปทำธุระ หยุดรถเลยแล้วก็ลงจากรถ เรียกว่ามีน้ำใจมาก
แต่ไม่ใช่แค่มีน้ำใจเดียว แกมีสติด้วย เพราะว่าคนบางคนพออยากจะไปช่วยใครนี่ ใจก็พุ่งไปอยู่กับคนที่ต้องการความช่วยเหลือ แล้วก็อาจจะลืมเนื้อลืมตัว เช่น วิ่งข้ามถนนโดยที่ไม่สังเกตสังกา ใจไปอยู่แต่ที่รถคันนั้น
แต่ผู้หญิงคนนี้แม้ใจอยากจะไปช่วยรถคันนั้น แต่ว่าก็มีสติ รู้สึกตัวดีว่าจะวิ่งไปแบบสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ เพราะมันต้องวิ่งตัดถนน อาจจะมีรถชนได้ เธอก็เหลียวซ้ายแลขวา พอเห็นว่าถนนว่าง ก็วิ่ง วิ่งตัดถนน ขณะเดียวกันก็ตะโกนบอกรถที่จะสวนมา โบกไม้โบกมือให้หยุดด้วย หยุดด้วย ก็เลยกลายเป็นว่า สามารถจะช่วยคนที่เดือดร้อนได้ พาส่งโรงพยาบาลได้ทัน ส่วนตัวเองก็ปลอดภัย ไม่โดนรถวิ่งชนเอา
คนเราลำพังการมีน้ำใจช่วยคนที่เดือดร้อนก็น่าประทับใจแล้ว แต่ว่าอยากจะช่วยอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีสติด้วย ให้รู้ตัว ดูหน้าดูหลัง ว่าปลอดภัยหรือเปล่า เพราะบางครั้งเวลาเราเจออะไรนี่ อาจจะด้วยความดีใจ หรือความตกใจก็แล้วแต่ เช่น เจอเพื่อนอยู่ถนนอีกฝั่งหนึ่งของถนน ดีใจ ไม่ได้เจอตั้ง 20 ปี อยากจะไปเจอ อยากจะไปทัก วิ่งข้ามถนน แต่ว่าไม่สังเกตว่า มันมีรถที่วิ่งสวนมา ก็อาจจะโดนรถชนบาดเจ็บได้
อันนี้เรียกว่า แม้จะอยากจะช่วยใครก็ตาม หรืออยากจะพบปะใครก็ตามต้องมีสติ อย่าให้ความดีใจ อย่าให้ความตกใจ อย่าให้ความห่วงใยมันมากล้น จนลืมเนื้อลืมตัว เพราะไม่อย่างนั้นแม้ปรารถนาดีอยากจะไปช่วยคนอื่น แต่ว่าตัวเองกลับเดือดร้อนเพราะว่าไม่ได้สังเกตว่ามีอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้กับตัวเองขณะที่ไปช่วยผู้อื่น
ฉะนั้นผู้หญิงคนนี้ก็เรียกว่า นอกจากมีน้ำใจดีแล้ว ก็ยังมีสติที่สามารถจะรักษาตัวเองให้ปลอดภัยแล้วก็ช่วยคนอื่นให้ปลอดภัยได้ด้วย.