พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 5 มีนาคม 2567
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เราจะได้ยินข่าวว่า มีการรณรงค์ส่งเสริมให้นักเรียนในเมืองไทย เริ่มตั้งแต่เด็กชั้นประถมเลยนี่ รู้จักใช้แท็บเล็ต แท็บเล็ตเป็นอุปกรณ์การศึกษาที่ถือว่าทันสมัย เวลาพูดถึงการปฏิรูปการศึกษาในเมืองไทยก็จะมีการพูดถึงแท็บเล็ตว่าควรจะนำมา หรือส่งเสริมให้นักเรียนได้ใช้ เพื่อจะได้ทันโลกทันยุค แล้วก็สามารถจะแข่งขันกับประเทศอื่นได้
แต่เมื่อเร็วๆ นี้ มีข่าวจากประเทศสวีเดน นักเรียนถือว่ามีความสามารถทางด้านการศึกษาสูงมาก เรื่องมาตรฐานสูง จะรองก็แต่ฟินแลนด์ ซึ่งถือว่าเป็นอันดับ 1 ของโลก ในด้านผลสัมฤทธิ์ของการศึกษาโดยเฉพาะนักเรียนประถม สวีเดนนี้ก็ไล่หลัง ห่างกันไม่กี่ตำแหน่ง
ปรากฏว่าเร็วๆ นี้ เขาประกาศว่าเขากำลังส่งเสริมให้นักเรียนชั้นประถมกลับมาอ่านหนังสือเป็นเล่ม แล้วก็ใช้แท็บเล็ตให้น้อยลง หรือว่าเลิกใช้ไปเลย
อันนี้เป็นการเปลี่ยนนโยบายแบบเรียกว่าหักเลี้ยวเลย เพราะว่าเมื่อปี 2560 สวีเดนรณรงค์ให้นักเรียนชั้นประถมใช้แท็บเล็ตในห้องเรียนแทนหนังสือ ผ่านไป 6-7 ปี ก็พบว่าความสามารถในการเขียนของนักเรียนชั้นประถมแย่ลง
เพราะว่าแท็บเล็ต เวลาจะเขียนอะไรก็จะใช้วิธีพิมพ์เอา หรือถ้าไม่พิมพ์ ก็เขียนใส่หน้าจอ แล้วก็พบว่าลายมือของเด็กที่เขียนในแท็บเล็ต มันแย่มาก แล้วเขาเป็นห่วงว่า ความสามารถในการเขียนตัวหนังสือของเด็กชั้นประถม มันจะแย่ลงเรื่อยๆ ถ้าใช้แท็บเล็ต
ถามว่าการเขียนมันสำคัญอย่างไร มันก็ยังสำคัญ เพราะว่าแม้เราจะสื่อสารกันด้วยการพิมพ์ข้อความทางโทรศัพท์มือถือ หรือบางทีก็ใช้อ่านเอา ใช้พูดเอา แต่ว่าในชีวิตประจำวัน เราก็ยังมีการเขียนอยู่ อาจจะเขียนข้อความเล็กๆ สั้นๆ ถึงเพื่อน ถึงลูก ถึงพ่อแม่ หรือบางทีเขียนอวยพรในการ์ดวันเกิด วันปีใหม่
มนุษย์เราไม่ว่าจะเจริญแค่ไหน ก็ยังทิ้งการเขียนด้วยปากกาหรือด้วยดินสอไม่ได้ ทีนี้ถ้าลายมือมันแย่ลงไปเรื่อยๆ ต่อไปการสื่อสารระหว่างคนที่คุ้นเคย หรือว่าคนที่ห่างไกลออกไป ก็จะแย่ลง
จริงๆ มันไม่ใช่แค่นั้น การที่เรารู้จักเขียนด้วยดินสอ ด้วยปากกา มันเป็นการบริหารมือ บริหารนิ้ว แล้วมันก็มีผลต่อการพัฒนาสมองด้วย มันดีกว่าการพิมพ์ดีดเยอะ หรือว่าดีกว่าการจิ้มเยอะเลย
นักดนตรีที่ใช้นิ้วใช้มือ ในการดีดสายกีตาร์ ในการสีไวโอลิน หรือว่าในการดีดเปียโน มันมีผลต่อสมอง และสมองที่เติบโต มันสัมพันธ์กับการใช้นิ้ว มันจะมีผลกลับมาที่การใช้มือใช้นิ้ว ทำให้ใช้ได้คล่องแคล่วรวดเร็วมากขึ้น
ฉะนั้นคนที่ยิ่งใช้มือใช้นิ้วในการเล่นกีต้าร์ ในการสีไวโอลิน ในการดีดเปียโน พวกนี้ คือมือจะดีขึ้นเรื่อยๆ เพราะว่าสมองเขา ในส่วนที่เกี่ยวกับอวัยวะเหล่านี้ มันพัฒนาขึ้น การเขียนตัวหนังสือด้วยมือ มันมีผล
ทำนองเดียวกัน ทำให้สมองพัฒนา แล้วก็มีผลต่อการใช้มือใช้นิ้ว ซึ่งต่างจากการใช้พิมพ์ดีด การใช้แท็บเล็ต หรือว่าการใช้โทรศัพท์มือถือ ที่เราพิมพ์ที่หน้าจอ
แต่มันไม่ใช่แค่นั้น เขาพบในเวลาต่อมาว่า ยิ่งเด็กใช้แท็บเล็ตมากขึ้น มันไม่ใช่แค่การเขียนที่แย่ลง แต่มันมีผลต่อการเรียนรู้ของเด็กด้วย ไม่ว่าจะเป็นการอ่าน หรือการทำความเข้าใจเกี่ยวกับเนื้อหา เขาพบว่าการอ่านหนังสือ มันพัฒนาความสามารถในการอ่านของเด็กได้ดีกว่า แล้วก็ทำให้เด็กได้เรียนรู้ได้ดีกว่า
อันนี้ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจ อาจจะเป็นเพราะว่าการอ่านหนังสือมันช่วยทำให้เกิดสมาธิ ในการอ่าน สามารถจะอ่านได้ยาวๆ เด็กที่เติบโตมากับการอ่านหนังสือ จะมีสมาธิดีกว่าเด็กที่เติบโตมาจากโทรศัพท์มือถือ หรือเติบโตมาจากการเรียนรู้ผ่านแท็บเล็ต สิ่งสำคัญคือสมาธิ
เวลาอ่านหนังสือทางแท็บเล็ต มันมีสมาธิได้ลำบาก เพราะว่าในแท็บเล็ตมันไม่ได้มีแค่หนังสือ มันมีอย่างอื่นด้วย มีเกม แล้วยิ่งถ้าออนไลน์แล้วด้วย มันมีอะไรสารพัดเลย อ่านไปได้ประเดี๋ยวเดียว หน้าหนึ่ง รู้สึกเบื่อ หรือบางทีก็หาเหตุอ้างว่าเบื่อ ก็เปิดไปเล่นเกมบ้าง ฟังเพลงบ้าง เพราะมันมีสิ่งล่อตาล่อใจอยู่ในเครื่องแท็บเล็ตเยอะไปหมดเลย แม้จะไม่ออนไลน์
แล้วถ้ายิ่งออนไลน์ อ่านไปได้ประเดี๋ยวเดียว อดไม่ได้ จะแวบไปดูหนังฟังเพลง ไปเล่นโซเชียลมีเดีย แล้วอย่างนี้เด็กจะมีสมาธิกับการอ่านได้อย่างไร แล้วพอไม่มีสมาธิกับการอ่าน ไม่สามารถจะอ่านได้นานๆ ความรู้ความเข้าใจมันก็น้อยลง
เพราะฉะนั้นตอนนี้ในสวีเดน เขาบอกให้นักเรียนชั้นประถมอ่านหนังสือจากแท็บเล็ตให้น้อยลง ในห้องเรียนให้อ่านหนังสือจากหนังสือที่เป็นเล่ม แล้วเวลาพักก็ไม่ให้ใช้แท็บเล็ต เพราะว่าถ้าใช้แท็บเล็ต เด็กก็จะไม่สนใจไปพัก ไปเล่น ไปออกกำลังกาย
เวลาพัก เขาก็อยากให้เด็กออกไปวิ่งเล่น ออกไปมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน ได้ออกกำลังกาย แต่ถ้าเกิดว่าเด็ก เวลาพัก ไม่ไปไหน เพราะติดแท็บเล็ต ร่างกายก็แย่ สุขภาพจิตก็ไม่ดี ความสัมพันธ์กับคนทั่วไปก็ไม่ดี
เพราะฉะนั้น ตอนนี้เขาจึงรณรงค์ว่า ในห้องเรียนให้อ่านหนังสือที่เป็นเล่ม ไม่ใช่แท็บเล็ต ถึงเวลาพัก ถึงเวลาเลิกเรียน ถ้าเป็นนักเรียนชั้นประถมขณะที่รอพ่อแม่มารับ ก็ไปวิ่งเล่น ไม่ต้องใช้แท็บเล็ต
ก็กลายเป็นว่าตอนนี้เริ่มกลับมาย้อนยุค ยุคใหม่ที่รุดหน้าไปข้างหน้าไกลๆ พบว่ามันสร้างปัญหากับการเรียนรู้ของเด็ก และอาจจะมีผลต่อผู้ใหญ่ก็ได้
เพราะฉะนั้น อันนี้ก็เป็นเรื่องที่ครู หรือว่าผู้ที่เป็นนักบริหารการศึกษาในเมืองไทยต้องตื่นตัว ต้องเรียนรู้ว่าจริงไหม อันนี้ก็ถือว่าเขากำลังก้าวหน้าไปอีกแบบหนึ่ง ซึ่งก็คงจะทำให้เราได้เรียนรู้ว่าที่เขาว่าจะจริงไหม แล้วถ้าจริงก็ต้องปรับตัว ปฏิรูปกันใหม่ .