{ampz:shareampz}
แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]
พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 20 พฤศจิกายน 2568 วัดป่าสุคะโต
เมื่อสัก 50 ปีก่อน มีพระเซนกลุ่มหนึ่งคณะหนึ่งจากญี่ปุ่นไปเยี่ยมเยือนวัดหนองป่าพง ตอนนั้นหลวงพ่อชาก็ยังมีชีวิตอยู่ พระกลุ่มนี้เห็นพระที่วัดหนองป่าพงบ้างก็นั่งสมาธิ บ้างก็เดินจงกรม ก็เกิดความประทับใจ
ตอนที่ได้ไปสนทนากับหลวงพ่อชาก็มีพระรูปหนึ่งคงจะเป็นหัวหน้าคณะ ถามหลวงพ่อชาว่า ทำไมต้องปฏิบัติธรรม ทำแล้วได้อะไร ปฏิบัติธรรมมีประโยชน์อะไร เรียกว่าถามโพล่ง ถามตรงมาก
หลวงพ่อชาแทนที่จะตอบอธิบายก็ถามกลับไปว่า แล้วกินข้าวทำไม กินข้าวได้ประโยชน์อะไร ทำไมถึงต้องกินข้าว ปรากฏว่าพระเซนกลุ่มนั้นพอใจมาก ทั้ง ๆ ที่หลวงพ่อชาไม่ได้อธิบาย ไม่ได้ตอบเลย เพียงแต่ถามกลับ
ที่พระกลุ่มนั้นพอใจก็คงเพราะคำถามของหลวงพ่อชาก็เป็นคำตอบอยู่แล้วว่า การปฏิบัติธรรมก็ไม่ต่างจากการกินข้าว การกินข้าวเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิต ขาดไม่ได้ เพียงแต่ว่าการกินข้าวทำให้ร่างกายอยู่รอดได้
ส่วนการปฏิบัติธรรมคือการทำสมาธิภาวนาเป็นสิ่งที่บำรุงจิตใจ ทำให้จิตใจรอดเหมือนกัน คือรอดจากความทุกข์ แต่ก็น่าสงสัยว่าคนเราเวลากินข้าว เราไม่เคยถามเลยว่า กินข้าวทำไม กินแล้วได้อะไร กินข้าวแล้วมีประโยชน์อะไร
แต่เวลาพูดถึงการปฏิบัติธรรม การทำสมาธิภาวนา หลายคนมีคำถามมากมาย นั่งสมาธิไปทำไม เจริญสติได้อะไร ทำกรรมฐานมีประโยชน์อะไร มีคำถามเยอะ และถ้ายังไม่มีคำตอบที่น่าพอใจก็ไม่ทำ ทั้งที่การกินข้าวกับการปฏิบัติธรรมก็เหมือนกัน เพียงแต่ว่ามีประโยชน์คนละด้าน แต่ก็ขาดไม่ได้
ร่างกายเราขาดข้าวไม่ได้ ขาดอาหารไม่ได้ฉันใด ใจเราก็ขาดการเจริญสมาธิภาวนาไม่ได้ฉันนั้น
แต่ทำไมเวลาเรากินข้าวเราไม่ถามเลย อาจจะเป็นเพราะว่ามีสิ่งเรียกร้อง เช่น ความหิว ความหิวนี่เรียกร้องให้เราหาอาหารมากิน หาข้าวมาใส่ท้อง พอกินข้าวเสร็จก็หายหิว หายทุกข์ ส่วนการปฏิบัติธรรมที่จริงก็มีสิ่งที่ผลักดันเราเหมือนกัน เพียงแต่ต่างจากความหิวที่ทำให้เราหาอาหารมาใส่ท้อง
คนเราเวลามีความทุกข์ นั่นแหละคือสิ่งที่ผลักให้เราหรือเรียกร้องให้เราทำสมาธิภาวนา แต่ว่าคนไม่ค่อยตระหนักตรงนี้เท่าไหร่ เพราะเวลามีความทุกข์กายทุกข์ใจ ความกลัดกลุ้ม มีความเศร้าก็หันไปหาสิ่งอื่น ไปหาเหล้า ไปหาบุหรี่ ไปหายาเสพติด หรือว่าถ้าเครียดก็ไปหาของอะไรอร่อย ๆ มากิน ดูหนังฟังเพลง ให้หายหิวหรือว่าหายเครียด ก็เลยไม่ค่อยสนใจการปฏิบัติธรรม
แต่ที่จริงความทุกข์ในจิตใจก็ไม่ต่างจากความหิว ความหิวเรียกร้องให้เราหาอาหารมาใส่ท้อง ความทุกข์ใจก็เรียกร้องให้เราหันมาดูแลจิตใจ เติมสติ เติมความรู้สึกตัว เติมธรรมะเข้าไปในใจ แต่เป็นเพราะว่าสิ่งล่อเร้าเย้ายวนเยอะ
อีกอย่างหนึ่งการภาวนาไม่ใช่ว่าทำแล้วจะหายทุกข์ทันที ไม่เหมือนกินข้าวหรือหาอาหารใส่ท้อง กินข้าวปุ๊บก็หายหิวปั๊บ แต่ว่าการเจริญสติ ทำสมาธิ การปฏิบัติธรรมทำแล้วยังไม่ได้ทำให้ความทุกข์หายไปทันทีสำหรับคนส่วนใหญ่ ยกเว้นคนที่มีปัญญา บางทีแค่ได้ฟังธรรมแค่ประโยคเดียวก็บรรลุธรรมแล้ว อย่างอุปติสสะ ซึ่งภายหลังเป็นพระสารีบุตร ได้ฟังธรรมจากพระอัสสชิแค่ประโยคสองประโยคก็บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน
แต่ส่วนใหญ่แล้วใช้เวลากว่าความทุกข์จะหายไปจากใจ ไม่เหมือนอย่างอื่น เหล้า ของอร่อย หนัง เพลง พอเสพเข้าไป หายกลุ้ม หายเครียดแต่ชั่วคราว ปัญหาเดิมไม่ได้หายไปแถมมีปัญหาใหม่เข้ามา กินเหล้าทำให้นอกจากความกลุ้มไม่หายแล้วก็ยังเกิดโรค เกิดปัญหากับการทำงาน กับครอบครัวอีก
แต่ถ้าเราพิจารณาดูดี ๆ การที่หลวงพ่อชาตอบว่า การปฏิบัติธรรมไม่ต่างจากการกินข้าวนี่จริงเลย การกินข้าวเป็นสิ่งที่ร่างกายขาดไม่ได้อย่างฉันใด การเจริญสติ การปฏิบัติธรรม สมาธิภาวนาก็เป็นสิ่งที่จิตใจเราขาดไม่ได้ฉันนั้น
แต่ว่าการกินอาหาร อาหารมีหลายชนิดหลายอย่าง ข้าว ก๋วยเตี๋ยว ขนมปัง การปฏิบัติธรรมก็เหมือนกัน มีหลายรูปแบบ ไม่ใช่ว่าจะมีรูปแบบเดียว อันนี้ก็ต้องเข้าใจด้วย
พูดถึงการกินข้าวกับการปฏิบัติธรรมมีความเหมือนกัน แต่จะว่าไปแล้วนี่การกินข้าวก็เป็นการปฏิบัติธรรมในตัว คนมักจะมองข้าม ไม่ใช่ว่ากินข้าวเสร็จแล้วไปปฏิบัติธรรม การกินข้าวก็เป็นการปฏิบัติธรรมเหมือนกัน
มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับอาจารย์เซนท่านหนึ่ง ประเทศจีน หลงหยามีลูกศิษย์ลูกหาเยอะ มีคราวหนึ่งมีพระหนุ่มมาบวช บวชได้วันเดียว วันรุ่งขึ้นขณะที่ถึงเวลาอาหาร อาหารเช้า พระหนุ่มแกมีความสงสัยอยากรู้อยากเห็นมาก พอได้มานั่งโต๊ะเดียวกับอาจารย์หลงหยา แกก็ถามเลย
“จิตของเราเป็นอมตะหรือไม่ ร่างกายเราต้องเสื่อมสลายเสมอไปหรือเปล่า คนเราตายแล้วเกิดใหม่ไหม แล้วถ้าหากคนเราตายแล้วเกิดใหม่เราจะจำเรื่องราวในชาติก่อนได้ไหม แล้วเซนนี่จะช่วยทำให้เราหลุดพ้นจากความทุกข์ได้ไหม...”
แกมีคำถามเยอะแยะไปหมดเลย พรั่งพรูออกมา จนกระทั่งใกล้จะถึงคำถามที่สิบ ไม่ทันจะเอ่ยปาก อาจารย์หลงหยาก็บอกว่า ข้าวเช้าของเธอเย็นแล้ว แปลว่าอะไร แปลว่ากินข้าวได้แล้ว นี่ไม่ใช่เวลามาถาม ไม่ใช่เวลามาหาคำตอบว่าจิตเราเป็นอมตะหรือไม่ ร่างกายเราจำเป็นต้องเสื่อมสลายหรือเปล่า
ปฏิบัติธรรมคืออะไร ปฏิบัติธรรมคือการอยู่กับปัจจุบันให้เป็น เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าเราอย่างเฉพาะหน้า อันนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติธรรม อย่างที่ในบทสวดบทหนึ่งที่เราได้ฟังหรือได้สวดเป็นประจำ ผู้ใดเห็นธรรมที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าในที่นั้น ๆ อย่างแจ่มแจ้ง ไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน เขาควรพอกพูนอาการเช่นนั้นไว้
แค่เห็นธรรมที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า อันนี้อาจจะหมายถึงธรรมที่เกิดขึ้นในใจหรือสิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า และบางอย่างก็ต้องเกี่ยวข้องให้ถูก กินข้าว ถึงเวลากินข้าวก็กินข้าวเสีย ไม่ใช่ไปคิดโน่นคิดนี่ แม้จะเป็นเรื่องธรรมะชั้นสูง เรื่องปฏิจจสมุปบาท ไม่ใช่เวลาที่จะมาหาคำตอบ แม้จะเป็นธรรมที่ลึกซึ้งก็ตาม
ถึงเวลากินข้าวก็กินข้าว ไม่ใช่คิดโน่นคิดนี่ ระหว่างที่กินข้าวใจก็อยู่กับการกินข้าว นั่นแหละคือการปฏิบัติธรรม มีสติกับการกิน มีความรู้สึกตัวในขณะที่ตักข้าวเข้าปาก มีความชอบก็เห็นความชอบนั้น มีความเพลินในรสชาติก็รู้ว่ามีความเพลิน มีความไม่ชอบอาหารบางอย่างก็รู้ หรืออาจจะมีเสียงตำหนิในใจว่า ทำไมอาหารเป็นอย่างนี้ ไม่ถูกปากเลย ก็รู้
การรู้สิ่งที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าและการทำกิจเฉพาะหน้า อันนี้เป็นการปฏิบัติธรรมแล้ว ไม่จำเป็นต้องรู้หรือสงสัยหรือพยายามหาคำตอบว่า ตายแล้วไปไหน ตายแล้วเกิดใหม่หรือไม่ หรือแม้กระทั่งว่า ปฏิจจสมุปบาท ภพ ชาติ ชรา มรณะ หมายความว่าอะไร นั่นไม่ใช่เวลาที่จะมาขบคิด กินข้าวใจก็ควรอยู่กับการกินข้าว
แล้วกินข้าวอย่างถูกต้อง กินข้าวแต่พอดี รู้จักประมาณในการกิน ไม่ใช่กินด้วยความอยากหรือความเพลินในรสชาติพาไป ฉะนั้นมีธรรมให้เราปฏิบัติมากมายในระหว่างที่กินข้าว โดยเฉพาะการทำความรู้สึกตัว อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ให้ทำความรู้สึกตัวในเวลากิน ดื่ม เคี้ยว ลิ้ม
ฉะนั้นถ้าหากว่าไม่เข้าใจ แล้วก็ไปคิดว่าปฏิบัติธรรมเป็นอันหนึ่ง กินข้าวก็อันหนึ่ง ไม่ใช่ ที่จริงการกินข้าวก็เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้เหมือนกัน หาคำตอบในขณะที่กินข้าว เป็นคำตอบที่ไม่ต้องอาศัยความคิด คือความรู้สึกตัว นั่นแหละคือคำตอบที่จะช่วยเราได้.