{ampz:shareampz}
แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]
พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 17 พฤศจิกายน 2568 วัดป่าสุคะโต
คนเราพอร่างกายมีอายุมากขึ้นจนเข้าสู่ภาวะสูงวัย ร่างกายก็ค่อย ๆ เสื่อมลงไป อะไรต่ออะไรก็ไม่เหมือนเดิม ตา หู ขา แขน อันนี้รวมทั้งสมองด้วย เป็นที่รู้กันว่า พออายุมากเป็นผู้สูงวัยแล้ว สมองก็ทำงานได้ช้าลง ความจำไม่ค่อยดี เรียกว่าสมองเสื่อมลงไปเรื่อย ๆ การตัดสินใจอะไรก็ไม่รวดเร็วกระฉับกระเฉง แต่ทั้งหมดนี้เราสามารถจะชะลอได้ มีคนแนะนำให้รู้จักเลือกกินอาหาร ยิ่งออกกำลังกายจะช่วยได้เยอะ เป็นยาสารพัดโรค โรคมะเร็ง โรคหัวใจ อัลไซเมอร์ ความจำเสื่อม พวกนี้ชะลอได้ หรืออาจป้องกันได้ด้วยการวิ่ง เดิน จ๊อกกิ้ง ว่ายน้ำ แต่อย่างหนึ่งที่เขาแนะนำเพื่อชะลอความเสื่อมของสมองคือ การใช้ความคิด อาจจะทำโจทย์ แก้ปริศนา หรือว่าอ่านหนังสือ
เมื่อเร็ว ๆ นี้เขาพบว่ามีอีกอย่างหนึ่งที่ช่วยได้มากในการชะลอความเสื่อมของสมองคือ การเป็นจิตอาสา ไม่ว่าจะเป็นการไปเป็นอาสาสมัครตามองค์กรต่าง ๆ หรือว่าการเป็นจิตอาสาแบบไม่สังกัดองค์กรคือ มีน้ำใจช่วยเหลือผู้อื่น พาคนข้ามถนน ช่วยเหลือเพื่อนบ้าน เขาพบว่ามันช่วยชะลอความเสื่อมของสมองได้ อันนี้เป็นผลการวิจัยในอเมริกาที่เขาทำกับคนอายุ 50 ปีขึ้นไป 30,000 คน เขาติดตามผลตั้งแต่ปี 2541 จนถึง 2563 22 ปี เขาพบว่า คนเราไม่ว่าจะทำจิตอาสาแบบเป็นทางการ คือ เป็นอาสาสมัครตามองค์กรต่าง ๆ หรือจิตอาสาแบบไม่เป็นทางการ คือ เป็นคนมีน้ำใจช่วยเหลือผู้อื่น พวกนี้ความเสื่อมของสมองช้ากว่าคนที่ไม่ได้ทำอะไร ไม่ได้ทำอะไร หมายถึงว่าอาจจะอยู่บ้านเฉย ๆ นั่งดูโทรทัศน์ ไถมือถือ อันนี้เขาพบว่าความเสื่อมของสมองจะชะลอช้ากว่าในหมู่คนที่เขาเป็นจิตอาสา
อาจจะเป็นเพราะว่าพอได้เป็นจิตอาสาแล้ว จิตใจแช่มชื่นเบิกบาน รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า ตื่นมาแต่ละวันก็รู้ว่าไม่ได้อยู่ไปเปล่า ๆ จิตใจที่แช่มชื่นเบิกบาน มีความสุขที่ได้ช่วยผู้อื่น รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่ามีผลต่อสมองได้เหมือนกัน และเขาบอกว่า การเป็นจิตอาสาเพื่อช่วยชะลอความเสื่อมของสมองไม่ต้องทำงานเยอะ ไม่ต้องใช้เวลามากก็ได้ 2 หรือ 4 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ก็ช่วยได้เยอะ อันนี้เป็นเรื่องที่ถือว่าเป็นข้อมูลใหม่ เพราะแต่ก่อนเรารู้กันว่า ความเป็นจิตอาสา โดยเฉพาะคนแก่ เขาจะรู้สึกว่าจิตใจเขารู้สึกดีขึ้น มีกำลังใจ รวมทั้งมีกำลังใจในการมีชีวิตต่อด้วย
เคยมีคุณป้าคนหนึ่ง หรือคุณยายก็ได้ อายุ 70 ปี เธอมีแผลที่ขา ทั้งที่มาหาหมอ แต่ว่าแผลที่ขาก็ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ มาหาหมอแต่ละที หมอก็แปลกใจว่าทำไมแผลไม่ดีขึ้นเลย ตอนหลังพบว่าคนไข้เธอไม่ค่อยให้ความร่วมมือในการรักษาเท่าไร หมอแนะนำอะไรไปก็ไม่ทำ แต่พออาการลุกลามก็คงเป็นลูกหรือเป็นหลานพามาหาหมอ เจ้าตัวเธอคงไม่อยากจะมา หมอถามคุณยายว่า คุณยายมีแผลแบบนี้ไม่อยากหายหรือ เธอตอบว่าอย่างไรรู้ไหม เธอบอกว่า หายหรือตายก็เหมือนกัน คำพูดแบบนี้แสดงว่าไม่ค่อยมีกำลังใจในการมีชีวิต เหมือนกับบอกว่า อยู่หรือตายก็เท่า ๆ กัน ถ้าคนมีธรรมะเขาก็พูดแบบนี้เหมือนกัน แต่ว่าแรงจูงใจคนละแบบ คุณยายบอกว่า หายหรือตายก็เหมือนกัน มันแสดงว่าเธอรู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่า ชีวิตแต่ละวันไม่มีความหมาย
หมอเลยถามว่า คุณยายชอบไปวัดไหม เธอบอกว่า ไปสิ เพราะว่าวัดอยู่ใกล้บ้าน หมอถามต่อไปว่า ที่บ้านมีไม้กวาดไหม คุณยายบอกว่า มี หมอเลยบอกคุณยายว่า คุณยาย ถ้าหายจะได้เอาไม้กวาดไปกวาดที่วัด เป็นการช่วยผ่อนเบาภาระของพระที่วัด และญาติโยมคนที่มาวัดเห็นวัดสะอาดสะอ้านอ้านก็จะรู้สึกเกิดความสดชื่น เจริญหูเจริญตา พอพูดแบบนี้คุณยาเธอยิ้มเลย และเธอบอกว่า อยากหายแล้ว พออยากหายเธอก็ร่วมมือกับหมอในการรักษาตัวเอง สุดท้ายเธอก็หาย พอหายเสร็จเธอก็ไปที่วัด เอาไม้กวาดไปกวาดใบไม้ที่วัด อันนี้เห็นเลยว่าการเป็นจิตอาสามีผลดีต่อสุขภาพ อย่างน้อยก็ทำให้คนไข้เต็มใจในการรักษาตัวเอง และปฏิบัติตามคำแนะนำของหมอ คนไข้อยากไปเป็นจิตอาสา อยากจะไปกวาดลานวัด เลยตั้งใจรักษาขาให้หาย
ทำไมถึงอยากจะเริ่ม อยากจะไปกวาดลานวัด เพราะรู้สึกว่ามีคุณค่า มีความสุขที่ได้ทำ การที่ได้รู้ว่า เรายังมีประโยชน์อยู่นะ หรือ เรายังสามารถทำประโยชน์ได้ แม้จะไปแค่กวาดใบไม้ในลานวัด ก็ทำให้คุณยายเธอรู้สึกเห็นคุณค่าของการมีชีวิต มีแรงจูงใจที่จะอยู่ต่อไป อันนี้เรียกว่า การไปเป็นจิตอาสา แม้จะไม่ได้ไปทำอะไรตามโรงพยาบาล แต่แค่ไปช่วยงานที่วัด มีผลดีทั้งต่อจิตใจของเธอ และต่อสุขภาพของเธอด้วย เพราะฉะนั้น การไปเป็นจิตอาสา ไปทำประโยชน์ให้กับผู้อื่น เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับคนแก่ คนวัยชรา อย่างน้อย ๆ ก็ทำให้รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า ได้ทำประโยชน์ และได้ยืดเส้นยืดสาย ทั้งหมดนี้ดีต่อสมองทั้งนั้น
บางคนไม่ค่อยอยากเป็นจิตอาสา เพราะว่าต้องไปตากแดด ต้องเสียเวลา แต่บางคนบอกว่าอยากจะปฏิบัติธรรม
ที่จริงการปฏิบัติธรรมไม่ใช่แค่การมาเก็บตัวอยู่ในวัด หรือเข้าคอร์สเท่านั้น การไปช่วยเหลือผู้อื่นก็เป็นการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่งเหมือนกัน
หลายคนเข้าใจว่า ถ้าเราไปช่วยคนอื่นก็จะได้แต่ประโยชน์ท่าน แต่ไม่ได้ประโยชน์ตน แต่ที่จริงไม่ใช่เลย ที่พูดมาทั้งหมดก็ได้ชี้ให้เห็นว่า การไปช่วยเหลือผู้อื่น เป็นจิตอาสา นอกจากก่อให้เกิดประโยชน์ท่าน ก่อให้เกิดประโยชน์ส่วนรวมแล้ว ยังเกิดประโยชน์ตนด้วย เพราะฉะนั้น อย่าไปดูแคลนการไปเป็นจิตอาสา หรือช่วยเหลือผู้อื่น
ตอนนี้พุทธิกาก็จัดหาอาสาสมัครไปช่วยตามโรงพยาบาลต่าง ๆ เรียกว่า จิตอาสาอำนวยความสะดวก จิตอาสาข้างเตียง แต่ถึงแม้จะไม่มีเวลาไปเป็นจิตอาสาในลักษณะนั้น แต่เพียงแค่การมีน้ำใจช่วยผู้อื่น ก็มีผลดีต่อจิตใจ และมีผลดีต่อสุขภาพ รวมทั้งสมองด้วย ฉะนั้นเปิดใจที่จะช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ได้เป็นจิตอาสา ไม่ได้เป็นอาสาสมัครที่ไหน แต่ว่าใครที่เดือดร้อน เพื่อนบ้าน เราก็ช่วย หมู่บ้านของเรามีปัญหา เราก็มีน้ำใจช่วย อันนี้เป็นยา เรียกว่าโอสถที่บำรุงจิต บำรุงสมองของผู้สูงวัยได้เยอะเลยทีเดียว.