PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ
PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ

Search

  • หน้าแรก
  • เสียง
  • พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล
  • แค่ฟังอย่างใส่ใจก็ช่วยได้มาก
แค่ฟังอย่างใส่ใจก็ช่วยได้มาก รูปภาพ 1
  • Title
    แค่ฟังอย่างใส่ใจก็ช่วยได้มาก
  • เสียง
  • 14636 แค่ฟังอย่างใส่ใจก็ช่วยได้มาก /aj-visalo/2025-11-19-02-56-13.html
    Click to subscribe
  • {ampz:shareampz}

ผู้ให้ธรรม
พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล
วันที่นำเข้าข้อมูล
วันพุธ, 19 พฤศจิกายน 2568
ชุด
ธรรมะสั้นๆ ก่อนอาหารเช้า 2568
  • แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]

  • พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 15 พฤศจิกายน 2568 วัดป่าสุคะโต
    ตอนนี้ผ่านไปแล้วครึ่งเดือน ไม่ใช่เดือนพฤศจิกายนอย่างเดียว แต่เป็นเดือนการฟังแห่งชาติด้วย หลายคนไม่เคยได้ยินคำนี้ เดือนการฟังแห่งชาติคือเดือนแห่งการฟังนั่นแหละ แต่ว่าเขารณรงค์ให้คนทั้งประเทศสนใจเรื่องการฟังให้มากขึ้น ปีนี้จัดเป็นปีที่ 2 แล้ว
    เขาพยายามสนับสนุนส่งเสริมให้คนมีทักษะในการฟังและจัดกิจกรรมเพื่อเปิดโอกาสให้คนในองค์กรต่าง ๆ ได้มีโอกาสฟังกันให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียน มหาวิทยาลัย หน่วยงานราชการ บริษัทห้างร้าน
    ตอนนี้ทำกันมาครึ่งเดือนแล้ว แต่ว่าหลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าเขามีกิจกรรมอะไรบ้าง แต่ถึงแม้ไม่รู้ว่ามีกิจกรรมอะไร หากเราเห็นความสำคัญของการฟังมากขึ้นก็จะช่วยได้ เพราะตอนนี้คนไทยมีความเหงามากขึ้น
    มีงานวิจัยเมื่อเร็ว ๆ นี้ และเพิ่งเปิดเผยเมื่อเดือนที่แล้ว เขาบอกว่า คนไทย 80 กว่าเปอร์เซ็นต์มีความเหงา ในจำนวนนี้ 16 หรือ 17 เปอร์เซ็นต์ เกือบ 20 เปอร์เซ็นต์ก็แล้วกัน เหงามาก นอกนั้นหรือที่เหลือ 60 กว่าเปอร์เซ็นต์ เหงาปานกลาง ใครที่ไม่เหงาเลยถือว่าเป็นส่วนน้อย และคนเหงามีมากทุกเพศทุกวัย รวมทั้งคนแก่ ผู้สูงวัยด้วย
    แต่คนที่เหงามากคือคนที่อยู่ในเมือง คนที่ทำงานในบริษัทห้างร้าน และคนที่เจ็บป่วย พวกนี้เหงามาก และเขายังพบว่า คนหนุ่มสาว วัยรุ่นส่วนใหญ่บอกว่า AI หรือแชทบอทเข้าใจตัวเองได้ดีกว่าพ่อแม่ เยอะทีเดียว เพราะ AI คุยง่ายกว่าคุยกับพ่อแม่
    และถ้ารวมไปหมดทุกวัย 1 ใน 5 บอกว่า AI เข้าใจเขาได้ดีกว่าคนอื่นหรือคนในครอบครัว ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น เป็นเพราะว่ามีการฟังกันน้อยลง หรือว่าฟังด้วยหูก็จริงแต่ว่าใจไม่ได้รับรู้อะไรด้วย
    AI สำหรับคนส่วนใหญ่ที่ใช้ โดยเฉพาะคนหนุ่มสาวบอกว่าคุยง่ายเพราะว่ามันฟังอย่างเดียว ไม่เถียง และแถมยังให้กำลังใจด้วย แต่เวลาคุยกับพ่อแม่จะโดนเบรก บางทีก็โดนสั่งโดนสอน โดนตำหนิ ทำเท่าไรก็ไม่ดีในสายตาของพ่อแม่ หรือยังดีไม่พอ พวกเขาเลยไม่อยากคุย
    สุดท้ายก็ไปพึ่งแชทบอท ปรึกษาปัญหาหัวใจ ปรึกษาปัญหาชีวิต จนกระทั่งบางทีเกิดความหลงรักเป็นแฟนกันก็มี เขาเรียกว่าเกิดความสัมพันธ์แบบโรแมนติก คือหลงรักนั่นเอง อันนี้เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง เพราะมันสะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่ขาดช่วง ขาดตอนระหว่างมนุษย์ ไม่เฉพาะลูกกับพ่อแม่ แต่จะรวมถึงเพื่อนกับเพื่อนด้วยก็ได้
    ความเหงาบรรเทาได้ด้วยการที่คนฟังกันมากขึ้น เขาจึงรณรงค์ให้มีเดือนการฟังแห่งชาติ และมีคำขวัญว่า “ทุกปัญหาดีขึ้นได้ด้วยการฟัง” ไม่ว่าปัญหาชีวิต ปัญหาการทำงาน อาจจะแก้ไม่ได้ด้วยการฟัง แต่มันดีขึ้นได้ด้วยการฟัง แต่ว่าจะฟังได้ต้องอาศัยเวลาและความใส่ใจ แล้วพอได้ฟัง มันช่วยคนอื่นได้ไม่น้อยเลย
    เมื่อสักเดือนที่แล้ว มีผู้หญิงคนหนึ่งได้รับเชิญเป็นวิทยากรให้กับมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งแถวอยุธยา เป็นมหาวิทยาลัยเล็ก ๆ เธอเป็นคนหนึ่งที่ขับเคลื่อนเรื่องเดือนการฟังแห่งชาติ ตอนที่เธอได้รับเชิญ เธอก็ถามอาจารย์ผู้เชิญว่า นักศึกษามาแน่น่ะ เพราะว่าเธอเองและประสบการณ์จากคนอื่นพบว่า เวลาไปสอน นักศึกษาหายไปเยอะมาก มากัน 14 คน 15 คน บางทีก็มา 3-4 คน พูดง่าย ๆ คือ โดนเท
    พอวันงาน เธอก็ไป และถามอาจารย์ที่เชิญว่านักศึกษามาแน่นะ อาจารย์ยืนยันว่ามาแน่ เธอก็ย้ำอีกว่าไม่ใช่บังคับนะ อาจารย์บอกว่าไม่ได้บังคับ นักศึกษามาเอง พอถึงเวลาก็มา 40 คนได้ เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์
    เธอถามนักศึกษาว่า อยากเรียนรู้อะไรบ้าง หรืออยากได้อะไรบ้างจากการมาคอร์สนี้ 70 เปอร์เซ็นต์บอกว่าอยากนอน อีก 10 กว่าเปอร์เซ็นต์บอกว่าอยากพัก น้อยคนที่บอกว่าอยากจะมาเรียนรู้ ทั้งที่เธอถามนักศึกษาก่อนแล้วว่าอาจารย์บังคับมาหรือเปล่า นักศึกษาบอกว่าไม่ได้มาบังคับ แต่พอถามว่าอยากได้อะไรบ้างจากคอร์สนี้ จากชั่วโมงนี้ 70 เปอร์เซ็นต์บอกว่า อยากนอน แต่เธอก็มีวิธีการที่ทำให้นักศึกษาเกิดความสนใจ
    พอผ่านไป 2 ใน 3 ของคอร์ส ถามนักศึกษาว่ารู้สึกอย่างไรบ้าง หลายคนบอกว่าดี แต่มีคนหนึ่งบอกว่าผมไม่ชอบครับ อาจารย์เลยบอกว่าถ้าไม่ชอบก็ไม่เป็นไร ไม่เข้าร่วมก็ได้ นักศึกษาถามว่าจริงหรือ “จริงสิ ถ้าเธอไม่เข้าร่วม เธอจะไปทำอะไรก็ได้” นักศึกษาก็ถามว่า “แล้วไม่รายงานให้อาจารย์ทราบนะ” เธอบอกว่า “ไม่รายงาน เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องความสมัครใจ อยากจะเรียนก็เรียน ไม่อยากเรียนก็ไปทำอย่างอื่นได้
    ปรากฏว่าไม่ใช่นักศึกษาคนนี้เท่านั้นที่ออกจากห้อง คนอื่นก็ออกจากห้องตามไปด้วย จาก 40 เหลือ 12 คน หายไป 28 ทั้งที่ทีแรกหลายคนบอกว่าดีมาก แต่พอมีเพื่อนออกก็ออกบ้าง เหลือ 12 คน
    เธอทำกิจกรรมไปเรื่อย ๆ จนครบชั่วโมง ไม่รู้ว่า 2 ชั่วโมงหรือ 3 ชั่วโมง พอออกจากห้องมีนักศึกษาผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งมา อาจารย์ ขอคุยด้วยหน่อย เธอบอกว่า ได้ ๆ แต่ขอเข้าห้องน้ำก่อน
    พอเธอออกจากห้องน้ำ นักศึกษาคนนั้นมาคุยว่า หนูเป็นโรคซึมเศร้า แต่ก่อนหนูไม่ใช่แบบนี้ หนูเป็นคนสดชื่นร่าเริง แต่ตอนหลังพอมัธยมต้นมาช่วยพ่อแม่ทำงานหารายได้ เธอเล่ามา เล่ายาว ๆ เล่าปัญหาต่าง ๆ ปัญหาพ่อแม่ ปัญหาครอบครัว ปัญหาเพื่อนฝูง ปัญหาแฟน แล้วเธอก็บอกว่า ตอนนี้หนูแย่เลย หนูซึมเศร้า เธอโทษตัวเอง
    อาจารย์บอกว่า “หนูเก่งมากที่ผ่านมาได้ถึงขนาดนี้ หนูไม่ผิด เป็นธรรมดาที่หนูจะซึมเศร้า ความซึมเศร้าไม่ได้ทำให้คุณค่าของหนูลดน้อยลงไปเลย” นักศึกษาถามว่า “จริงหรืออาจารย์ หนูไม่ได้ทำผิดใช่ไหม” “ไม่เลย เป็นธรรมดาที่เธอจะมีความรู้สึกซึมเศร้า”
    เท่านี้แหละ นักศึกษาก็ร้องไห้ กอดวิทยากรคนนี้ พอกอดเสร็จเธอก็รู้สึกโล่งอกที่ได้คุยกับอาจารย์ ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นใคร เพิ่งรู้จักกันเมื่อ 2-3 ชั่วโมงที่แล้ว แต่การที่เธอเปิดอกแบบนี้แสดงว่าคงอยากจะหาคนรับฟัง
    สิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกสบายใจ โปร่งโล่ง คงไม่ใช่เพียงเพราะว่าวิทยากรบอกเธอว่าเธอไม่ผิดที่เป็นโรคซึมเศร้า เธอไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ที่สำคัญคือว่ามีคนฟังเธอ และมีคนที่ยอมรับสิ่งที่เธอเป็นโดยไม่ตัดสิน ซึ่งตอนนี้หายากมาก เพราะว่าหลายคนไม่มีเวลาให้กับคนที่จะมาเล่า มาปรึกษา หรือบางทีพูดไม่ทันไรก็ตัดบทแล้ว พร้อมกับตัดสิน และสั่งสอน โดยเฉพาะคนที่เป็นผู้ใหญ่ หรือคนที่เป็นครู
    เดี๋ยวนี้คนหนุ่มสาวหรือวัยรุ่นขาดคนแบบนี้มาก ที่จริงเป็นกันหมดทั้งประเทศ พ่อแม่ก็เป็น เพราะว่าเวลามีปัญหาอะไร ลูกก็ไม่สนใจฟัง ไม่มีเวลาให้ ลูกมีปัญหาจะคุยกับพ่อแม่ พ่อแม่ก็ไม่มีเวลา หรือมีแต่ก็ด่วนตัดสิน ลูกพูดไม่ทันไรก็ด่วนสรุปแล้ว เดี๋ยวนี้คนเราด่วนตัดสินเยอะ ฟังใครยังไม่ทันจบก็ตัดสินแล้ว พร้อมกับวิจารณ์ หรือว่าสั่งสอน
    เหมือนกับเวลาเราดูข่าว ดูพาดหัวข่าว บางทีดูแค่พาดหัวข่าวก็ตัดสินแล้ว ไม่ได้ดูเนื้อข่าว ปรากฏว่าเนื้อข่าวกับพาดหัวข่าวคนละเรื่องเลยก็มี เดี๋ยวนี้เราเห็น อ่านข้อความทาง Facebook อ่านไม่ทันจบ คอมเมนต์แล้ว บางทีสิ่งที่คอมเมนต์คนละเรื่องกับสิ่งที่โพสต์ใน Facebook อันนี้เรียกว่าไม่ได้ใส่ใจเพียงพอ เพราะด่วนตัดสิน
    ฟังก็เหมือนกัน ฟังด้วยหู แต่ว่าใจไม่รู้อยู่ไหน เพราะฉะนั้นเดือนการฟังแห่งชาติ มีคำขวัญอีกอย่างหนึ่งคือ “ฟังด้วยหู ดูด้วยใจ” ดูใจว่าตอนนั้นเปิดกว้างรับฟังไหม ใจกำลังคิดตัดสินวิพากษ์วิจารณ์หรือเปล่า หรือว่ากำลังเปิดใจรับฟังเต็มร้อย ฟังด้วยหูไม่พอ ต้องดูด้วยใจ ใจไม่ถูกความคิดอื่น ๆ ครอบงำ หรือว่านึกเถียง นึกแย้งโดยที่ไม่ฟังให้จบ แบบนี้ก็มีเยอะ
    ฉะนั้น การฟังสำคัญมากสำหรับความสัมพันธ์ ไม่ว่าในครอบครัว ในที่ทำงาน เดือนการฟังแห่งชาติจึงต้องจัดให้เป็นระดับประเทศไปเลย จะได้ช่วยแก้ปัญหาความสัมพันธ์ ปัญหาชีวิต ปัญหาการทำงานได้.

logo

  • เกี่ยวกับเรา
  • ติดต่อเรา
  • จดหมายข่าว
  • Privacy Policy
  • Terms of Service