พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 5 พฤศจิกายน 2568
วันนี้ก็เป็นที่รู้กันว่าเป็นวันลอยกระทง แต่ที่จริงแล้ววันนี้ยังเป็นวันที่มีความหมายทางพุทธศาสนา นอกจากเป็นวันพระแล้วยังเป็นวันหมดเขตกาลทานหรือวันสุดท้ายของการทอดกฐิน
กาลทานหมายถึงการทอดกฐิน มีช่วงเวลาแค่ 30 วันหลังจากออกพรรษา วันนี้ก็คือวันสุดท้ายที่จะทอดกฐินได้ บ้านกุดโง้งก็มีการทอดกฐินในวันนี้ แล้วก็อีกหลายวัดหลายที่ พ้นจากนี้ไปก็ทอดกฐินไม่ได้แล้ว ได้แต่ทอดผ้าป่า
แต่ที่มีความสำคัญกว่านั้น วันนี้ก็คือเป็นวันคล้ายวันปรินิพพานของพระสารีบุตร พระสารีบุตรซึ่งเป็นพระอัครสาวกเบื้องขวาของพระพุทธเจ้า ปรินิพพานวันเพ็ญเดือน 12
เรื่องราวการปรินิพพานของพระสารีบุตรนี้ก็น่าสนใจ ควรที่ชาวพุทธเราจะรับทราบเอาไว้ ไม่ใช่แค่จดจำหรือระลึกได้ว่าวันนี้เป็นวันสำคัญอย่างไรในประวัติของพระสารีบุตรเท่านั้น แต่ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนที่ท่านจะปรินิพพานหรือหลังจากนั้นก็มีความสำคัญเหมือนกัน
คือเมื่อจำพรรษาครบพรรษาที่ 44 ออกพรรษาแล้ว พระสารีบุตรก็มีญาณหยั่งรู้ว่าอีก 7 วันก็จะปรินิพพาน เพราะตอนนั้นท่านอายุมาก แล้วป่วยด้วยโรคที่มีการถ่ายแปรปรวนหมด ท่านก็มาระลึกนึกถึงโยมแม่ของท่านว่า โยมแม่มีลูกทั้งหมด 7 คนเป็นพระอรหันต์หมดทุกคน แต่ตัวโยมแม่ไม่รู้ธรรมะเลย จึงอยากจะไปโปรดโยมแม่
จากเชตวันเดินทางไปบ้านเกิดของท่านที่บ้านนาฬกะ เมืองนาลันทา ใช้เวลา 7 วัน ท่านเดินเท้ากลับไปที่บ้านเกิดของท่าน แม้จะป่วยอย่างไรท่านก็ฝืนสังขาร เดินไปพร้อมกับหมู่มิตรหรือว่าลูกศิษย์ ในคัมภีร์ว่า 500 ในความหมายก็คือเยอะ ตามกันไปเป็นขบวนเลย
ระหว่างทางท่านก็แสดงธรรมกับญาติโยมก็ถึงบ้านเป็นวันเพ็ญพอดี โยมแม่เห็นก็นึกว่าท่านจะมาสึก ยังนึกในใจว่ามาสึกเอาตอนแก่ จะไหวหรือ คือโยมแม่ท่านไม่ได้มีความศรัทธาและพึงพอใจที่ท่านบวชเลย แถมเอาน้อง ๆ ไปบวชจนบรรลุอรหันตผล
ก่อนหน้านั้นพระสารีบุตรเคยไปเยี่ยมโยมแม่ ไปกับพระหลายรูป ก็โดนโยมแม่ว่า ว่าท่านทิ้งทรัพย์สมบัติออกบวชทำให้ตระกูลของเราฉิบหาย คือไม่มีคนสืบทอดวงศ์ตระกูล แถมพาน้อง ๆ ไปบวชอีก แล้วยังกล่าวตำหนิพระที่มาด้วยกันกับท่านว่า พวกท่านน่ะพาลูกฉันไปเป็นคนรับใช้ ก็เรียกว่าต่อว่าตั้งแต่หัวแถวยันปลายแถวเลย
แต่ว่าพระสารีบุตรไม่โกรธ ท่านก็รับฟัง ตอนที่ท่านรู้ว่าอายุของท่านใกล้จะหมดแล้ว โยมแม่อายุยืนกว่า ท่านจึงนึกถึงโยมแม่ ตั้งใจจะไปโปรดโยมแม่ในวันสุดท้ายของชีวิต
คืนนั้นเมื่อท่านมาถึง ปรากฏว่าแม้จะเหนื่อยอย่างไร แต่ว่าท่านก็อยู่ต้อนรับเทวดา เทวดาก็คือท้าวจตุโลกบาล 4 ท้าวสักกะคือพระอินทร์ แล้วก็ท้าวมหาพรหม ก็มาคารวะท่าน ปรากฏว่าห้องที่ท่านพำนักซึ่งเป็นห้องที่ท่านเกิดนั้นสว่างไสวด้วยรัศมีของเทวดา
โยมแม่ท่านเห็น แปลกใจ ก็เลยถามพระสารีบุตรว่า ท่านนี่ใหญ่กว่าเทวดาทั้ง 4 และท้าวมหาพรหมเลยเชียวหรือ ท่านเหล่านี้ เทวดาจึงมาเคารพท่าน ที่พูดเช่นนี้เพราะว่าโยมแม่เคารพนับถือท้าวจตุโลกบาล 4 และท้าวมหาพรหม โยมแม่ทึ่งที่ว่าเทวดาเหล่านี้กลับมาคารวะลูกชายของตน
พระสารีบุตรก็ถ่อมตัวบอกว่า คนที่เป็นใหญ่จนกระทั่งเทวดาเหล่านี้มาเคารพก็คือพระบรมศาสดา พอพูดเช่นนี้ปรากฏว่าโยมแม่เกิดความศรัทธานับถือพระพุทธเจ้า ว่าพระพุทธเจ้าใหญ่กว่าเทวดาที่เราเคารพนับถือเสียอีก พอพระสารีบุตรทราบ ก็เลยแสดงธรรมโดยพูดถึงพระพุทธเจ้าว่า พระองค์ได้บำเพ็ญความเพียรอย่างไรบ้าง แล้วก็ได้สอนธรรมอย่างไรบ้าง
พระสารีบุตรรู้ว่า ถ้าสอนธรรมะล้วน ๆ โยมแม่อาจจะไม่ฟัง เพราะว่าความเป็นแม่กับลูก ลูกพูดอย่างไรก็ไม่ค่อยฟัง แต่ถ้าอ้างถึงคนที่แม่ศรัทธานับถือ แม่ก็จะฟัง
พระสารีบุตรท่านก็เริ่มด้วยการน้อมใจโยมแม่ให้เกิดศรัทธาในพระพุทธเจ้า นำเอาพระจริยวัตรแล้วก็คำสอนของพระพุทธเจ้ามาแสดงให้โยมแม่ฟัง โยมแม่เกิดศรัทธา แล้วก็ฟังอย่างตั้งใจ สุดท้ายก็บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน
ก็เป็นอันสมปรารถนาของพระสารีบุตร ถือว่าได้ทำหน้าที่ของบุตร เพราะว่าในทางพุทธศาสนาความกตัญญูที่สำคัญก็คือ การน้อมใจบุพการีให้เห็นธรรมะ ไม่ใช่การเลี้ยงด้วยอาหาร ไม่ใช่การดูแลอย่างดี อันนั้นก็สำคัญแต่ไม่เท่ากับการที่สอนให้เห็นธรรม โยมแม่ก็เกิดศรัทธาในพระรัตนตรัย แล้วก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน
เช้าวันรุ่งขึ้นยังไม่ทันสว่าง พระสารีบุตรก็ดับขันธ์เพราะว่าอาการอาพาธรุนแรงมาก ดับขันธ์เสร็จหมู่พระที่มาด้วยก็ทำการปลงสรีระ เสร็จแล้วก็เป็นหน้าที่ของน้องชาย คือสามเณรจุนทะ เอาบาตรและจีวรของพระสารีบุตรมาถวายพระพุทธเจ้า
ที่จริงก่อนที่พระสารีบุตรจะปรินิพพาน มีช่วงหนึ่งที่ท่านกล่าวคำขอขมาพระว่า “พวกท่านทั้งหลาย ติดตามข้าพเจ้ามา 44 พรรษา กรรมอันใดไม่ว่าด้วยกาย วาจา ใจ ที่ข้าพเจ้าทำให้ท่านไม่ชอบใจ หากมี ก็โปรดงดโทษให้ด้วย”
พระทั้งหลายก็บอกว่า “ตั้งแต่พวกข้าพเจ้าได้ติดตามท่านอาจารย์มา ไม่พบกรรมใดเลยที่ไม่ชอบใจ แต่ถ้าหากว่าพวกข้าพเจ้าประมาทพลาดพลั้ง ก็ขอให้ท่านอาจารย์ยกโทษให้ด้วย”
จากนั้นสามเณรจุนทะมาแจ้งข่าวให้กับพระอานนท์ทราบที่เชตวัน พระอานนท์ก็เศร้า เสียใจมาก เพราะว่าสนิทคุ้นเคยกับพระสารีบุตรมานาน
พระอานนท์ก็แจ้งข่าวให้พระพุทธเจ้าทราบ พระพุทธเจ้าก็เลยท้วงพระอานนท์ว่า พระสารีบุตรไปนั้น ได้เอาศีลขันธ์ไปไหม เอาสมาธิขันธ์ เอาปัญญาขันธ์ เอาวิมุตติญาณทัสสนะไปไหม ก็คือถ้าท่านไปแต่ตัว ส่วนธรรมะท่าน ศีล สมาธิ ปัญญาที่จะนำพาคนให้พ้นทุกข์ล้วนยังอยู่ พระอานนท์ก็เกิดได้สติขึ้นมา
แล้วพระพุทธเจ้าตรัสต่อว่า “เราบอกท่านแล้วไม่ใช่หรือว่า การพลัดพรากจากของรักของชอบใจ คนรักคนชอบใจ เป็นสิ่งที่หนีไม่พ้น สิ่งทั้งหลายเมื่อเกิดขึ้นแล้ว มีปัจจัยปรุงแต่งแล้ว ย่อมดับไป ฉะนั้นการคาดหวังว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงจะไม่ดับ ไม่สลาย จึงเป็นไปไม่ได้”
และสุดท้ายก็ตรัสสอนพระอานนท์แล้วหมู่พระว่า “พระสารีบุตรไปแล้ว แต่ว่าขอให้ท่านทั้งหลายจงมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง แล้วเมื่อถึงกาลที่เราต้องล่วงลับไป ก็ขอให้ท่านทั้งหลายมีตนเป็นเกาะมีตนเป็นที่พึ่ง มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง”
ซึ่งอันนี้สำคัญมาก แม้พระสารีบุตร แม้พระพุทธเจ้าจะปรินิพพานไป หรือแม้กระทั่งครูบาอาจารย์ที่เราเคารพรักจะล่วงลับไป อันนั้นไม่สำคัญเท่ากับ เรามีตนเป็นเกาะมีตนเป็นที่พึ่ง มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง
ถ้าเรามีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่งแล้ว ไม่ว่าใครจะมีอันเป็นไปอย่างไร แม้กระทั่งคนที่เราเคารพนับถือเกิดสึกหาลาเพศไป หรือว่าเกิดเรื่องอื้อฉาวขึ้นมาอย่างเป็นข่าว จิตใจเราก็ไม่หวั่นไหว ใจก็ไม่กระเพื่อม เพราะมีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่งแล้ว
ฉะนั้นในวันที่พระสารีบุตรปรินิพพานนี้ก็ขอให้เราระลึกถึงพุทธภาษิตนี้เอาไว้ จงมีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง มีธรรมเป็นเครื่องรักษาใจ ไม่ใช่ทำแต่บุญอย่างเดียวแต่ว่าไม่ปฏิบัติธรรม ไม่ประพฤติธรรม ถ้ามีธรรมเป็นเกาะมีธรรมเป็นที่พึ่งแล้ว เราก็มั่นใจได้ว่าไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นจิตใจก็ยังเป็นปกติอยู่ได้.