แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]
พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 6 ตุลาคม 2568
เมื่อปลายเดือนที่แล้วก็คือประมาณ 7-8 วันที่ผ่านมา มีเหตุการณ์สะเทือนใจเกิดขึ้นที่อเมริกา วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ ฝรั่งที่เขานับถือศาสนาเขาก็เข้าโบสถ์นมัสการพระเจ้า โบสถ์แห่งหนึ่งในรัฐมิชิแกนเป็นโบสถ์ของมอรมอน เป็นศาสนาศาสนาหนึ่งในอเมริกา คนก็กำลังทำพิธีนมัสการพระเจ้า จู่ ๆ ก็มีรถกระบะคันหนึ่งพุ่งชน ฝ่าเข้ามาท่ามกลางผู้คนที่กำลังทำพิธีทางศาสนา เท่านั้นไม่พอคนขับรถซึ่งเป็นชายอายุ 40 ลงจากรถมาก็เอาปืนกราดยิงผู้คนที่มาทำพิธีนมัสการพระเจ้า กราดยิงไม่พอยังจุดไฟเผา จนกระทั่งโบสถ์ราบกลายเป็นเถ้าถ่าน แต่กว่าจะถึงตอนนั้นตำรวจก็มาระงับเหตุ แล้วก็ยิงชายคนนั้นตาย ชายคนนั้นชื่อ Thomas Sanford เป็นอดีตนาวิกโยธิน แล้วก็เคยไปรับราชการในอิรัก ก็คงฆ่าผู้คนไปเยอะ เหตุการณ์ครั้งนั้นมีคนตาย 4 คน เป็นประเภทว่าไม่รู้อีโหน่อีเหน่เลย แล้วก็คงไม่รู้จักนาย Thomas Sanford ด้วย และมีบาดเจ็บนับสิบ
อันนี้ก็ดูเหมือนเป็นเหตุการณ์ที่ปกติไปแล้วในอเมริกา แต่ก็ยังเป็นเรื่องสะเทือนขวัญอยู่นั่นเองเพราะว่าโบสถ์ควรจะเป็นที่ที่ปลอดภัย แต่เดี๋ยวนี้ในอเมริกาไม่มีที่ไหนที่ปลอดภัยแล้วแม้กระทั่งโรงเรียน อย่าว่าแต่ห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาลเลย ข่าวนี้เป็นเรื่องสะเทือนใจ แต่ที่มีเรื่องน่าประหลาดใจก็คือ เมื่อคนรู้ว่าครอบครัวของนาย Sanford เช่น พ่อแม่ นอกจากจะมีความทุกข์โทมนัสเพราะลูกไปฆ่าคนตายกลายเป็นข่าวฉาวโฉ่แล้ว ก็ยังมีความเดือดร้อนด้านการเงินด้วย มิหนำซ้ำลูกของนาย Sanford กำลังกำลังป่วยหนัก ก็ไม่ทราบเป็นโรคมะเร็งหรือเป็นโรคอะไร เขาไม่ได้แจ้ง พอมีคนรู้ข่าว เขาก็จัดการระดมทุนหาเงินเพื่อช่วยเหลือครอบครัวของนาย Sanford แล้วคนที่ช่วยเหลือจำนวนไม่น้อยนี้ก็เป็นสมาชิกโบสถ์ที่ถูกเผาราบ
ตามธรรมดาปุถุชนย่อมมีความโกรธแค้น นอกจากโกรธแค้นฆาตกรแล้วก็ลามไปถึงคนที่ผูกพันทางสายเลือด เช่น พ่อ แม่ ลูก เมีย เมียอาจจะไม่ใช่ แต่ว่าก็มีความผูกพันเกี่ยวข้องกับฆาตกร คนเขาก็จะพาลโกรธเกลียด คลุมไปด้วย โดยเฉพาะคนที่สูญเสียคนรักเพราะว่าน้ำมือของนาย Sanford เขาย่อมมีความเกลียดชังพ่อแม่ของนาย Sanford ซึ่งเป็นธรรมดาที่มนุษย์เรามีความรู้สึกแบบนั้น แต่ปรากฏว่าในเหตุการณ์ครั้งนี้ชาวเมือง ๆ นั้นรวมทั้งสมาชิกโบสถ์ที่ถูกเผาราบ แม้กระทั่งครอบครัวของผู้ตายก็ยังพากันระดมเงินเพื่อช่วยครอบครัวของนาย Sanford เพราะรู้ว่ามีความทุกข์ระทมใจมากที่ลูกนอกจากเป็นฆาตกรแล้วลูกก็ยังถูกยิงตาย ครอบครัวนาย Sanford ก็สูญเสียเหมือนกัน แล้วก็อาจจะทุกข์ใจยิ่งกว่าครอบครัวของผู้ที่ตายเพราะน้ำมือของนาย Sanford ด้วยซ้ำ เพราะว่าเสียใจที่ลูกของตัวเองไปเป็นฆาตกรฆ่าคนบริสุทธิ์
แต่ก็น่าแปลก คนที่ได้รับเคราะห์จากการกระทำของนาย Sanford กลับไม่ถือโทษโกรธเคืองครอบครัวของนาย Sanford เลย ระดมทุนเพื่อช่วยเขา ได้เงินมาตั้ง 250,000 ดอลลาร์ เทียบเป็นเงินไทยก็เกือบสิบล้าน ใจประเสริฐมาก เพราะว่าอย่างที่บอกคนปกติก็มักจะมีความโกรธแค้นพ่อแม่ของฆาตกร แต่ว่าในเหตุการณ์นี้ แม้กระทั่งญาติ พ่อแม่ของผู้ตาย ก็ยังเห็นใจครอบครัวของนาย Sanford บริจาคเงินให้ คนเหล่านี้ส่วนหนึ่งก็เป็นสมาชิกโบสถ์มอรมอน แม้จะไม่ได้สูญเสียคนรัก แต่ว่ามีความเห็นใจครอบครัวของผู้ตายครอบครัวของฆาตกร อันนี้ก็เป็นเรื่องที่เรียกว่าน่าประหลาดใจ แล้วก็เป็นเรื่องที่ให้แรงบันดาลใจมาก ว่า คนที่สูญเสียเขาก็ยังสามารถจะให้อภัย ไม่ใช่แค่ให้อภัย ยังมีเมตตาให้กับพ่อแม่ของฆาตกรด้วย
ธรรมดาคนเรา มีความเกลียดชัง ก็ไม่ใช่เกลียดชังต่อฆาตกรอย่างเดียว บางทีเกลียดชังไปถึงผู้ที่ผูกพันทางสายเลือด หรือเกลียดชังไปถึงผู้ที่มีศาสนาเดียวกับฆาตกร หรือมีเชื้อชาติเดียวกับฆาตกร แต่ว่าในกรณีนี้เขาสามารถที่จะเอาชนะความเกลียดชังที่มีต่อพ่อแม่ของฆาตกรได้ นับว่าเป็นศาสนิกที่มีน้ำใจประเสริฐมาก ถ้าจะว่าไปแล้วสิ่งที่ชี้วัดความเป็นศาสนิกที่ดีที่สุดไม่ใช่การเข้าโบสถ์ ไม่ใช่การไปวัด ไม่ใช่การทำบุญ แต่ว่าเป็นการรู้จักให้อภัยผู้ที่เกี่ยวข้องกับการทำร้ายคนรักของตัว อาจจะเกี่ยวข้องทางสายเลือด หรือบางคนก็อาจจะให้อภัยแม้กระทั่งฆาตกรเลยก็ได้ จึงเรียกว่ามีน้ำใจประเสริฐมาก ซึ่งเป็นการชี้วัดคุณธรรม
เดี๋ยวนี้คนเรามีความโกรธความเกลียดเพียงเพราะแตกต่าง ไม่ใช่เพราะเรื่องสายเลือดอย่างเดียว บางทีแตกต่างทางเชื้อชาติ แตกต่างด้านศาสนา แตกต่างด้านอุดมการณ์ก็เกลียดชังกันได้ ถึงขั้นทำร้ายกันเพราะว่านับถือศาสนาต่างกัน นับถือศาสนาพุทธ นับถือศาสนาคริสต์ นับถือศาสนาอิสลาม หรือบางทีก็เชื้อชาติต่างกันเพราะว่าอาจเป็นลาว เป็นเขมร เป็นพม่า เป็นโรฮิงญา อันนี้ก็ถึงขั้นเหตุให้โกรธเกลียดกันได้ แต่ที่จริงแล้วสิ่งสำคัญที่ชี้วัดความเป็นศาสนิกก็คือการรู้จักเอาชนะความโกรธ ความเกลียด แม้กระทั่งกับคนที่ทำร้ายคนที่เรารัก หรือบางทีไม่ใช่คนที่ทำร้ายคนที่เรารักแต่เกี่ยวพันกันทางสายเลือด ทางศาสนา
เดี๋ยวนี้มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นบ่อย ๆ วันนี้ก็ครบ 3 ปีพอดีที่เกิดเหตุการณ์ที่หนองบัวลำภู นายทหารคนหนึ่งเอาปืนเอามีดไปกราดยิง ไปฆ่า ที่ศูนย์เด็กเล็กหนองบัวลำภู คงจำได้ 6 ตุลาคม ปี 65 ตายไปเกือบ 40 คน ในจำนวนนั้น 20 กว่าคนเป็นเด็กเล็ก แล้วปรากฏว่าพ่อแม่ของฆาตกรซึ่งตอนหลังก็ตาย ก็ถูกรังเกียจเหยียดหยามจากครอบครัวของผู้สูญเสียหรือผู้ตาย พ่อแม่ของเด็กที่ตายเขาก็เกิดความรังเกียจเหยียดหยาม โกรธชังพ่อแม่ของนายสิบคนนั้นด้วย ซึ่งอันนี้ก็น่าเห็นใจ แต่ว่าจริง ๆ แล้วเขาก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลย พ่อแม่อาจจะเกี่ยวข้องทางสายเลือด หรืออาจจะเลี้ยงดูไม่ถูกต้อง แต่ว่าก็ไม่สมควรได้รับความเกลียดชัง
อันนี้ก็เป็นกรณีที่ชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ ซึ่งที่จริงแล้วถ้าเป็นชาวพุทธอย่างแท้จริงก็ต้องสามารถที่จะเอาชนะความโกรธความเกลียดที่มีต่อคนที่ทำร้ายคนที่เรารัก หรือแม้แต่ทำร้ายเรา หรือว่ารู้จักใช้เหตุใช้ผลใคร่ครวญว่า พ่อแม่ของผู้ที่ตายเขาก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเหตุการณ์นี้เลย ซึ่งเป็นเรื่องที่ท้าทายความเป็นชาวพุทธของเรามากว่า ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับคนที่เรารัก เราจะทำอย่างไร เดี๋ยวนี้ความโกรธความเกลียดรุนแรงมาก เพียงแค่แตกต่างทางความเชื่อทางการเมืองก็ถึงขั้นทำร้ายกันได้
วันนี้ครบรอบ 49 ปี เหตุการณ์ 6 ตุลาฯ สังหารหมู่ที่ธรรมศาสตร์ ก็เพราะความแตกต่างทางด้านความคิดเห็นทางการเมือง ก็ทำให้คนเราทำร้ายกันได้ อาตมาเองก็โชคดีที่รอดตายจากเหตุการณ์นั้น แต่ว่าหลายคนโชคไม่ดีก็ต้องสูญเสียชีวิต พ่อแม่เขาก็เดือดร้อน ถูกเหยียดหยามจากคนที่รู้ว่าเป็นพ่อแม่ของนักศึกษาที่ตายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แล้วก็ถูกมองด้วยความหวาดระแวงอยู่พักใหญ่ทีเดียว เพียงเพราะว่าเป็นพ่อเป็นแม่ของนักศึกษาที่ธรรมศาสตร์
มนุษย์เราต้องพัฒนาให้พ้นจากความโกรธ ความเกลียด
เพราะเหตุผลทางด้านเชื้อชาติ ศาสนา อุดมการณ์ให้ได้ หรือแม้กระทั่งไม่เหมาคลุมเพราะเหตุผลว่าเขาเกี่ยวพันกันทางสายเลือด ฉะนั้นถ้าศาสนาไม่ช่วยให้เรายกจิตเหนือความโกรธความเกลียดได้ ก็ถือว่าเราปฏิบัติ นับถือศาสนาแบบไม่ถูกต้อง เพราะว่าศาสนาที่แท้ ไม่ว่าพุทธ คริสต์ อิสลาม หรือแม้กระทั่งมอรมอน ก็ย่อมช่วยให้เราเอาชนะความโกรธ ความเกลียด และมีเมตตาต่อคนที่เรารักได้
เพราะที่สุดแล้ว ศัตรูของเราไม่ใช่ใครแต่คือ ความเกลียดในใจของเรา หรือในใจของผู้คนต่าง ๆ นั่นเอง.