PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ
PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ

Search

  • หน้าแรก
  • เสียง
  • พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล
  • กล้าทำชั่ว กลัวทำดี อายทำกิน
กล้าทำชั่ว กลัวทำดี อายทำกิน รูปภาพ 1
  • Title
    กล้าทำชั่ว กลัวทำดี อายทำกิน
  • เสียง
  • 14102 กล้าทำชั่ว กลัวทำดี อายทำกิน /aj-visalo/2025-09-29-04-14-43.html
    Click to subscribe
    • Share
    • Tweet
    • Email
    • Share
    • Share

ผู้ให้ธรรม
พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล
วันที่นำเข้าข้อมูล
วันจันทร์, 29 กันยายน 2568
ชุด
ธรรมะสั้นๆ ก่อนอาหารเช้า 2568
  • แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]

  • พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 25 กันยายน 2568
    หลายคนคงรู้จักเสี่ยตัน ตัน ภาสกรนที หรือที่บางคนเรียกว่า อิชิตัน ชีวิตเขาน่าสนใจมาก เขาต้องลาออกจากโรงเรียนตั้งแต่ ม.ศ.3 เพื่อทำงานช่วยพ่อแม่ และงานที่เขาทำเขาไม่เลือกเลย
    อาชีพแรกที่เขาทำคืออาชีพพนักงานยกของ ยกสินค้า เดือนละ 700 ตอนนั้นเขาอายุ 17 ยังมีเรี่ยวแรงกำลังวังชา และเขาขยันขันแข็ง และมักจะทำนอกเหนือจากหน้าที่ที่มี รวมทั้งทำเกินเวลาด้วย เขาเลยได้รับเลื่อนตำแหน่งไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งได้เป็นเซลล์ และได้เป็น Supervisor Supervisor คือเจ้าหน้าที่ที่คุมเซลล์
    ภายใน 4 ปี เขามีเงินเดือนเพิ่มเป็น 18,000 บาท นี่เฉพาะเงินเดือนของ Supervisor ยังไม่นับค่าคอมมิชชั่น ถ้ารวมค่าคอมมิชชั่นด้วยก็ 40,000 บาทต่อเดือน อายุแค่ 21
    เขาน่าจะเอาดีในทางนี้ได้ แต่เขารู้สึกว่ามันอิ่มตัวแล้ว เขาเลยลาออก ลาออกไปทำอะไร ไปเปิดแผงขายหนังสือพิมพ์ ไม่ใช่ที่กรุงเทพ ที่เมืองชล ซึ่งไม่ใช่บ้านเกิดเขาเลย แต่ว่าเขาไปเจอทำเลที่เหมาะ เป็นตึกแถวอยู่ใกล้ ๆ สถานีรถทัวร์ เป็นย่านศูนย์การค้า คนเดินพลุกพล่านทั้งวันและทั้งคืนเลยก็ว่าได้ เขาคงอยากจะมีกิจการเป็นของตัวเองมากกว่ารับเงินเดือน
    มันก็เสี่ยง ขายหนังสือพิมพ์ แต่ว่าเขาขยันขันแข็ง สู้ความยากลำบาก สู้งานทุกชนิด ขนาดประเภทว่า พอรถทัวร์จอดหรือรอรับผู้โดยสาร เขาจะเอาหนังสือพิมพ์ไปขายบนรถทัวร์ และเลือกเฉพาะคนที่ยังไม่ได้ซื้อหนังสือพิมพ์ นุ่งกางเกงขาสั้น ใส่เสื้อยืด เดินขาย ทำอย่างนี้วันแล้ววันเล่า เที่ยวแล้วเที่ยวเล่า
    มีคราวหนึ่ง ระหว่างที่เขาขายหนังสือพิมพ์ในรถทัวร์ ไปเจอเพื่อนซึ่งเป็นเคยเซลล์รุ่นเดียวกัน แต่เวลาเดินผ่านเขา หรือเดินใกล้ ๆ เขา เซลล์คนนั้นไม่มองหน้าเลย เป็นอย่างนี้อยู่ 2-3 ครั้ง ตันรู้สึกคาใจ เลยไปถามเซลล์คนนั้นตรง ๆ ว่า เห็นกูไหม
    เขาตอบว่าเห็น ถามว่าจำได้ไหม จำได้ แล้วทำไมไม่ทัก เพื่อนคนนั้นตอบว่า กูกลัวมึงอาย ตันบอกว่าจำคำนี้ไว้จนถึงทุกวันนี้
    เขาเกิดคำถามขึ้นมาว่า ทำไมการทำมาหากินโดยสุจริตจึงต้องอายด้วย ในสายตาของเพื่อนที่เป็นพนักงานเซลล์คนนั้นคงคิดว่า คนที่เคยเป็น Supervisor เงินเดือน 40,000 รวมทั้งได้คอมมิชชั่น มาขายหนังสือพิมพ์ มันแสดงถึงความตกต่ำ ตกต่ำวัดจากอะไร
    วัดจากเงินหรือรายได้กระมัง จากเงินเดือน 40,000 มาขายหนังสือพิมพ์ เรียกว่า Downgrade ตัวเอง เลยน่าจะอาย
    แต่สำหรับตันแล้ว เขาบอกว่า ไม่ใช่เรื่องน่าอายเลย เพราะว่าเป็นการทำมาหากินโดยสุจริต และเขาก็สอนลูกน้อง สอนใครต่อใครว่า ทีหลังอย่าอายทำกิน
    และปรากฏว่า ในเวลาไม่นานกิจกรรมของตันก็เจริญ จากการทำแผงหนังสือพิมพ์ก็กลายเป็นการทำร้านขายหนังสือพิมพ์ ขายหนังสือ ขายเทป และขยายเป็นร้านอาหารทำสุกี้ ร้านทำเบเกอรี่ รวมทั้งร้านถ่ายรูปงานแต่งงาน ต่อไปก็ขยายออกเป็นการทำอสังหาริมทรัพย์ ก่อนที่จะไปร่ำรวยจากการผลิตกรีนที หรือว่าชาเขียวโออิชิชื่อดัง
    ทั้งหมดนี้เริ่มมาจากการที่เขาบอกว่า อย่าอายทำกิน
    โดยเฉพาะเดี๋ยวนี้เขาร่ำรวยกว่าเซลล์คนนั้นเยอะเลย เซลล์คนนั้นยังเป็นเซลล์เหมือนเดิม แต่เขาเป็นเจ้าของธุรกิจระดับหลายพันล้านไปแล้ว ที่ตันเขาเล่าทำให้อาตมานึกถึงเหตุการณ์หนึ่งที่ภูหลง 10 ปีก่อน เวลาเดินบิณฑบาตจะเจอเด็กคนหนึ่ง ทักทายอยู่เป็นประจำ เพราะบ้านเขาอยู่ปลายหมู่บ้าน เวลาไปบิณฑบาตจะเจอเด็กคนนี้ บางทีเขาใส่บาตรก่อนจะไปโรงเรียน
    มีช่วงหนึ่งปิดเทอม เด็กคนนี้ซึ่งอายุประมาณสัก 10 ขวบ เขาอาสามาสะพายย่ามเดินตามพระ เพราะว่าบิณฑบาตที่ภูหลงอาหารเยอะ แค่ข้าวเหนียวก็หนักเป็นกิโลแล้ว ผลไม้อีกต่างหาก บางทีก็ได้ขนุนมาลูกหนึ่ง เด็กคนนี้เลยอาสาสะพายย่ามตามพระบิณฑบาตตั้งแต่เริ่มต้น เพราะว่าผ่านบ้านเขาก่อน
    เป็นอย่างนี้อยู่ 2 วัน วันที่ 3 เด็กหายไป ไม่มาตามพระบิณฑบาต ขากลับผ่านบ้านเด็กคนนี้ เจอเด็กคนนี้ เลยถาม ทำไมไม่ตามพระเหมือนวันก่อนเล่า เขาบอกว่า อายครับ เพื่อนล้อ ล้อมา 2 วันแล้ว ผมเลยไม่กล้า
    คนไทยจำนวนไม่น้อยเป็นอย่างนี้ เรียกว่าถ้าเป็นการทำความดี กลัว กลัวคนล้อ เวลาเจอคนเป็นลมอยู่ริมถนน ไม่ค่อยมีใครไปช่วยคนป่วย ถามว่าไม่มีน้ำใจหรือ ไม่ใช่ไม่มีน้ำใจ มี แต่กลัว กลัวว่าจะทำอะไรไม่เหมือนคนอื่นเขา กลัวเขาจะหาว่าอยากดัง
    เวลานั่งรถในรถไฟฟ้าหรือรถเมล์ เจอคนแก่ เจอคนท้องยืน ก็ไม่กล้าลุกให้ที่นั่งแก่คนเหล่านั้น ถามว่าเพราะอะไร ไม่ใช่ไม่มีน้ำใจ กลัว กลัวคนว่า กลัวคนมอง กลัวทำอะไรไม่เหมือนคนอื่น
    แต่แปลก เวลาทำชั่วกล้ากัน ไปแซวผู้หญิง ไปล่วงละเมิดผู้หญิง ก็ทำกันโจ๋งครึ่ม บางทีเบิ้ลมอเตอร์ไซค์เสียงดังรบกวนชาวบ้านทั้งกลางวันและกลางคืน ยังไม่ต้องพูดถึงกล้าทุจริตคอร์รัปชัน หรือว่ากล้าคดโกงหลายอย่าง
    คนไทยเดี๋ยวนี้มีค่านิยมประเภทว่า กล้าทำชั่ว กลัวทำดี และอายทำกิน ถ้าทำอาชีพโดยสุจริต เป็นอาชีพที่ดูเหมือนไม่เท่จะอาย อายที่จะบอก บางคนอายที่จะทำด้วยซ้ำ
    แต่อย่างตัน โออิชิ เขาไม่อายเลย จาก Supervisor เงินเดือนรายได้เดือนละ 40,000 มาขายหนังสือพิมพ์ คนมองว่าเป็นงานที่ต่ำต้อย หลายคนอาย ทุกวันนี้ยังอายกันอยู่ ขายของประเภทนี้ โดยเฉพาะถ้าเคยเป็นพนักงานกินเงินเดือน
    บางคนขับแท็กซี่ไม่กล้าบอกว่าเคยเป็นพนักงานบริษัทโน้นบริษัทนี้ เพราะรู้สึกว่าการขับรถแท็กซี่น่าอับอาย อันนี้รวมไปถึงการที่เราไปดูแคลนคนที่กวาดถนน พนักงานกวาดถนน เราดูแคลนเขาว่าเป็นพวกที่ต่ำต้อย
    อันนี้เรียกว่าไม่เห็นคุณค่าของการทำงานอย่างสุจริต ซึ่งต่างจากเมืองนอก เมืองนอกเขาชไม่ได้วัดความสูงต่ำที่เงินเดือน เป็นพนักงานกวาดขยะ เป็นพนักงานขับรถเขาก็ถือว่ามีคุณค่าไม่น้อยไปกว่าวิศวกร ขอให้ขยันหมั่นเพียร ขอให้ซื่อสัตย์สุจริตก็แล้วกัน แต่เมืองไทยเดี๋ยวนี้เรามีคติ กล้าทำชั่ว กลัวทำดี และอายทำกิน
    ถ้าเราเปลี่ยนใหม่ คือว่า ไม่กล้าทำชั่ว ไม่กลัวทำดี ไม่อายทำกิน บ้านเมืองเราจะเจริญมาก และคนจะมีความสุข เพราะว่าสามารถจะพึ่งพาลำแข้งของตัวเอง ไม่ต้องสร้างภาพว่า ฉันใช้สินค้าแบรนด์เนม ฉันเท่ แทนที่จะอยู่อย่างสมถะ แต่ว่ามีความขยันหมั่นเพียรในการทำงานและทำความดี.

logo

  • เกี่ยวกับเรา
  • ติดต่อเรา
  • จดหมายข่าว
  • Privacy Policy
  • Terms of Service