พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 24 กันยายน 2568
ถ้าใครไปโรงพยาบาลราชวิถี โดยเฉพาะถ้าเป็นผู้ป่วยหรือญาติผู้ป่วย จะมีคนกลุ่มหนึ่งมาช่วยแนะนำ เช่น จะไปรับบัตรคิวที่ไหน หรือว่าไปตรวจโรคที่ไหน วัดความดันห้องไหน หรือว่าเจาะเลือดตรงไหน รับยาที่ไหน จ่ายเงินตรงไหน จะมีคนกลุ่มนี้มาช่วยแนะนำซึ่งเรียกว่าจิตอาสาอำนวยความสะดวก ที่รพ.ราชวิถีร่วมกับมูลนิธิเครือข่ายพุทธิการ่วมกันทำโครงการนี้ขึ้น
อาสาอำนวยความสะดวกที่ว่านี้มีหลายวัย มีทั้งวัยรุ่น มีทั้ง สว. ในจำนวนนี้มีผู้หญิงคนหนึ่งเป็นวัยรุ่นชื่อหญิง เธอเรียนอยู่ ม.6 โรงเรียนอยู่ไกลถึงสมุทรปราการหรือปากน้ำ แต่เธอมาเป็นจิตอาสาตามกำหนดเวลาสม่ำเสมอ และมาด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส กระตือรือร้น
เรื่องราวของเธอน่าสนใจ เธอเล่าว่าที่มาเป็นจิตอาสาเพราะมีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นกับเธอ คราวหนึ่งคุณตาป่วย และคุณแม่ซึ่งเป็นลูกคุณตาก็ไม่สบาย เลยเป็นหน้าที่ของคุณพ่อและตัวเธอ พาคุณตาไปโรงพยาบาล พอถึงโรงพยาบาลแล้วคุณพ่อก็หาที่จอดรถ ส่วนเธอก็พาคุณตาเข้าไปในโรงพยาบาล
เธอไม่รู้เรื่องอะไรเลยว่าจะต้องไปลงทะเบียนที่ไหน จะไปติดต่อใครเป็นด่านแรก ก็มีเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลมาให้คำแนะนำเธอ แต่ด้วยเธอไม่ค่อยประสีประสาเท่าไร เพราะว่าไม่เคยไปโรงพยาบาล โดยเฉพาะไปในฐานะญาติผู้ป่วย ปรากฏว่าพอเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลอธิบาย เธอฟังไม่รู้เรื่อง เขาก็เริ่มหงุดหงิดขึ้นเสียงกับเธอ
แต่เธอแทนที่จะโกรธเจ้าหน้าที่คนนั้น แทนที่จะคิดว่าพูดอย่างนี้กับฉันได้อย่างไร เธอกลับมองว่า เอ๊ะ อะไรทำให้เขาเป็นอย่างนั้น เธอ เอ๊ะ ได้ถูก เพราะว่าพอ เอ๊ะ แบบนี้ ทำให้เธอพบว่า เป็นเพราะเขาทำงานหนักกระมัง เจอคนไข้ เจอญาติเยอะทั้งวัน เลยเหนื่อย เครียด
เธอจึงคิดว่า ถ้าเรามาช่วยผ่อนแรงของเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลบ้างคงจะดี ช่วยทำให้เขาหายเครียด ให้เขาได้มีเวลาพักบ้าง เนื่องจากเธอเคยมีประสบการณ์เป็นจิตอาสาที่โรงพยาบาลมาก่อนหน้านั้น 2-3 ปี เลยคิดว่าถ้ามีโอกาส ก็อยากจะมาเป็นจิตอาสาช่วยพี่ ๆ เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลเหล่านี้
เธอคิดดี แทนที่จะโกรธเจ้าหน้าที่คนนั้นที่หงุดหงิดใส่เธอ เธอกลับพยายามเข้าใจเขาว่า อะไรทำให้เขาเป็นอย่างนั้น เรียกว่าตั้งคำถามได้ถูก เพราะคนส่วนใหญ่พอเจอแบบนี้เข้าจะพูดว่า ทำแบบนี้กับฉันได้อย่างไร บางทีก็คิดว่า รู้ไหมว่าฉันเป็นใคร แต่เธอกลับถามตัวเองว่า อะไรทำให้เขาเป็นอย่างนั้น และพอเธอรู้ว่าเขาคงทำงานหนักก็เกิดความเข้าใจเขา และอยากไปช่วยเขา
เมื่อโรงพยาบาลราชวิถีกับมูลนิธิเครือข่ายพุทธิกาเปิดรับจิตอาสา เธอจึงมาสมัครมาเป็นอาสาอำนวยความสะดวก แล้วก็พบว่ามีประโยชน์ ไม่ใช่แค่ช่วยเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลเท่านั้น ยังช่วยญาติ ช่วยผู้ป่วยด้วย เพราะญาติหลายคน รวมทั้งผู้ป่วย มาโรงพยาบาลก็ไม่เคยมา และเนื่องจากมีความทุกข์อยู่แล้ว เลยไม่ค่อยจะปลอดโปร่งแจ่มใสเท่าไร มีความเครียด
แต่พอมีจิตอาสามาช่วย ช่วยทำให้ทั้งญาติ ทั้งผู้ป่วยเบาใจ คลายเครียดได้ และยังพบว่า ไม่ใช่แค่เป็นประโยชน์กับคนอื่นเท่านั้น เป็นประโยชน์กับตัวเองด้วย เพราะเธอบอกว่า ใหม่ ๆ ก็ตื่นกลัว เจอคนแปลกหน้าทั้งนั้น แต่เธอได้เรียนรู้วิธีการเผชิญกับความตื่นกลัว และได้เรียนรู้วิธีการเอาชนะตัวเอง เอาชนะตัวเอง คือ เอาชนะความตื่นกลัว
ทำไมถึงต้องเอาชนะความตื่นกลัว เธอบอกว่า ถ้าเธอตื่นกลัว ญาติหรือผู้ป่วยจะไม่กล้าเข้ามาหาเธอ แต่ถ้าเธอยิ้ม ญาติและผู้ป่วยก็อยากจะเข้ามาหาเธอ หรือถ้าเธอเข้าไปหาเขา ญาติเหล่านั้น หรือผู้ป่วยเหล่านั้นจะเปิดใจรับความช่วยเหลือของเธอ
และเธอคิดดี เธอมองว่า การช่วยผู้อื่นก็คือการช่วยตัวเอง เพราะช่วยผู้ป่วย ช่วยญาติ ช่วยเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลก็ช่วยตัวเรา ทำให้เรารู้จักเอาชนะตัวเอง เอาชนะใจตัวเอง เอาชนะความตื่นกลัว และถ้าถามว่า ทำไมต้องเอาชนะความตื่นกลัว เพื่อจะได้ช่วยเหลือผู้ป่วยหรือญาติได้ดีขึ้น การที่คิดถึงผู้อื่นทำให้เธอพยายามพัฒนาตน ฝึกตน
อีกอย่างหนึ่งเธอพูดไว้ดีว่า การยิ้มของเธอเป็นการช่วยให้ผู้ป่วยหรือญาติเปิดใจรับความช่วยเหลือของเรา
เวลาเราอยากจะช่วยเหลือใครก็เป็นเจตนาดี แต่บางทีคนที่เราอยากจะช่วยเขาอาจจะไม่เปิดใจก็ได้ อาจจะเป็นเพราะเขากลัว เขาระแวง อันนี้เป็นเรื่องธรรมดา ไม่ควรที่เราจะเสียใจว่าทำไมเขาไม่รับความช่วยเหลือของเรา แต่ถ้าหากว่าเราพยายามช่วยให้เขาเปิดใจ เขาก็สามารถรับความช่วยเหลือจากเราได้ และวิธีที่จะทำให้เขาเปิดใจคือ ยิ้ม
ฉะนั้นเวลาเธอเจอผู้ป่วยคนไหนเธอก็ยิ้ม cต่ก่อนเธอยิ้มให้กับผู้ป่วยบางคน แต่ตอนหลังเธอคิดว่า ไม่ว่าจะเป็นผู้ป่วย หรือญาติคนไหน เจอก็ยิ้มไว้ก่อน และพบว่ามันได้ผล เพราะว่าพอเธอยิ้ม ผู้ป่วย ญาติที่เกร็ง ที่ตื่นกลัว ที่ไม่รู้จักใคร และระแวง เพราะเดี๋ยวนี้คนแปลกหน้าวางใจไม่ค่อยได้แล้ว มิจฉาชีพเยอะ
แต่รอยยิ้มของเธอช่วยเปิดใจคนเหล่านั้น และยอมรับความช่วยเหลือของเธอ เปิดใจไม่ใช่เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่เธอ แต่เปิดใจเพื่อรับความช่วยเหลือของเธอ
อันนี้เป็นสิ่งที่คนที่อยากจะช่วยใครต้องนึกเอาไว้ในใจด้วยว่า เราอยากจะช่วยเขาแล้ว เจตนาดีอย่างเดียวไม่พอ ต้องช่วยทำให้เขาเปิดใจที่จะรับความช่วยเหลือจากเราด้วย
และที่จริงต้องมีมากกว่านั้น ต้องรู้ว่าเขาอยากจะรับความช่วยเหลือจากเราหรือเปล่า หรือว่าเขาต้องการความช่วยเหลือแบบไหน
อย่างที่เคยเล่า มีคนหนึ่งอยากจะช่วยคนแก่ซึ่งสงสัยว่าเป็นอัลไซเมอร์ ยืนมะงุมมะงาหราอยู่ตรงมุมถนน คิดว่าเขาเป็นอัลไซเมอร์ หลงทาง ก็เลยรีบจอดรถ ดึงขึ้นรถขับบึ่งไปเลย ระหว่างทางจึงค่อยถามว่าลุงจะไปไหนบ้าง บ้านอยู่ไหน
สุดท้ายได้ความว่า ลุงกำลังจะเดินข้ามถนน เพราะว่าบ้านอยู่อีกฝั่งหนึ่งของถนน เขาเลยว่า อ้าว ที่แท้คุณลุงเขาไม่ได้เป็นอัลไซเมอร์ เขาอยากจะข้ามถนน และรอไฟเขียว แต่ว่าเราไปด่วนสรุปว่าเขาเป็นอัลไซเมอร์เสียแล้ว รีบพาเขาดึงเขาขึ้นรถ ทำให้เขาเสียเวลาในการกลับบ้าน อันนี้เรียกว่า อยากช่วย ปรารถนาดี แต่ว่าไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไร ไปคิดเอาล่วงหน้า
แค่นั้นยังไม่พอ บางทีคนเขาต้องการความช่วยเหลือแต่ไม่แน่ใจว่าจะพึ่งพาใครได้ ถ้าหากเกิดว่ามีคนที่อยากช่วยเหลือยิ้มแย้มแจ่มใสให้เขา ใจเขาก็เปิด และพร้อมจะรับความช่วยเหลือจากเรา
ฉะนั้น เธอจึงแนะนำสำหรับการมาเป็นจิตอาสาว่า อย่างแรกที่ทำคือยิ้มไว้ก่อน แล้วเดี๋ยวญาติ เดี๋ยวผู้ป่วยเขาจะพร้อมยอมรับความช่วยเหลือจากเรา เขาจะไม่หวาดกลัว อันนี้เป็นประสบการณ์ดี ๆ ของผู้หญิงคนนี้ที่ชื่อหญิง ที่ใคร ๆ เรียกเธอว่าน้องหญิง
เธอให้ข้อคิดที่ดีมากว่า การช่วยเหลือผู้อื่นก็คือการช่วยเหลือตัวเอง และเมื่อเจอใครมาพูดไม่ดีกับตัวเอง แทนที่จะโกรธเขา กลับพยายามทำความเข้าใจเขาว่า ทำไมเขาถึงเป็นอย่างนั้น และคำตอบก็ช่วยทำให้เธอมาเป็นจิตอาสา ซึ่งทำให้พบสิ่งดี ๆ จากประสบการณ์ในโรงพยาบาล.