PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ
PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ

Search

  • หน้าแรก
  • เสียง
  • พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล
  • แบบอย่างของผู้อุปถัมภ์สงฆ์
แบบอย่างของผู้อุปถัมภ์สงฆ์ รูปภาพ 1
  • Title
    แบบอย่างของผู้อุปถัมภ์สงฆ์
  • เสียง
  • 14099 แบบอย่างของผู้อุปถัมภ์สงฆ์ /aj-visalo/2025-09-29-04-10-47.html
    Click to subscribe
    • Share
    • Tweet
    • Email
    • Share
    • Share

ผู้ให้ธรรม
พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล
วันที่นำเข้าข้อมูล
วันจันทร์, 29 กันยายน 2568
ชุด
ธรรมะสั้นๆ ก่อนอาหารเช้า 2568
  • แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]

  • พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 22 กันยายน 2568
    ในสมัยพุทธกาล มีชายหนุ่มคนหนึ่งเป็นลูกเศรษฐีเมืองหัตถิคาม ชายคนนี้ชื่อว่า อุคคตะ แต่ใคร ๆ เรียกว่า อุคคตกุมาร คงเพราะว่าใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย เพราะพ่อรวย
    ต่อมาพ่อเสียชีวิต พ่อเป็นเศรษฐี เมื่อตายไปแล้วทรัพย์สมบัติก็ตกเป็นของอุคคตกุมาร เรียกว่าเป็น อุคคตเศรษฐี
    อุคคตะเห็นพ่อทำงานมามากมาย มีเงินเยอะแยะ แต่ตายไปแล้วเอาทรัพย์สมบัติไปไม่ได้เลยแม้แต่สตางค์แดงเดียว สมบัติทั้งหลายก็ตกอยู่เป็นของตน ที่ตัวเองมีทรัพย์สมบัติได้เพราะว่าพ่อตายไปแล้วเอาไปไม่ได้ เขาเลยได้คิดว่า คนเราตายไปแล้วก็เอาทรัพย์สมบัติไปไม่ได้
    เพราะฉะนั้น อย่ากระนั้นเลย ทรัพย์สมบัติที่มีอยู่เราก็ใช้ให้มีความสุขสนุกสนาน
    เขาคิดถูก แต่คิดถูกแค่ครึ่งเดียว ที่บอกว่าตายไปแล้วเอาทรัพย์สมบัติไปไม่ได้ แต่ว่าที่ไม่ได้คิด หรือไม่ได้ตระหนักคือว่า ตายไปแล้วเอาทรัพย์สมบัติไปไม่ได้ก็จริง แต่ว่าบาปบุญตามติดตัวไป ตรงนี้อุคคตะไม่ได้คิด เพราะถ้าคิด ย่อมเอาทรัพย์สมบัติที่มีทำความดี สร้างบุญสร้างกุศล จะได้เป็นเสบียงบุญ อย่างน้อยก็พาให้มีความสุขในภพหน้า
    แต่เขาคงคิดเหมือนกับคนสมัยนี้ว่า ตายไปแล้วก็เอาทรัพย์สมบัติไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น ก็ใช้สมบัติที่มีอยู่แสวงหาความสุข เสพปรนเปรอเต็มที่
    นอกจากไม่ทำงาน ไม่หาทรัพย์สมบัติมาเพิ่มแล้ว มีแต่จะใช้ให้หมดไป เพราะบทเรียนของพ่อสอนว่า หรือบอกให้รู้ว่า ตายไปแล้วก็เอาทรัพย์สมบัติไปไม่ได้ ทรัพย์สมบัติที่มีเลยใช้ไปกับการเที่ยวเตร่สนุกสนาน การหาสิ่งปรนเปรอ นอกจากกินดีอยู่ดีแล้ว ยังมีการจ้างหญิงมาฟ้อนรำ บำรุงบำเรอ และหาสุรายาเมามาเสพ วันทั้งวันก็เอาแต่เสพความบันเทิงเริงรมย์ และสุรายาเมาจนมึนเมาแทบทุกวัน
    บังเอิญมีช่วงหนึ่งพระพุทธเจ้าเสด็จมาที่เมืองหัตถิคามพร้อมกับหมู่สงฆ์ และพักกันที่อุทยานใกล้เมืองหัตถิคาม วันหนึ่งอุคคตเศรษฐีอยากจะไปเที่ยวอุทยาน แต่ก็ไปด้วยอาการมึนเมา ที่จริงเวลามึนเมาน่าจะพักอยู่ที่บ้านหรืออยู่ที่คฤหาสน์ แต่เป็นเพราะอะไรไม่รู้ เกิดอยากจะไปอุทยาน ทั้งที่มึนเมา
    พอเข้าไปในอุทยานก็เจอพระพุทธเจ้า พบพระองค์เช้าตรู่ ด้วยความที่มีหิริโอตัปปะ พบเห็นผู้ทรงศีล แม้จะไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่สร่างเมาเลย สร่างเมาแล้วเกิดศรัทธาในพระพุทธเจ้า เกิดศรัทธาในพระรัตนตรัย ภายหลังได้ฟังธรรมจากพระองค์ ได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน
    ชีวิตเปลี่ยนไปทันที จากคนที่เอาแต่เที่ยวเตร่สนุกสนาน เสพสุรายาเมา กลายเป็นคนที่ประพฤติดี ใฝ่ธรรม และที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือว่า ทรัพย์สมบัติที่มี แทนที่จะไปใช้เพื่อการเสพสุขก็เอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ในการอุปถัมภ์พระสงฆ์
    อุคคตะเป็นคนที่มีศรัทธาแรงกล้าในการอุปถัมภ์พระสงฆ์ ปัจจัยที่มีก็นำไปถวายพระสงฆ์โดยที่ไม่เลือกว่าเป็นพระรูปใด
    จนกระทั่งมีคืนหนึ่งเทวดามาบอกอุคคตะว่า พระรูปนั้นเป็นพระที่มีวิชชา 3 รูปโน้นมีอภิญญา 6 รูปนี้เป็นภิกษุมีศีล รูปนี้เป็นภิกษุทุศีล บอกเพื่ออะไร บอกเพื่อให้อุคคตะรู้จักแยกแยะว่า ถ้าพระดี พระมีคุณวิเศษต้องถวายไทยธรรมเยอะ ๆ เช่นเดียวกับพระที่มีศีล ส่วนพระทุศีลก็อย่าไปสนใจมาก หวังดีต่ออุคคตเศรษฐี
    ที่จริงอุคคตเศรษฐีรู้ว่าพระรูปใดเป็นอย่างไร เพราะว่าตัวเองก็มีคุณวิเศษเหมือนกัน แต่ตั้งใจว่าจะอุปัฏฐากพระทุกรูปเสมอเหมือนกัน เพราะมีศรัทธาสม่ำเสมอในพระทุกรูป ไม่เลือกว่าพระดี พระไม่ดี พระมีคุณวิเศษ หรือพระปกติสามัญ เพราะฉะนั้นเลยไม่ได้ทำตามคำแนะนำของเทวดา
    อันนี้น่าสนใจ อาจจะเพราะอุคคตเศรษฐีรู้ว่า พระทุศีลบางรูปเมื่อบวชไปนาน ๆ ได้รับการกล่อมเกลาจากครูบาอาจารย์ก็กลายเป็นพระดีได้ เพราะขนาดตัวเองก็เคยเป็นพวกที่เอาแต่สำมะเลเทเมา และภายหลังได้กลายมาเป็นพระโสดาบัน ภาษาพระเรียกว่า ต้นคด ปลายตรง
    อุคคตเศรษฐีคงมองว่า เราก็เคยไม่ดีมาก่อน แต่สุดท้ายเราก็กลายเป็นผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิได้ พระทุศีลก็เหมือนกัน ถ้าหากว่าได้รับการอุปถัมภ์ดี อยู่ในพระศาสนาไปนาน ๆ มีครูบาอาจารย์ที่มีปัญญา ก็สามารถจะกลายเป็นพระที่ดีได้
    และที่จริงพระอรหันต์ในสมัยพุทธกาลมีหลายรูปที่เดิมมาบวชเพราะอยากได้สักการะ อาหารหาง่าย และดีด้วย อย่าง พระปิณโฑละ หรือ พระติสสะ มีหลายรูปที่มาเพราะว่าอยู่สบาย ใจหนึ่งก็อยากสึก แต่สึกไปแล้วนึกถึงความลำบาก เพราะเคยเป็นวณิพก ก็เปลี่ยนใจไม่สึก เหตุผลที่ไม่สึกมีแค่ว่า เป็นพระสบายกว่าตอนเป็นฆราวาส แต่ภายหลังพวกท่านก็ได้กลายเป็นพระอรหันต์
    ท่านอุคคตะคงคิดแบบนี้ว่า พระทุศีลถ้าได้รับการอุปถัมภ์พอสมควรก็มีโอกาสที่จะเป็นพระที่ดี และบรรลุธรรมได้
    ด้วยเหตุนี้เลยเป็นที่ยกย่องของผู้คนทั้งหลาย แม้กระทั่งพระพุทธเจ้าก็สรรเสริญยกย่องท่านอุคคตคฤหบดีให้เป็นเอตทัคคะด้านอุปัฏฐากพระสงฆ์
    อันนี้เป็นแง่คิดที่ดีสำหรับผู้คนทั้งหลายในปัจจุบันที่อุปถัมภ์บำรุงพระสงฆ์ และบางทีเจอข่าวคราวว่าพระที่ตัวเองอุปัฏฐากกลายเป็นพระทุศีลขึ้นมา อันนี้น่าเห็นใจ
    แต่ที่จริงถ้าหากว่าเราพิจารณาดู ท่านอุคคตเศรษฐีท่านอุปัฏฐากเฉพาะปัจจัย 4 คือ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ท่านไม่ได้ถวายเงิน
    ที่มีเรื่องราวข่าวคราวเสียหายอื้อฉาวเพราะว่าญาติโยมพากันถวายเงินด้วยศรัทธา พระทุศีลถ้าได้เงินไปก็ง่ายที่จะเอาเงินไปใช้ในการสนองกิเลส ปรนเปรอตน หรือบางทีแม้จะไม่ใช่เป็นพระทุศีล แต่ว่าพอมีเงินมาก ๆ อย่างที่เคยบอก เงินทำให้มีโอกาสทำชั่วได้มาก ไม่ใช่ว่าจะมีข้อดีเสมอไป พอมีเงินเยอะ มีโอกาสทำชั่วได้มาก มีโอกาสสนองกิเลสได้มาก เลยเสียพระไป
    แต่ถ้าถวายเป็นแค่อาหาร อย่างมากก็ไม่ฉันแค่นั้น แต่ว่าไม่สามารถจะเอาอาหารที่มีเยอะ ๆ ไปกักตุน หรือไปทำอะไรได้
    ท่านอุคคตะถวายแต่ปัจจัย 4 ไม่ได้ถวายเงิน เพราะถวายเงินไม่ถูกต้องตามพระวินัยอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น แม้ท่านจะถวายอาหารให้พระทุศีล ผลเสียน้อย เพราะพระทุศีลได้อาหารไป อย่างมากก็ไม่กิน ทิ้ง แต่ว่าไม่เอาอาหารที่มีล้นเหลือไปใช้ในการทำชั่ว
    เพราะฉะนั้น การที่ท่านอุคคตะท่านมีศรัทธาสม่ำเสมอ ถวายปัจจัย 4 แม้กระทั่งพระทุศีล โดยไม่ได้มีการแยกแยะว่าเป็นพระอรหันต์หรือพระทุศีล จริง ๆ ผลเสียน้อย และที่จริงกลับทำให้มีพระทุศีลจำนวนมากเปลี่ยนใจ เรียกว่า ต้นคด ปลายตรง อย่างท่านได้
    แต่ถ้าเอาคติของท่านมาใช้กับปัจจุบัน และเปลี่ยนจากการถวายอาหาร ปัจจัย 4 มาเป็นการถวายเงิน อันนี้อาจจะมีผลเสีย เพราะว่าพระทุศีลถ้าได้เงินไปแล้วโอกาสที่จะดียาก มีแต่จะใช้เงินไปในทางที่ปรนเปรอกิเลส
    อันนี้เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาเอาไว้ว่า คติของท่านอุคคตะในบางด้านก็เหมาะสม แต่ว่าถ้าหากว่าเปลี่ยนจากการถวายปัจจัย 4 มาเป็นเงิน อันนี้ต้องพิจารณาอย่างแยบคาย ต้องเลือกเฟ้นมาก
    และพบว่าถ้าพระดีถ้าได้ปัจจัยไป ท่านก็เอาไปทำประโยชน์ส่วนรวม แต่พระทุศีลถ้าได้ปัจจัยเป็นเงินไป ความเสียหายก็มีมากเหมือนกัน
    ฉะนั้น ถ้าถวายก็ถวายเป็นปัจจัย 4 ดีกว่า ถ้าหากว่ามีศรัทธาสม่ำเสมอในพระ ไม่ว่าจะเป็นพระดี พระมีศีล หรือพระทุศีลเสมอกัน ถ้าถวายเป็นปัจจัย 4 ผลเสียน้อย น้อยกว่าถวายเป็นเงินมากเลย.

logo

  • เกี่ยวกับเรา
  • ติดต่อเรา
  • จดหมายข่าว
  • Privacy Policy
  • Terms of Service