พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 21 กันยายน 2568
ชายคนหนึ่งอาศัยอยู่ที่เมืองลาสเวกัสในอเมริกา บ่ายวันหนึ่งเขาขับรถจะไปทำธุระแถวชานเมืองลาสเวกัส ปรากฏว่ามองไกล ๆ สังเกตเห็นผู้หญิงคนหนึ่งอายุประมาณสัก 30 ได้ มือถือกระเช้าหิ้วสำหรับเด็กทารก 2 กระเช้า ทั้งมือซ้ายและมือขวา เดินข้ามถนน
ตอนนั้นเป็นช่วงหน้าร้อน บ่าย ๆ แดดแรงมาก ปกติคนไม่ค่อยเดินกันบ่าย ๆ อาตมาก็เคยไปลาสเวกัสกับหลวงพ่อคำเขียน ร้อนจริง ๆ คนส่วนใหญ่เก็บตัวอยู่ในห้องแอร์ ไปไหนมาไหนนั่งรถติดแอร์ แต่ผู้หญิงกับเด็กทารก 2 คนเดินตากแดด
และเขาสังเกตผู้หญิงคนนั้น พอข้ามถนน แทนที่จะไปต่อ ก็วางกระเช้า 2 กระเช้าไว้ริมถนน ร่มเงาก็หายาก แต่เธอก็หาจนได้ วางเอาไว้ แล้วเดินย้อนกลับมาใหม่ ข้ามถนน
ชายคนนั้นแปลกใจ ย้อนกลับไปทำไม แล้วทำไมทิ้งเด็ก 2 คนนั้นเอาไว้ริมถนน เขาก็มารู้คำตอบว่า ผู้หญิงคนนั้นกลับไปเพื่อจะเอากระเช้าอีกกระเช้าหนึ่ง และหิ้วกระเช้านั้นข้ามถนน แปลว่าผู้หญิงคนนั้นมีเด็กทารกที่เธอดูแลอยู่ 3 คน
พอหิ้วกระเช้าที่ 3 มาวางรวมกับ 2 กระเช้าแรกแล้ว เธอก็หยิบ 2 กระเช้าเดินต่อไปสัก 50 เมตร หาร่ม แล้ววางไว้ในร่ม เดินกลับไปอีก เอากระเช้าที่ 3 ที่ทิ้งเอาไว้
ชายคนนั้นเห็นแล้วแปลกใจ เดาว่าเธอคงกำลังพาเด็ก 3 คนซึ่งเป็นเด็กทารกไปไหนสักแห่ง แต่ว่าอากาศร้อนมาก และคงจะเดินทางไกลทีเดียว อีกอย่างหนึ่งลาสเวกัสไม่ค่อยมีรถเมล์ จะไปไหนต้องใช้รถส่วนตัว
แต่ผู้หญิงคนนี้คงไม่มีรถส่วนตัว เธอจึงใช้วิธีการเดิน พร้อมหอบหิ้วเด็ก 3 คน ด้วยกระเช้า 3 กระเช้า ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย และแดดก็ร้อน และคิดว่าผู้หญิงคนนี้คงจะมีอะไรสักอย่างที่ทำให้ต้องทำอย่างนั้น เพราะปกติเขาไม่ทำอย่างนั้นกัน จะไปไหนถ้ามีเด็ก 3 คน ต้องนั่งรถ ขับรถ
ชายคนนี้เลยจอดรถ และถามผู้หญิงคนนั้นว่าจะไปไหน ผู้หญิงคนนั้นไม่ค่อยอยากจะตอบ ท่าทางดูตื่นตกใจ ไม่อยากจะพูดไม่อยากจะคุย ชายคนนั้นก็ถามว่า เด็ก 3 คนนี้ ถ้าขนพะรุงพะรังแบบนี้ มันร้อน ถึงแม้จะเอาผ้ามากันแดดแล้ว จะไปไหน เดี๋ยวผมไปส่งให้
ผู้หญิงก็ไม่ตอบ อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ผู้ชายเลยถามว่า ทะเลาะกับสามีมาใช่ไหม กำลังจะพาเด็กหนีใช่ไหม สุดท้ายผู้หญิงก็ยอมตอบว่าใช่ และไม่พูดอะไรอีก คงรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำไม่ดี แต่จำเป็นต้องทำ และไม่อยากจะพูดอะไรมาก
ผู้ชายคนนั้นก็บอกว่า คุณจะไปไหน เธอไม่ตอบ ผู้ชายเลยถามว่า “รู้จักคนแถวนี้ไหม ในลาสเวกัส” เธอบอกไม่รู้จัก “แล้วมีญาติพี่น้องในเมืองใกล้ ๆ ไหม” เธอบอกว่ามี อยู่อีกเมืองหนึ่งชื่อเมืองเรโนซึ่งไกล “แล้วคุณจะไปอย่างไร” เธอบอกว่าไม่รู้
ท่าทางดูไม่ค่อยมีสติสตังเท่าไร อาจจะเป็นเพราะว่าทำในสิ่งที่ไม่อยากจะให้ใครรู้ ผู้ชายคนนั้นเดาว่า สงสัยจะหนีผัว และหอบหิ้วลูกกลับไปอยู่กับครอบครัวของเธอ
ชายคนนั้นบอกว่า “ไปอย่างนี้ไม่ได้ อากาศร้อนมาก แดดก็แรง เอาอย่างนี้ไหม คุณขับรถผมไป เอารถผมไปเลย” ผู้หญิงคนนั้นบอกว่า ได้อย่างไร ฉันไม่กล้าหรอก แล้วคุณจะไปอย่างไร “ไม่ต้องห่วงผมหรอก แต่ว่าเด็ก 3 คนสำคัญกว่า จะให้เด็กเดินตากแดดไม่ได้หรอก รถผมติดแอร์ คุณเอาไปเลยรถคันนี้ เอาลูกไปด้วย แล้วพอถึงบ้านคุณแล้ว หรือถึงญาติคุณแล้ว ค่อยเอารถมาคืน”
และเขาถามว่า “มีค่าน้ำมันไหม มีเงินไหม” เธอบอกว่าไม่มีเงิน ขับรถไปอีกเมืองหนึ่งซึ่งมันไกล ก็ต้องเติมน้ำมัน ชายคนนั้นก็ไม่มีเงิน เพราะฝรั่งเขาไม่พกเงินสดกัน เขาบอก “อย่างนั้นเอาเครดิตการ์ดของผมไปก็แล้วกัน ใช้เสร็จแล้วค่อยมาคืนด้วย”
ผู้หญิงคนนั้นไม่กล้ารับ เอาไปได้อย่างไร ทั้งรถ ทั้งเครดิตการ์ด ผู้ชายคนนั้นบอกว่า “เอาน่า ผมเคยลำบากอย่างนี้มาก่อน และมีคนช่วยผมเอาไว้ ผมก็อยากจะช่วยคนอื่นที่เขาเดือดร้อนบ้าง เอาไปเลย รถและเครดิตการ์ด”
คะยั้นคะยอจนได้ สุดท้ายผู้หญิงก็รับเอาไว้ และก่อนที่จะขึ้นรถก็กอดผู้ชายคนนั้นด้วยความซาบซึ้งใจ เพราะเธอคิดว่าเธอไม่มีใครแล้ว สุดท้ายผู้ชายคนนั้นก็ยืนส่งผู้หญิงคนนั้นกับลูก 3 คน ขับรถของเขาหายไปเลย
นับว่าชายคนนั้นกล้ามาก เพราะว่าผู้หญิงคนนั้นเขาไม่รู้จัก และไม่รู้ว่าเป็นผู้หญิงที่ไปขโมยเด็กใครมาหรือเปล่า แต่เขาเชื่อว่าผู้หญิงคนนั้นกำลังเดือดร้อนจริง และเขาเคยเดือดร้อนมาก่อน หนักกว่าอันนี้แต่เขารอดมาได้เพราะมีคนช่วย ถึงคราวที่เขาเจอคนเดือดร้อน เขาก็อยากจะช่วยบ้าง เรียกว่าเสี่ยง
ผ่านไป 1 อาทิตย์ เขาก็ได้เครดิตการ์ดคืนกลับมาจากผู้ชายซึ่งสงสัยว่าเป็นพ่อของผู้หญิงคนนั้น และคืนเงินมาให้อีก 5,000 ดอลลาร์ สงสัยเป็นค่ารถ ค่ารถในอเมริกาไม่แพงเพราะภาษีไม่หนัก และรถคันนั้นคงจะเป็นรถใช้แล้ว
กลายเป็นว่าน้ำใจของผู้ชายคนนี้ช่วยผู้หญิงคนนั้นและลูกอีก 3 คนเอาไว้ ซึ่งคงจะเป็นลูกแฝด เพราะว่าเป็นเด็กอ่อนทั้ง 3 คน ต้องอาศัยกระเช้า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าจะเป็นความจริง
ถามว่าทำไมผู้ชายคนนั้นถึงกล้า เพราะว่าเขาได้รับความช่วยเหลือจากใครบางคนมาก่อน ตอนนั้นอาจจะล้มละลาย และไม่รู้จะพึ่งพาใคร สุดท้ายมีคนมาช่วย ทำให้รอดพ้นจากวิกฤต ที่เคยคิดจะฆ่าตัวตายก็เปลี่ยนใจ และพอตั้งเนื้อตั้งตัวได้ก็อยากจะทำความดีตอบแทนผู้มีพระคุณ แต่ทำไม่ได้ ก็เลยทำความดีให้กับคนอื่นแทน
คนเราเวลาได้รับความดีจากใคร ก็อยากจะทำความดีถ้าไม่ตอบแทนคนนั้น ก็อยากจะทำความดีกับผู้อื่น เป็นการส่งต่อความดี เพราะว่าพอเราได้รับความดีจากใครแล้ว จะเกิดจิตใจใฝ่ดี ใจใฝ่ดีก็ทำให้เราอยากจะทำความดี และยอมแม้จะต้องเสียรถ หรือว่าอาจจะต้องเสียเครดิตการ์ดไป ก็ไม่เป็นไร เพราะว่าเคยได้รับความช่วยเหลือมากกว่านั้นมาแล้ว
การช่วยเหลือคนอื่นกลายเป็นเรื่องง่ายหากว่าเราเคยได้รับความดีจากใคร หรือได้รับความช่วยเหลือจากใครมาก่อน คนที่ช่วยผู้ชายคนนั้นก็ไม่รู้เป็นใคร แต่เขาคงจะไม่รู้ว่าการช่วยของเขาจะเกิดผลดีอย่างไรบ้าง
เวลาเราจะช่วยใคร เราก็อยากจะให้เห็นผลดี แต่ว่าบางครั้งความดีที่เราทำเกิดผล แต่เป็นผลที่เรามองไม่เห็น เพราะว่าความดีที่อีกฝ่ายตอบแทน ไม่ได้ตอบแทนตัวเอง แต่ว่าไปทำกับคนอื่น ก็ให้มั่นใจว่า เวลาทำความดีมีผลแน่นอน อยู่ที่ว่าเราจะเห็นหรือเปล่า อยู่ที่ว่าจะใช้เวลาหรือเปล่า
หลายคนมักจะพูดว่า ทำดีแล้วทำไมไม่ได้ดี บางทีความดีเกิดขึ้น ไม่ได้เกิดย้อนกลับมาที่เรา แต่เกิดกับคนอื่นที่เขาเดือดร้อน เพราะฉะนั้นเวลาทำความดี ให้เรามั่นใจว่า ความดีที่เราทำจะส่งดีสืบต่อไป บางทีเป็นลูกโซ่หลายช่วง
เชื่อว่าผู้หญิงคนนั้น ถึงเวลาที่เธอเจอคนเดือดร้อนคงอยากจะช่วยเหมือนกัน เพราะเคยมีผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งไม่รู้ใครเคยช่วยเธอและลูกมาแล้ว ถึงเวลาก็อยากจะช่วยคนอื่นเป็นการตอบแทนบ้าง
ความดีจะส่งผลเป็นลูกโซ่แบบนี้ เพราะฉะนั้น ขอให้มั่นใจในความดีที่ทำว่าส่งผลเสมอ อยู่ที่ว่าเราจะเห็นหรือไม่เท่านั้นเอง.