พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 20 กันยายน 2568
มีจิตแพทย์ผู้หนึ่งเล่าว่า วันหนึ่งผู้ปกครองพาลูกสาววัย 15 มาหาหมอ ลูกสาวเรียน ม.4 โรงเรียนที่ดัง เข้ายาก ที่มาเพราะว่าลูกสาวมีอาการเหม่อลอย ไม่มีสมาธิ ขี้ลืม หงุดหงิดง่าย และที่สำคัญสำหรับพ่อแม่คือ การเรียนตก
พ่อแม่ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น บอกกับหมออย่างนี้ และเล่าว่า ตั้งแต่เล็กใคร ๆ ก็บอกว่าลูกสาว สมมุติว่าชื่อ พริม เป็นเด็กฉลาด ได้รับคำชมตั้งแต่ครูอนุบาล ครูอนุบาลเขาชมว่า พริมฉลาดมาก ฉลาดกว่าเด็กทั่วไป เรียนประถมก็ได้คะแนนดี และได้รับคำชมว่าฉลาดกว่าเพื่อนร่วมห้อง
ตอนหลังไปสอบเข้าโรงเรียนมัธยม โรงเรียนมัธยมนี้มีชื่อ สอบเข้ายาก แต่พริมสอบเข้าได้อย่างไม่ยากอะไร โดยที่พ่อแม่ไม่ต้องทำอะไรเลย ตอนสอบเข้าประถมก็เหมือนกัน เดี๋ยวนี้ต้องสอบเข้า เพราะว่าเป็นโรงเรียนดัง พริมก็สอบได้อย่างไม่ยากอะไรเลย เรียนมัธยมก็สอบได้อย่างสบาย
แต่โรงเรียนนี้เรียนหนัก พ่อแม่เลยให้เรียนพิเศษ ที่จริงเรียนหนักไม่ได้แปลว่าคะแนนตก เธอยังเรียนได้ดี แต่พ่อแม่อยากจะให้เธอเข้าโรงเรียนมัธยมที่มีชื่ออีก 3-4 ปีข้างหน้า เพราะฉะนั้น ต้องติวเข้มตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ตั้งแต่ ม.1
ให้เรียนพิเศษตั้งแต่จันทร์ถึงอาทิตย์ วันจันทร์ถึงศุกร์ไปเรียนตอนเย็น เลิกเรียนแล้วไปเรียนพิเศษ กว่าจะถึงบ้านก็ 3 ทุ่ม ที่จริงเรียนเขาเลิกแค่ทุ่มหนึ่ง แต่ว่ารถติด ถึงบ้านก็ 3 ทุ่ม ถึงบ้านแล้วไม่ได้นอน ยังนอนไม่ได้ ต้องทำการบ้านที่โรงเรียนมอบหมาย กว่าจะเสร็จก็ 5 ทุ่ม เที่ยงคืน 6 โมงเช้าก็ตื่นขึ้นมา เป็นอย่างนี้ทุกวัน
เสาร์อาทิตย์ก็เหมือนกัน เสาร์อาทิตย์เรียนกลางวันด้วย แต่ว่าดีหน่อย ไม่ต้องเลิกเรียนดึก แต่เด็กแต่ละวัน ๆ ต้องเรียนแล้วเรียนอีก
ตอนหลังไปเรียนเข้ามัธยมปลาย สอบได้เหมือนกัน ด้วยฝีมือของตัวเอง แต่เธอเริ่มจะไม่ชอบโรงเรียนนี้แล้ว เพราะว่าเธอมีเป้าหมายชีวิตอีกแบบหนึ่ง แต่พ่อแม่อยากให้เป็นหมอ เลยแนะนำ จะเรียกว่าเรียกร้องก็ได้ ให้เธอเข้าโรงเรียนนี้
แต่พอเธอเข้าไปแล้ว อยู่ ม.4 เริ่มมีอาการอย่างที่ว่านี้ เหม่อ ใจลอย ขี้ลืม หงุดหงิดง่าย คะแนนก็ตกลงไปเรื่อย ๆ อาการแบบนี้ไม่สู้ดีแล้ว พ่อแม่ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เลยพาไปหาจิตแพทย์
และพ่อแม่บอกว่า ลูกเคยบ่นว่าเหนื่อยกับการเรียน โดยเฉพาะเรียนพิเศษ แต่พ่อแม่บอกลูกว่า คนอื่นเขาก็เรียนพิเศษเหมือนกัน ไม่เห็นใครมีปัญหาอะไรเลย เหนื่อยก็ให้ทน จะได้เล่นตามทันเพื่อน ที่จริงคะแนนของเธอไม่ใช่ตามเพื่อน นำเพื่อนไปแล้ว แต่พ่อแม่อยากจะให้นำดิ่งยิ่งกว่านั้น
ตอนหลังพอขึ้น ม.4 พ่อแม่บอกลูกว่า ให้เรียนเก่ง ๆ จะได้มีอนาคตดี มีอนาคตดีก็จะมีงานทำที่ดี และสำหรับพ่อแม่ อาชีพที่ดีคือเป็นหมอ บอกว่าคนเรียนเก่งต้องเรียนหมอ ถ้าไม่เรียนหมอน่าเสียดาย ต้องเรียนหมอ ก็เล่าเรื่องนี้ให้จิตแพทย์ฟัง
จิตแพทย์ดูอาการของลูกสาวแล้วบอกว่า ลูกเครียดมาก เครียดกับการเรียน และที่สำคัญคือ นอนน้อย นอกจากเรียนหนักแล้วยังนอนน้อย อย่างลูกควรจะนอนให้ได้สักวันละ 7-8 ชั่วโมง ไม่ใช่นอนวันละ 4 ชั่วโมง เลยแนะนำพ่อแม่ว่า ต้องให้ลูกเรียนน้อยกว่านี้ อย่าไปเคี่ยวเข็ญมาก และให้ลูกได้นอนเยอะ ๆ
คำแนะนำของหมอไม่ได้ยากอะไร เพราะไม่ต้องพึ่งยาอะไรเลย แต่ไม่รู้ว่าพ่อแม่จะยินยอมหรือเปล่า
จะว่าไปแล้ว ลูกอาการแบบนี้ยังดีกว่าลูกอีกหลายคน บางคนซึมเศร้า ไม่ใช่แค่เรียนตก เรียนไม่ได้เลย ซึมเศร้า มิหนำซ้ำคิดฆ่าตัวตาย ต้องพึ่งยา แต่ว่ากรณีนี้ หมอแค่แนะนำให้เรียนน้อยลง โดยเฉพาะเรียนพิเศษ และให้มีเวลานอนมาก ๆ
แต่อย่างที่บอก วิธีการง่าย แต่ว่าจะทำได้หรือเปล่า เพราะพ่อแม่มีความเข้าใจว่า ต้องเรียนหมอถึงจะมีอนาคตดี อาตมามีเพื่อนที่เป็นหมอหลายคนเขาไม่แนะนำให้ลูกเรียนหมอเลย บอกว่าเป็นหมอแล้วลำบาก ชีวิตไม่ได้มีความสุขเท่าไร
และความเข้าใจผิดของพ่อแม่ในยามนี้คือ คิดว่าคนเก่งต้องเรียนเก่ง อาตมาเจอคนเก่งที่เรียนไม่เก่งเยอะ ตั้งแต่สมัยใหม่รุ่นแล้ว จนกระทั่งโตขึ้นมา พออายุมากก็ยิ่งเห็นชัด คนเก่งไม่ได้แปลว่าเรียนเก่ง โดยเฉพาะเรียนเก่งที่วัดกันด้วยคะแนน เพราะว่าการเรียนเก่งสมัยนี้ในเมืองไทยไม่ได้แปลว่าเก่งเสมอไป หมายถึงฉลาด มีปฏิภาณ แก้ปัญหาชีวิต หรือแก้ปัญหาการทำงานได้
และยิ่งไปเข้าใจว่า เรียนเก่งแล้วจะมีอนาคตดี นี่เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนมาก คนเรียนเก่งที่อนาคตแย่มีเยอะ เพราะว่ามีปัญหาสุขภาพ สุขภาพกายก็ไม่ดี และมีปัญหาสุขภาพใจและนิสัยใจคอ บางคนเห็นแก่ตัว ไม่มีเพื่อน แล้วจะมีอนาคตดีได้อย่างไรถ้าสุขภาพแย่ทั้งกายและใจ ไม่มีใครอยากคบ
และอนาคตดีไม่ได้หมายถึงการมีอาชีพการงานที่ดี อาชีพการงานที่ดี ร่ำรวย ไม่ได้แปลว่าคนนั้นจะมีอนาคตดีเสมอไป ตัวอย่างมีเยอะแยะมากมาย อาชีพดี แต่ว่าอนาคตไม่ได้ดีเท่าไร
และอาชีพดีไม่ได้แปลว่าต้องเป็นหมออย่างเดียว เป็นครู เป็นศิลปิน เป็นเกษตรกรก็เป็นอาชีพที่ดี ได้ และแถมมีความสุข มีอนาคตที่ดีด้วย
ตอนนี้นี่คือปัญหา ทัศนคติของพ่อแม่เป็นตัวขัดขวางทำให้ลูกไม่สามารถที่จะทำตามคำแนะนำของหมอได้ คือเรียนให้น้อยลง และนอนมาก ๆ เพราะว่าถ้าพ่อแม่ยังมีทัศนคติแบบนี้ว่า เรียนเก่งจึงจะมีอนาคตดี อนาคตดีทำให้มีงานทำที่ดี และเรียนเก่งต้องเป็นหมออย่างนี้ อย่างไรก็ต้องเคี่ยวเข็ญลูกจนได้
และที่สำคัญคือว่า นอกจากปรับทัศนคติของพ่อแม่แล้ว พ่อแม่ต้องมีเวลาอยู่กับลูกมากขึ้น
พ่อแม่บอกกับหมอว่า ไม่เข้าใจว่าลูกเป็นอะไรเลย ทั้งที่ลูกมีอาการแบบนี้มานานแล้ว ลูกบ่นว่าไม่อยากเรียน เบื่อ หนัก เครียด แต่พ่อแม่มองไม่เห็น มารู้ว่าลูกมีปัญหาตอนไหนรู้ไหม ตอนที่คะแนนตก ตอนที่ลูกมีปัญหา พ่อแม่ไม่รู้ แต่มารู้มาสังหรณ์ตอนที่คะแนนตก อันนี้แปลว่าอะไร แปลว่าพ่อแม่ไม่ค่อยมีเวลาอยู่กับลูกเท่าไร
ถ้ามีเวลาอยู่กับลูกก็จะเริ่มเก็ทว่าลูกเริ่มมีปัญหาตั้งแต่ ม.1 แล้ว ไม่ใช่ว่ามาเป็นเอาตอน ม. 4 แต่ว่าเนื่องจากไม่มีเวลา เลยไม่รู้ว่าลูกมีปัญหาทางอารมณ์ มารู้เอาตอนที่คะแนนตก ซึ่งน่าเสียดาย เพราะว่าถึงตอนนั้นอาจเรียกว่าหนักแล้ว
แต่ยังดีถ้าหากว่าแก้ได้ด้วยการนอนเยอะ ๆ เรียนน้อย ๆ เพราะว่าถ้าเกิดว่าลูกเป็นโรคซึมเศร้า หนักเลย แก้ไม่ได้ หรือแก้ยากมาก ใช้ยาก็ไม่รู้ว่าจะได้ผลหรือเปล่า เพราะเผลอ ๆ ลูกฆ่าตัวตายก็มี
อันนี้เป็นบทเรียนว่า เวลาเรารักลูก เรารักลูกแล้วต้องมีทัศนคติที่ดีกับลูก หรือต่อชีวิตด้วย และมีเวลาอยู่ใกล้ลูก และที่สำคัญคือ อย่าไปคิดว่าลูกเป็นสิ่งเชิดหน้าชูตาพ่อแม่
พ่อแม่หลายคนอยากจะให้ลูกเรียนดี เรียนเก่ง เรียนหมอ ได้ 4 เต็ม เกียรตินิยมอันดับ 1 เพราะอะไร เพื่อเชิดหน้าชูตาพ่อแม่ อย่างนี้เรียกว่าไม่ได้รักลูกเท่าไร รักตัวเองมากกว่า
อันนี้เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับเด็กจำนวนมากเวลานี้ ซึ่งทำให้เขามีความทุกข์มาก บางคนหาทางออกไม่เจอก็ต้องทำร้ายตัวเอง.