พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้า วันที่ 12 กันยายน 2568
มีหญิงสูงวัยชาวอเมริกันคนหนึ่งตามสามีมาเมืองไทย เธอสนใจพุทธศาสนาตั้งแต่อยู่อเมริกา พอมาเมืองไทยได้สักพักก็อยากจะไปเยี่ยมวัดป่าในภาคอีสานของไทย จะถือโอกาสไปฟังธรรมด้วย เพราะตอนนั้นก็มีครูบาอาจารย์ที่มีชื่อเสียงหลายท่าน ทั้งหลวงพ่อชา หลวงปู่เทสก์ หรือหลวงปู่ขาว
เธอไปนอนค้างที่วัดป่าแห่งหนึ่งประมาณ 2-3 คืน ได้ฟังธรรม ได้สังเกตวัตรปฏิบัติของวัดป่าในเมืองไทย กลับไปกรุงเทพฯเธอก็เล่าให้เพื่อนๆฟังว่า วัดป่าในเมืองไทยนั้นสงบ สะอาด พระก็สำรวม แต่เสียอย่างเดียวไม่ค่อยถูกกัน เพื่อนถามว่าทำไมล่ะ เธอบอกว่าเวลาพระฉันไม่คุยกันเลย ต่างคนต่างฉัน แสดงว่าไม่ค่อยถูกกัน ไม่ค่อยกินเส้นกัน
คนที่เป็นคนไทยพอได้ฟังก็หัวเราะ เพราะรู้ว่าเธอไม่เข้าใจธรรมเนียมของวัดป่า ว่าเวลาพระฉัน ท่านก็จะฉันอย่างสงบ สำรวม ไม่พูดไม่คุยกัน แม้จะรู้จักกันดี แต่ก็ไม่ใช้โอกาสนี้ในการพูดคุย ซึ่งต่างจากวัฒนธรรมอเมริกัน ถึงเวลากินข้าวโดยเฉพาะข้าวเที่ยง ข้าวเย็นก็จะคุยกัน ถ้าใครกินคนเดียวเงียบๆไม่คุยกับเพื่อน ก็ถูกมองว่ามีเรื่องขัดแย้งกับเพื่อน ซึ่งเป็นธรรมเนียมฝรั่ง ตอนหลังก็เริ่มจะกลายเป็นธรรมเนียมคนไทยไปเสียแล้วโดยเฉพาะในกรุงเทพฯ
เธอไม่เข้าใจว่าเวลากินโดยเฉพาะในวัดป่าที่พระต่างรูปต่างฉันเป็นเพราะอะไร ไม่ใช่เพราะไม่ถูกกัน แต่เพราะต้องการที่จะเจริญสติ เวลาฉันก็ฉันด้วยความรู้สึกตัว ไม่ปล่อยใจลอย หรือไม่หาเรื่องพูดคุยกับคนอื่น
ที่นี่ก็มีธรรมเนียมแบบนี้เหมือนกัน ที่จริงไม่ใช่ธรรมเนียมแต่เป็นการปฏิบัติอย่างหนึ่ง แล้วก็ไม่ได้ครอบคลุมเฉพาะพระเท่านั้น รวมไปถึงผู้ที่อยู่ในวัดด้วย แม่ชี ผู้ที่มาปฎิบัติธรรม และถ้าจะให้ดีผู้ที่มาวัดแม้จะมาชั่วคราวก็ควรจะลองปฏิบัติแบบนี้ดูบ้างคือ เวลากินก็มีสติอยู่กับการกิน ทิ้งธรรมเนียมที่เคยปฏิบัติมา อย่าไปห่วงว่าคนข้างๆเขาจะว่าเราหรือเปล่า ว่าทำไมเราไม่คุยกับเขา บางคนก็ชวนคุย แต่อีกคนหนึ่งเขาอยากปฏิบัติ ก็ให้เข้าใจว่าเขากำลังฝึกการปฎิบัติ กินอย่างมีสติ
การกินอย่างมีสตินั้นสามารถทำได้ ไม่ใช่ว่าต้องมาเดินอย่างมีสติอย่างเดียว กินอย่างมีสติคือกินด้วยความรู้เนื้อรู้ตัว รู้รสชาติอาหาร รู้ความพอใจ ไม่พอใจที่เกิดขึ้น ใจลอยเมื่อไหร่ก็ดึงจิตกลับมา เป็นสิ่งที่เราควรจะทดลองปฏิบัติดู
เพราะบางคนนั้นเวลาอยู่คนเดียวก็จะรีบๆกิน รีบๆเคี้ยวเพราะอะไร เพราะใจนึกถึงสิ่งที่จะทำข้างหน้า ไม่ว่าจะเป็นการทำครัวให้ลูก งานการ เช็คเมลล์ หรือเก็บข้าวเก็บของเพื่อที่จะเดินทางไปต่างจังหวัดหรือต่างประเทศ เวลาอยู่คนเดียวก็จะรีบกินรีบเคี้ยว แต่ถ้าอยู่กับคนอื่นก็จะเปลี่ยนไปเป็นการพูดคุยสนทนากันจนลืมไปเลยว่ากินอะไรไป บางทีตักลูกชิ้นมา 5 ลูกเผลอแป๊บเดียวทำไมมันเหลือ 3 อีก 2 หายไปไหน ใครเอาไป ที่จริงไม่ได้หายไปไหน มันอยู่ในท้องตัวเองตอนที่กำลังคุยกัน
ฉะนั้นให้เข้าใจว่าเวลาที่เรามาวัดหรือที่นี่ การปฎิบัติธรรมคลุมไปถึงการกิน คลุมไปถึงการตื่น การเข้าห้องน้ำ แม้จะเป็นเรื่องทางโลกๆก็เป็นโอกาสในการปฏิบัติธรรมได้ และไม่ใช่เฉพาะเวลากิน เวลาไปตักอาหารก็เหมือนกัน ตักอาหารก็ไม่ใช่ว่าพอไปตักอาหารก็พูดคุยกัน บางทีคนก็เผลอ พระก็เผลอ พูดคุยกัน คล้ายๆกับว่าเป็นนิสัยไปแล้ว เจอกันเมื่อไหร่ต้องพูดคุยกัน
เวลาตักอาหารจึงใช้คำว่าพิจารณา พิจารณาอาหาร เพราะถ้าไม่พิจารณาก็จะเผลอพูดคุยกัน พอพูดคุยกันก็จะลืมตัว พอลืมตัวก็จะทำตามความเคยชิน ชอบกินหวาน มัน เค็ม ก็ตักเข้าไป ใส่บาตรบ้าง ใส่จานชามบ้าง ทั้งที่ร่างกายก็มีน้ำตาลเยอะอยู่แล้ว มีไขมันมากอยู่แล้ว แต่ลืมตัวไป
เพราะฉนั้นเวลาตักอาหารก็ให้พิจารณา ท่านใช้คำว่าพิจารณา แต่ไม่ใช่พิจารณาคือดูเฉยๆ ให้ตักด้วย แต่ตักอย่างมีสติ ระลึกถึงคำแนะนำของผู้รู้ ว่าน้ำตาลไขมันกินมากๆไม่ดี ทำให้เป็นเบาหวาน เป็นโรคอ้วน เป็นโรคหัวใจ บางทีบางคนก็ลืมไป พอลืมตัวแล้วกิเลสก็เข้าครอบงำ เอาความอร่อยเป็นที่ตั้ง เอาความถูกใจเป็นที่ตั้ง ยิ่งกินสุขภาพก็ยิ่งแย่
ฉะนั้นท่านจึงบอกว่าเวลากินอาหารให้พิจารณา พิจารณาคืออย่าพูดคุยกัน ดูอาหารแต่ละอย่าง แต่ละชิ้น แต่ละจาน ว่าเราควรตักไหม มีประโยชน์ต่อสุขภาพหรือเปล่า ตอนนี้สุขภาพเราเอื้อให้กินหวานมันเค็มได้มากแค่ไหน ให้รู้จักตักพอประมาณ ไม่ใช่เพื่อสุขภาพอย่างเดียว แต่เพื่อคนอื่นที่อยู่ข้างหลังที่จะมาตักอาหารด้วย และก็เตือนใจว่าที่เราตั้งใจจะกินหวานมันเค็มให้น้อยนั้น วันนี้จะทำจริงหรือเปล่า
บางคนก็บอกว่าตั้งใจอยากจะลดน้ำตาล ลดไขมัน แต่พอมาเจออาหารเข้าก็ลืมหมดเลย ยิ่งพูดคุยก็ยิ่งลืมใหญ่ว่าตั้งใจไว้ว่าจะทำอะไร เพราะฉะนั้นการพิจารณาเป็นโอกาสให้เราระลึกว่า อาหารที่อยู่ข้างหน้าเรานั้นควรจะกินมากน้อยแค่ไหน สุขภาพเราเอื้อให้ตักให้กินของหวานได้แค่ไหน กินเนื้อได้มากไหม หรือว่าควรจะกินผักเยอะๆ หรือระลึกถึงความตั้งใจที่ว่าจะคุมอาหาร แต่พอมาตักอาหารทีไรลืมทุกที จะไม่ลืมได้ยังไง พอเวลาไปตักอาหารก็คุยกันทำจนเคยชิน ออโต้ไพล็อตก็เลยเข้ามาครอบงำ
เพราะฉะนั้นให้เราพิจารณาในเวลากินอาหารก็ดี เวลาตักอาหารก็ดี ให้เราเจริญสติไปด้วย งดการพูดคุยกัน พูดคุยกันแต่น้อย อย่างน้อยก็ให้รู้ว่าสิ่งนี้เป็นธรรมเนียมของที่นี่ และไม่ใช่เป็นเพียงแค่ธรรมเนียมแต่เป็นการปฏิบัติที่จะเป็นประโยชน์ต่อเรา กลับไปบ้านแล้วก็ลองทำแบบนี้ดูบ้าง อย่างน้อยก็ที่บ้าน
แต่เวลาไปทำงานถึงเวลาข้าวเที่ยงก็อาจจะมีการพูดคุยกันบ้าง แต่ก็อย่าไปเพลินกับการพูดคุยกันจนลืมไปว่ากินอะไร เสร็จแล้วก็เผลอกินขนม ติดคอ เกิดโทษ เกิดภัย หรือกินตามใจปากจนเป็นโรคเบาหวาน จนเป็นโรคหัวใจ จนจะเป็นโรคเก๊า สารพัดโรค เพราะการกินอย่างไม่มีสติ
เพราะฉะนั้นก็ขอให้ใช้โอกาสนี้ในการปฏิบัติ เราจะเห็นคุณค่าของสติ และเห็นความสำคัญของการบริโภคอย่างเกื้อกูลต่อสุขภาพกายสุขภาพใจ เติมอาหารกาย เติมอาหารใจให้กับตัวเองในเช้าวันนี้ด้วย.