พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 2 กันยายน 2568
ผู้หญิงคนหนึ่งมีลูกน้อยอายุแค่ 3-4 ขวบ เปิดเทอมวันแรกเธอพาลูกไปส่งที่โรงเรียน ระหว่างทางผ่านเพิงที่เขาขายไข่ต้ม ขายถั่วทอด ขายหมูปิ้ง เจ้าของร้านเห็นเด็กดูน่ารักน่าเอ็นดูก็ถามว่า หนูชื่ออะไร อยู่ชั้นอนุบาลอะไร คุยกับเด็กสักพักก็ยื่นไข่ต้มให้ หนูเอาไปกินที่โรงเรียนนะ เด็กก็ดีใจ แม่ก็ยิ้ม
วันต่อมา ผ่านเพิงที่ว่านี้ เจ้าของร้านก็ยื่นไข่ต้มให้เด็กด้วยความรักด้วยความเอ็นดู และทำอย่างนี้ทุกวัน ๆ ผ่านไปเป็นเดือน
แล้ววันหนึ่งแม่ก็พานักเรียนไปโรงเรียน เหมือนเดิม ผ่านเพิงที่ขายไข่ต้มและหมูย่าง เจ้าของร้านก็ยื่นไข่ต้มให้เด็กเหมือนเคย แต่คราวนี้แม่ของเด็กบอกว่า แค่ไข่ต้มเท่านั้นหรือ แม่เด็กไม่พอใจ คงคิดว่าน่าจะให้อย่างอื่นด้วย หรือให้อย่างอื่นบ้าง เช่น หมูทอด เป็นต้น
ที่จริงถ้าเกิดว่าแม่ของเด็กมองว่า การที่เจ้าของร้านเขาให้ไข่ต้มกับลูกเป็นความเอื้อเฟื้อ เป็นความพิเศษ เธอคงจะไม่พูดอย่างนั้น แต่ที่เธอพูดอย่างนั้นคงเพราะว่ามองว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว การที่พ่อค้ามอบไข่ต้มให้กับลูกเป็นเรื่องธรรมดา เลยไม่ได้ชื่นชม ไม่ได้ยินดีอะไร บางทีถึงกับจะมองว่าน่าจะให้มากกว่านี้
ความเอื้อเฟื้อพอเราได้รับวันแล้ววันเล่า ถ้าไม่ระวัง เราจะมองว่าเป็นเรื่องธรรมดา เป็นหน้าที่ของเขาที่จะต้องทำอย่างนั้น และลึก ๆ ก็คาดหวังว่าเขาน่าจะทำได้มากกว่านั้น หรือให้อะไรเรามากกว่านั้น
สมมุติว่าถ้าเกิดพ่อค้าไม่ยื่นไข่ต้มให้กับเด็กวันหนึ่ง แม่คงจะไม่พอใจว่า ทำไมวันนี้ไม่ให้ไข่ต้มอีก เพราะเขามองว่าเป็นหน้าที่ของชายคนนั้นไปแล้ว
บางทีเราก็ทำอย่างนี้กับพ่อแม่เหมือนกัน พ่อแม่ดีกับเรา ตั้งแต่เราจำความได้ พ่อแม่เอื้อเฟื้อเกื้อกูลเรา เมตตา จนบางทีเราเผลอนึกไปว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่ท่านจะทำอย่างนั้น เราเลยไม่ยินดีเท่าไร ถ้าบังเอิญวันไหนท่านไม่ทำอย่างนั้น เราจะโกรธ
บางทีบางคนพ่อแม่ดีกับลูก ลูกอยากได้อะไรก็ซื้อให้ เป็นอย่างนี้มาจนกระทั่งลูกชินชา วันหนึ่งลูกอยากได้โทรศัพท์มือถือ พ่อแม่ไม่ให้ อาจจะเพราะเห็นว่าสิ้นเปลือง หรือเพราะว่าเดี๋ยวเด็กเอาไปเล่นเกม ลูกโกรธเลย หาว่าพ่อแม่ไม่รักลูก ความดีที่พ่อแม่ทำกลายเป็นโมฆะไปเลย เพราะอะไร เพราะเขาเห็นว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา เป็นหน้าที่
พอคนเราเห็นว่าเป็นหน้าที่ เราก็ไม่ได้ชื่นชม ถ้าวันไหนไม่ได้รับสิ่งนั้น หรือพ่อแม่ไม่ทำอย่างนั้นกับเรา เราจะไม่พอใจ หาว่าเขาบกพร่อง
บางทีพ่อแม่พูดดีกับลูกมาตลอด แล้วมีอยู่วันหนึ่งพ่อแม่เกิดอารมณ์เสีย ว่าลูก ลูกเสียใจมาก จดจำแต่เหตุการณ์วันนั้นเอาไว้ เหตุการณ์ดี ๆ ก่อนหน้านั้นที่พ่อแม่ทำกับลูกมาตลอด 10 ปี บางที 15 ปี 20 ปี ไม่มีความหมายเลย เพราะอะไร เพราะมองว่าเป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องหน้าที่
ตรงข้าม การที่พ่อแม่ว่าลูกว่าเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดา เลยจดจำเอาไว้ และมาย้ำเตือน ซึ่งมีแต่จะกรีดแทงใจตัวเองว่า แม่พ่อไม่รักเรา ลืมไปว่าท่านทำดีกับเรามาตลอด ถ้าจะนับครั้งก็เป็นหมื่นครั้งได้ แต่มีครั้งเดียวที่ท่านไม่ได้ทำอย่างนั้น เราก็เสียใจ เราก็โกรธ เราก็จดจำเฉพาะครั้งนั้นเอาไว้ หมื่นครั้งที่ท่านทำดีกับเรา เราไม่สนใจ เพราะมองว่าเป็นเรื่องธรรมดา
แต่ถ้าเรามองว่ามันเป็นความพิเศษที่ท่านทำอย่างนั้นกับเรา เราจะชื่นชม เราจะยินดี เราจะขอบคุณ เกิดความสำนึกบุญคุณของพ่อแม่
ฉะนั้น ถ้าเรามองใกล้ตัวอีกหน่อย การที่เรามีสุขภาพดี ถ้าเรามองว่าเป็นเรื่องธรรมดา เราจะไม่รู้สึกขอบคุณ หรือรู้สึกว่ามันเป็นโชคที่เรามีสุขภาพดี ยังหายใจได้ ยังมีกำลังวังชา ยังกินอิ่มนอนอุ่น
แต่ถ้าเรามองว่า การที่เรามีสุขภาพดีเป็นความพิเศษ ตรงข้าม เวลาเราเจ็บป่วย เรามองว่าเป็นความธรรมดา เราจะไม่ทุกข์มาก
แต่คนจำนวนไม่น้อยเวลาเจ็บป่วยมองว่าไม่ธรรมดา หรือมองไปถึงว่าเป็นความซวย ความย่ำแย่ แต่ช่วงเวลาที่มีสุขภาพดีเรามองว่าเป็นเรื่องธรรมดา เราเลยไม่ได้ชื่นชม ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องดีอะไรเลย
แต่ถ้ามองกลับกันว่า การที่เราเจ็บป่วยเป็นเรื่องธรรมดา เพราะคนเราเกิดมาต้องแก่ ต้องเจ็บ ส่วนการที่เรามีสุขภาพดีเป็นเรื่องพิเศษ เป็นสิ่งที่ไม่ใช่ว่าจะมีหรือเกิดขึ้นกับเราไปตลอด
เหมือนกับความดีของพ่อแม่ที่ทำกับเรา ถ้าเรามองว่าเป็นความพิเศษ แต่วันไหนที่ท่านอารมณ์เสียกับเรา หรือบางทีท่านไม่ได้ทำดีกับเราอย่างที่เคย ก็เป็นเรื่องธรรมดาของปุถุชน เราจะไม่ทุกข์
แต่เป็นเพราะเรามองตรงข้ามว่า การที่ท่านทำดีกับเราเป็นเรื่องธรรมดา แต่ที่ท่านพูดไม่ดีกับเราเป็นเรื่องที่ต้องจดจำ
คนเราถ้าหากว่าหัดมองแบบนี้บ้างว่า ความดีที่คนอื่นเขาทำกับเรา หรือการที่เรามีสุขภาพดีเป็นพิเศษ เพราะว่าไม่ใช่ว่ามันจะเกิดขึ้นได้ตลอด วันที่พ่อแม่เกิดป่วย เกิดเป็นอัลไซเมอร์ขึ้นมา ความดีที่ท่านเคยทำกับเราก็จะหายไปเลย ไม่ต้องพูดถึงว่าเวลาที่ท่านจากไป
สุขภาพเราก็เหมือนกัน ตอนนี้สุขภาพดีไม่ใช่ว่าเป็นของตาย มันเป็นความพิเศษที่ร่างกายเราทำงานได้ปกติ
ร่างกายเรามีองค์ประกอบเป็นพันเป็นหมื่น และการที่มันประสานงานกันได้อย่างราบรื่นทำให้เรามีสุขภาพดี ถ้าเกิดองค์ประกอบตัวใดตัวหนึ่งเกิดเพี้ยนขึ้นมา เกิดเสียขึ้นมา เราก็ป่วยได้ แค่สารสื่อประสาทบางตัวไม่ทำงาน จากเดิมที่เราตื่นเช้าขึ้นมาเราสดชื่นแจ่มใส กลายเป็นว่าเราหดหู่ห่อเหี่ยวแล้ว แค่ตัวเดียวเท่านั้น
ฉะนั้น การที่เราตื่นเช้าขึ้นมาสดชื่นแจ่มใส ให้มองว่าเป็นความพิเศษ เป็นโชคที่เราควรชื่นชม และตระหนักว่า มันเป็นของที่จะอยู่กับเราไม่ได้นาน
ขณะเดียวกัน เวลาเราเกิดป่วย เกิดจิตใจหดหู่ขึ้นมา ก็เป็นเรื่องธรรมดา เพราะว่าสังขารเป็นอย่างนั้นเอง
เราลองมองว่า ความเจ็บความป่วย หรือว่าความหดหู่ห่อเหี่ยวเป็นเรื่องธรรมดา ความแก่ชราเป็นเรื่องธรรมดา แต่การที่เรามีสุขภาพดี การที่เรายังหายใจได้คล่อง ราบรื่น การที่เรายังมีกำลังวังชา การที่เรายังมีความสดชื่นแจ่มใสทุกเช้าที่ตื่นขึ้นมาเป็นความพิเศษ เราจะขอบคุณที่มีวันนี้ ที่มีชั่วโมงนี้ ที่มีเวลานี้
เช่นเดียวกัน เวลาท้องฟ้าแจ่มใส เรามองว่ามันเป็นความพิเศษ ส่วนการที่ท้องฟ้าไม่เป็นไปอย่างใจเราเป็นความธรรมดา เพราะดินฟ้าอากาศแปรปรวนได้
คนเราเวลามองว่าสิ่งดี ๆ เป็นเรื่องธรรมดา เราจะทุกข์เวลาสิ่งไม่ดีเกิดขึ้น แต่ในทางตรงข้าม เวลาเรามองว่าสิ่งไม่ดีเป็นเรื่องธรรมดา ความแก่ ความเจ็บความป่วย ความพลัดพรากสูญเสียเป็นเรื่องธรรมดา แต่การที่ไม่ประสบภาวะอย่างนั้นต่างหากที่เป็นเรื่องไม่ธรรมดา เป็นความพิเศษ เราจะมีความสุข และเราจะขอบคุณเวลาเรามีลมหายใจ เวลามีสุขภาพดี เวลาพ่อแม่ทำดีกับเรา เวลาเพื่อนบ้านเขามีความเอื้อเฟื้อกับเรา แต่เวลาสิ่งนั้นไม่เกิดขึ้น เรามองเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ได้มองว่าเป็นความซวย
คนเราถ้าปรับเป็นมุมมองเสียหน่อย เห็นความดีที่คนอื่นทำกับเราเป็นเรื่องไม่ธรรมดา เป็นความพิเศษ แต่ถ้าเกิดว่าไม่มีสิ่งนั้นเกิดขึ้นกับเราเป็นเรื่องธรรมดา เราจะมีความสุขง่าย
แต่ถ้าเรามองว่า ความเจ็บความป่วย ความสูญเสียเป็นเรื่องไม่ธรรมดา เป็นเรื่องความย่ำแย่ ความซวย ขณะที่การที่มีสุขภาพดี การที่ใครเขาทำดีกับเราเป็นความธรรมดา เราจะไม่รู้จักชื่นชม ขอบคุณ และง่ายมากที่เราจะทุกข์
ลองปรับเปลี่ยนมุมมองแบบนี้บ้าง เราจะมีความสุขได้ง่าย และยอมรับความเป็นธรรมดาที่ไม่ถูกใจเรา.