พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 27 สิงหาคม 2568
ตอนนี้มีปรากฏการณ์อย่างหนึ่งเกิดขึ้นในแวดวงการศึกษาของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นเรื่องที่เราคาดเดาได้คือ ตอนนี้เด็กนักเรียนประถม มัธยมจำนวนไม่น้อยไม่ทำการบ้านเองแล้ว ใช้ AI หรือปัญญาประดิษฐ์ที่ชื่อว่า ChatGPT ซึ่งมีหลายรุ่นมาก เอามาช่วยทำการบ้าน
เขาประมาณว่าเด็กประถม 36 เปอร์เซ็นต์ ใช้ ChatGPT ทำการบ้านหรือทำรายงาน นักเรียนมัธยมก็ใช้เยอะเหมือนกัน มากกว่าเด็กประถม 44 เปอร์เซ็นต์
ตอนนี้ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นไปทั่ว ประเทศจีนก็เหมือนกัน และรวมถึงประเทศไทยด้วย แต่ประเทศญี่ปุ่นเขามีการสำรวจอย่างเป็นรูปธรรม ที่สำรวจนี้คงใช้ปัญญาประดิษฐ์นั่นแหละเช็คว่า การบ้านหรือรายงานของนักเรียนเป็นฝีมือของนักเรียนเอง หรือว่าใช้ปัญญาประดิษฐ์ช่วย
ตอนนี้เลยน่าจะมีผลกระทบต่อธุรกิจชนิดหนึ่ง แต่ก่อนธุรกิจนี้แพร่หลายในประเทศญี่ปุ่น ประเทศจีน ไทยด้วย ธุรกิจช่วยทำการบ้านให้ หรือธุรกิจรับทำการบ้านแทน เด็กจำนวนไม่น้อย ไม่ว่าประถม มัธยม แต่ก่อนพอเจอการบ้าน เจอรายงาน ไม่ทำเอง จ้าง ติดต่อทางอินเตอร์เน็ต Facebook เว็บเพจต่าง ๆ
พอเด็กมาใช้ ChatGPT ทำการบ้านแทนมากขึ้น ก็น่าจะมีผลทำให้ธุรกิจนี้ได้รับผลกระทบ เพราะไม่ต้องพึ่งคนอื่นแล้ว เพราะมี ChatGPT อยู่ในโทรศัพท์มือถือ อยู่ในคอมพิวเตอร์ของตัวเอง ก็ใช้มันทำการบ้านแทนเสียเลย
แต่ปรากฏว่า ธุรกิจรับทำการบ้านแทนที่ว่านี้เขากลับไม่ค่อยเดือดร้อนเท่าไร ยังมีงานทำอยู่เรื่อย ๆ เพราะว่ามีคนมาว่าจ้างให้มาช่วยปรับแต่งการบ้านหรือรายงานที่ใช้ AI ช่วยทำ ปรับแต่งให้มันเป็นเหมือนกับมนุษย์มนาทำ
เพราะว่าถ้าไม่ปรับแต่ง มันจะเห็นชัด บางทีโปรแกรมปัญญาประดิษฐ์ของโรงเรียนเขาจะเช็คได้ว่าไม่ใช่ฝีมือเด็ก เป็นฝีมือ ChatGPT เพราะฉะนั้น วิธีแก้คือ ก่อนที่จะส่งครู ก็ให้คนกลุ่มนี้มาช่วยปรับแก้ ปรับแต่งการเขียนคำตอบในการบ้าน ในรายงานให้เป็นมนุษย์มนาหน่อย
ที่น่าสนใจคือ คนที่มาขอให้บริษัทเหล่านี้ หรือว่าผู้ที่มีอาชีพเหล่านี้ทำ ไม่ใช่เด็ก เป็นพ่อแม่ พ่อแม่มาขอให้คนกลุ่มนี้มาช่วยปรับแต่งการบ้านหรือรายงานของลูกให้ดูเหมือนคนทำหน่อย คือดูเป็นธรรมชาติ มีผิดมีพลาดบ้าง
อันนี้น่าสนใจ แปลว่าอะไร แปลว่าผู้ปกครองหรือพ่อแม่รู้เห็นเป็นใจกับการที่เด็กไม่ทำการบ้านเอง ไม่ทำรายงานเอง กลับช่วยสนับสนุนให้การหลอกของลูกสามารถจะเล็ดลอดสายตาของครูหรือว่าของอาจารย์ได้
ทำอย่างนั้นเพื่ออะไร เพื่อช่วยให้ลูกได้คะแนนดี เอาคะแนนดีไปทำอะไร คะแนนดีก็ไปทำให้ได้เรียนต่อ เข้ามหาวิทยาลัยหรือคณะที่ดี ๆ มีชื่อเสียง เพื่ออะไร จบแล้วจะได้มีงานดี มางานดีเพื่ออะไร ก็จะมีเงินดีไปด้วย เด็กหรือลูกของตัวก็จะมีฐานะร่ำรวย และมีเงินเพื่ออะไร เพราะเชื่อว่ามีเงินแล้วลูกจะมีความสุข
นี่คือความคิดของผู้ปกครองหรือพ่อแม่จำนวนมาก จึงรู้เห็นเป็นใจ ทำอย่างไรก็ได้เพื่อช่วยให้ลูกสามารถจะได้คะแนนดี ๆ จากอาจารย์ จากครู
อันนี้เป็นเรื่องที่จะเรียกว่าน่าเป็นห่วงก็ได้ เด็กไม่ทำการบ้านเองก็น่าเป็นห่วงอยู่แล้ว แต่ที่น่าเป็นห่วงยิ่งขึ้นคือ พ่อแม่ก็ร่วมสนับสนุนเด็กด้วย
เพราะพ่อแม่คงรู้ว่าถ้าไม่พึ่งบริการของผู้ที่มีอาชีพปรับแต่งคำตอบการบ้าน หรือว่ารายงานการวิจัย ครูอาจารย์จะดักจับได้ว่าผลงานของเด็กใช้ ChatGPT หรือ AI ช่วย เลยต้องพึ่งผู้เชี่ยวชาญเพื่อมาดัดแปลงตกแต่งให้มันดูดี เป็นมนุษย์มนา เป็นธรรมชาติมากขึ้น
แต่ที่จริง ต่อไปถ้าพ่อแม่เขามีประสบการณ์มากขึ้น เขาคงจะรู้ว่า ของแบบนี้ทำเองก็ได้ เผลอ ๆ พ่อแม่ทำให้ลูกเองเลย ไม่ต้องไปจ้างใครมาทำให้
อันนี้เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง เพราะว่าถ้าหากว่าเด็กไม่มีความรู้ แม้จะมีคะแนนดี ไม่ใช่ว่าจบไปแล้วจะมีเงินดีหรือร่ำรวย เพราะอย่างไรความรู้ก็สำคัญกว่าคะแนน
เพื่อน ๆ หรือคนที่อาตมารู้จักหลายคน ตอนเรียนหนังสือคะแนนก็ไม่ค่อยดี บางคนก็คาบเส้น 50-60 เปอร์เซ็นต์ สมัยก่อนคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ ได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยก็ไม่ได้เป็นมหาวิทยาลัยดังเท่าไร ไม่ได้เรียนแพทย์ ไม่ได้วิศวะ ไม่ได้เรียนสถาปัตย์
แต่ปรากฏว่าจบมาแล้วเขามีงานทำที่ดี ส่วนใหญ่ทำธุรกิจ ทำการค้า ไม่ได้เป็นข้าราชการ ไม่ได้เป็นหมอ ไม่ได้กินเงินเดือน แต่ปรากฏว่าร่ำรวย ร่ำรวยกว่าเพื่อนที่สอบได้คะแนนดี ร่ำรวยกว่าเพื่อนที่จบมหาวิทยาลัยดัง ๆ ร่ำรวยกว่าเพื่อนที่มีอาชีพดี ๆ เป็นที่นับหน้าถือตา หลายคนไปเป็นลูกน้องของเพื่อนคนที่เรียนคาบเส้นนี้แหละ
อย่างไรก็ตาม แม้จะรวย แม้จะมีเงิน ไม่ได้แปลว่าจะมีความสุข เพราะหลายคนที่ร่ำรวยที่อาตมารู้จัก เขาไม่ได้มีความสุขอะไรมากเลย ผิดกับบางคนที่อาจจะไม่มีเงินมากมาย แต่ว่าเขามีความสุข มีชีวิตครอบครัวที่ราบรื่น มีความสัมพันธ์ที่ดีกับลูก ไม่มีการทะเลาะเบาะแว้งกับลูก ไม่มีการเหินห่างหมางเมินกับคู่รัก อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขก็มี
เพราะฉะนั้น นี่คือเรื่องที่พ่อแม่จะต้องเข้าใจว่า การที่จะช่วยให้ลูกได้คะแนนดี ๆ เพื่อให้ได้มหาวิทยาลัยดี ๆ มีงานดี ๆ ทำ ไม่แน่เสมอไป
และที่สำคัญคือว่า แม้จะมีเงินมีทองมาก แต่ไม่ได้แปลว่าจะมีความสุข
ที่พูดนี้อาจจะสรุปจากประสบการณ์ของคนวัยอาตมา หรือวัยก่อนหน้านี้ สำหรับวัยรุ่น วัย Gen Z Gen Y ดูเหมือนโลกอาจจะเปลี่ยนไป แต่คิดว่าอย่างไรคงไม่ต่างจากนี้คือว่า คะแนนดีไม่ได้แปลว่าจะมีความรู้ และคะแนนดีก็ไม่ได้แปลว่าจะมีความสุขในบั้นปลาย แม้จะร่ำรวยเพียงใดก็ตาม
ที่สำคัญคือว่า ถ้าคะแนนดี แต่ความรู้ไม่มี ประสบการณ์ไม่มี จะหางานทำที่ไปได้อย่างก้าวหน้าก็ยาก เพราะสมัยนี้ไม่ใช่แค่กินเงินเดือนแล้วจะไปได้ดี ต้องมีความรู้ ต้องมีประสบการณ์ ต้องรู้จักใช้ความคิด คิดเป็น คิดสร้างสรรค์ ซึ่งพวกนี้ไม่เกี่ยวกับคะแนนที่ได้ในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยด้วยซ้ำ อันนี้เป็นเรื่องที่พ่อแม่ผู้ปกครองควรจะตระหนักเอาไว้.