พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้า วันที่ 22 สิงหาคม 2568
มีผู้หญิงคนหนึ่งแม่ป่วยหนัก เธอก็ไปดูแลแม่ที่โรงพยาบาลจนกระทั่งเสียชีวิต แม่เสียชีวิตตอนเช้ามืด เธอก็พาแม่ไปที่วัดตอนสาย ตอนเที่ยงก็สวดพระอภิธรรม บ่าย 3 ก็เผาเลย ตอนเช้า 6 โมงก็ไปเก็บเถ้า เก็บอัฐิ 10 โมงก็ไปลอยอังคาร
ตอนที่ไปลอยอังคารนั้นก็ไม่ได้มีพระไปทำพิธี ลูกสาวก็เพียงแต่จุดธูปแล้วก็บอกแม่ว่า แม่ไปเลยนะ ไปตามสบาย ไม่ต้องห่วงใคร ทุกคนมีกรรมเป็นของตัว แม่ไปตามแสงสว่างเลย ตอนนี้ไม่มีสังขารให้ทุกข์ทรมานแล้ว ยินดีด้วย
แล้วเธอก็โปรยลอยอังคารจนไม่เหลือ ไม่มีการเก็บเอาไว้ ทั้งหมดนี้ใช้เวลาประมาณ 24 ชั่วโมงเศษๆ เท่านั้นเอง เธอบอกว่าค่าใช้จ่ายก็ไม่มากเท่าไหร่ 35,000 บาท ญาติพี่น้องก็ช่วยกันรับผิดชอบค่าใช้จ่าย ซึ่งรวมไปถึงค่าอาหารเลี้ยงพระด้วย
ส่วนของชำร่วย เพื่อนๆก็ช่วยกันหามา ญาติที่มาไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ทำบุญอุทิศให้แม่ที่บ้านก็ได้ เรียกว่าเป็นการจัดงานศพที่เรียบง่ายมาก
หลายคนสงสัยว่าแบบนี้จะบาปไหม จะถูกหลักพุทธศาสนาไหม ที่จริงพุทธศาสนาไม่ได้มีข้อบังคับหรือข้อกำหนดอะไรมากเกี่ยวกับเรื่องงานศพ เพียงแต่ว่ามีความเชื่อว่า วิญญาณของผู้ตายจะไปสู่สุคติหรือทุกข์คติ ขึ้นกับบุญหรือบาปที่ได้ทำ
แต่ถ้าผู้ที่ยังอยู่จะเกื้อกูลผู้ที่จากไป ก็ทำบุญอุทิศไปให้ ก็เลยเกิดประเพณีทำบุญอุทิศให้กับผู้ตาย ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าผู้ตายอยู่ในภพภูมิที่เหมาะกับการได้รับส่วนบุญนั้นไหม พิธีเลี้ยงพระ พิธีถวายสังฆทาน รวมทั้งการทอดผ้าบังสุกุลก็เกิดเพราะเหตุนี้
ส่วนเรื่องการปลงศพก็เป็นเรื่องที่ต้องทำอยู่แล้ว ไม่มีพิธีอะไรมากอย่างมาก อย่างมากก็มีธรรมเนียมให้พระมารับผ้าบังสุกุลและพิจารณาอนิจจา ไม่ได้พิจารณาเพื่อผู้ตาย แต่พิจารณาเพื่อผู้ที่ยังอยู่ คือผู้ที่รับผ้าบังสุกุล
จริงๆพิธีกรรมไม่มีอะไร ถ้าพูดถึงพิธีกรรมทางพุทธศาสนา แต่สิ่งที่เราเห็นตามประสบการณ์นั้นเป็นพิธีที่งอกเงยขึ้นมาตามประเพณีท้องถิ่น ซึ่งเดิมก็มีประโยชน์ คือนอกจากการทำบุญที่อุทิศให้กับผู้ตาย
ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องของความเชื่อทางพุทธศาสนา ก็ยังมีพิธีที่ช่วยบรรเทาความเศร้าโศกของผู้สูญเสีย
การจัดงานศพนั้นจะว่าไปแล้ว ก็เป็นโอกาสในการที่ญาติมิตรจะมาช่วยบรรเทาความทุกข์ของผู้สูญเสีย คนเราเวลามีความเศร้าโศกแล้ว มีเพื่อนมาหา มีมิตรสหายมาเยี่ยม ก็คลายความเศร้าโศกไปได้อย่างน้อยก็ชั่วระยะเวลาหนึ่ง นอกนั้นก็เป็นพิธีที่ช่วยเตือนใจผู้ที่ยังอยู่ ให้ตระหนักถึงความไม่เที่ยงของสังขารซึ่งก็เป็นเรื่องความเชื่อของศาสนาก็ว่าได้
แต่ก็ไม่ได้มีพิธีที่กำหนดไว้อย่างชัดเจน และก็เป็นโอกาสรวมญาติด้วย พอมีคนตาย พี่น้องที่อยู่ไกลก็มาเจอกัน ญาติมิตรสหายที่อยู่ไกลก็มาพบปะกัน เป็นส่วนเสริมตามประเพณีความเชื่อ
แต่ตอนหลังเราไปเข้าใจว่าเป็นพิธีทางศาสนา ไม่ทำไม่ได้ ที่จริงไม่ใช่ สมัยก่อนนั้นพอพระมรณภาพก็เผาวันนั้นเลย หลวงปู่มั่นท่านก็ทำเช่นนี้กับพระที่เป็นลูกศิษย์ของท่านที่ไปจาริกธุดงค์ด้วยกัน
ที่จริงชาวบ้านสมัยก่อนแม้กระทั่งที่นี่เมื่อ 30-40 ปีก่อนนั้น เขาทำงานศพแค่วันเดียว สวดแค่วันเดียวก็เผา ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่าเก็บศพนานไม่ได้ ไม่เช่นนั้นศพก็จะไม่สวย อืด แต่สมัยนี้เรามีโลงเย็นก็เลยเก็บศพได้นาน
อีกอย่างที่สวดหลายวันก็เพราะว่าเปิดโอกาสให้ญาติ มิตรสหาย ลูกๆที่อยู่ไกลได้มางานศพได้ทัน เพราะเดี๋ยวนี้คนไทยเราเดินทางไปทำงานกันไกลมาก พ่อแม่อยู่ชัยภูมิแต่ลูกอยู่ปักษ์ใต้ หรือหลานบางทีอยู่ปักษ์ใต้ จะเผาทันทีไม่ได้ต้องค้างไว้ก่อน สักวันสองวัน เพราะถ้าหากว่าลูกหลานมางานศพไม่ได้ก็จะเสียใจ
ทั้งหมดนี้มีความหมายในทางจิตใจ แต่ไม่ใช่เป็นเรื่องของศาสนา พุทธศาสนานั้นไม่มีพิธีกรรมอะไรมาก แต่เดี๋ยวนี้พิธีกรรมได้งอกเงยขึ้นมามาก และคนคิดว่าต้องทำ ไม่ทำไม่ได้ เป็นบาป เช่น พิธีทอดผ้าบังสุกุล
แล้วเดี๋ยวนี้ก็ทำกันแบบเกินเลยไปมาก แต่ก่อนทอดผ้าบังสุกุลก็แค่ทอดผ้าผืนเดียว เดี๋ยวนี้ทอดผ้ากัน 60 ผืน 80 ผืน ซึ่งส่วนใหญ่ก็เริ่มต้นมาจากข้าราชการ
งานศพส่วนใหญ่ไม่ใช่เพื่อผู้ตายแต่เพื่อผู้ที่ยังอยู่ นอกจากเพื่อช่วยบรรเทาการเศร้าโศกของผู้ที่สูญเสียแล้ว บางทีก็เพื่อหน้าตาด้วย เพราะแขกเหรื่อของเจ้าภาพเป็นข้าราชการนั้น บางทีก็มีหัวหน้ากรม กอง อธิบดี ผู้อำนวยการ หรือบางทีก็มีนายกเทศมนตรี ใหญ่ๆทั้งนั้น
ถ้าจะให้คนใดคนหนึ่งไปเป็นผู้ทอดผ้า คนอื่นก็จะรู้สึกว่าทำไมไม่เรียกฉันไป รู้สึกเสียหน้า ก็อาจจะมาต่อว่าเจ้าภาพ เจ้าภาพก็เลยแก้ปัญหาให้ทอดผ้ากันหมด
ตอนหลังพอประเพณีแพร่หลายไปถึงหมู่บ้าน ก็กลายเป็นว่า ผู้ใหญ่ในหมู่บ้านทุกคนถูกเชิญให้มาทอดผ้า และผ้าที่ทอดนั้นตนเองก็ไม่ได้ไปหามา เจ้าภาพเป็นคนหามาให้ คนทอดก็ไม่ได้บุญ เพราะไม่ใช่ผ้าที่ตนเองหามา และเสียเวลามาก เสียเงินเสียทอง
หลวงพ่อคำเขียนก่อนที่ท่านมรณภาพ ท่านสั่งไว้ในพินัยกรรมว่า ไม่มีการทอดผ้าบังสุกุลในงานศพท่าน หลายคนไม่เข้าใจ ก็เป็นเพราะว่าต้องการตัดความฟุ้งเฟ้อซึ่งไม่มีประโยชน์
เวลาจัดงานศพหลายคนไม่เข้าใจความหมายก็เลยทำตามประเพณีอย่างไม่พิจารณา เช่น จะสวดศพต้องสวดเลขคี่เป็น 5 วันบ้าง 3 วันบ้าง จะมาสวด 4 วันไม่ได้ ถ้าสวด 4 วันก็ต้องนิมนต์พระเทศน์ 2 จบ 2 เที่ยว พอบางรายเขาบอกว่าสะดวก 4 วัน ทางวัดก็ทักท้วงว่าไม่ได้
ที่จริงในชนบทหรือแต่ก่อน ไม่มีกำหนดวัน จะ 1 วัน หรือ 2 วันก็ได้ แต่เดี๋ยวนี้เราไปหลงกับประเพณีพิธีกรรมมาก ต้องสวด 3 วัน 5 วันและสวดเลขคี่ สวดเลขคู่ไม่ได้ จะสวดเลขคู่ต้องแก้เคล็ดด้วยการนิมนต์พระสวด 2 จบ
อย่างนี้ก็เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน กลายเป็นความหลงงมงาย ยึดติดในประเพณี เรียกว่าเป็นสีลัพพตปรามาสอย่างหยาบๆ
ก็ให้เข้าใจความหมายว่า เราจัดงานศพเพื่ออะไร เพื่อทำบุญอุทิศให้กับผู้ตาย ซึ่งจะทำเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่ใช่เฉพาะทันทีที่ผู้ตายจากไป จะสวดวันเดียวหรือไม่สวดก็ได้ แล้วไปทำบุญทีหลังก็ยังได้
ส่วนการจัดงานศพหลายวันก็ต้องเข้าใจว่าไม่ใช่เป็นเรื่องของประเพณีความเชื่อของศาสนา แต่เป็นการอำนวยความสะดวกให้กับผู้ที่มาไม่ทัน หรือบางทีอยากจะมาร่วมงานศพแต่ถ้าจัดงานวันเดียวก็เป็นวันที่ไม่ว่าง ถ้าจัดหลายวันเขาจะได้จัดหาเวลาว่างมางานศพได้ แล้วเขาได้มางานศพเขาก็สบายใจว่าได้ช่วยเหลือผู้ที่ยังอยู่ ซึ่งมีพระคุณ หรือได้ตอบแทนบุญคุณของผู้ที่จากไป ซึ่งเป็นผู้ใหญ่
ให้เราเข้าใจความหมายหรือจุดมุ่งหมายของประเพณีแต่ละอย่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่ไม่เกี่ยวกับความเชื่อทางศาสนา แต่มีประโยชน์ แต่ถ้าเราไม่เข้าใจมันก็จะกลายเป็นการสร้างปัญหาให้เกิดขึ้น เช่น ต้องมีของชำร่วยไหม ก็ไม่จำเป็น ไม่มีของชำร่วยก็ได้ ไม่ใช่งานแต่งงาน
แต่ประเพณีของชำร่วยเราต้องรู้ว่ามันมีมาเมื่อ 100 ปีที่แล้ว เริ่มต้นจากการแจกหนังสือสมัยรัชกาลที่ 5 เพราะกรมหลวงดำรงราชานุภาพนั้นท่านเป็นนายกราชบัณฑิตสภา ท่านเห็นหนังสือเก่าๆมีเยอะ อยากจะสืบทอดรักษาของเก่าเอาไว้ก็เลยออกอุบายว่า ให้เจ้าภาพพิมพ์หนังสือเหล่านี้ในงานศพ เช่น สามก๊ก ราชาธิราช พระนนท์คำฉันท์ พวกนี้ถ้าไม่พิมพ์แจกในงานศพก็จะสูญไป
แต่ว่ากรมพระยาดำรงราชานุภาพท่านฉลาด ท่านก็ชวนเจ้าภาพซึ่งแต่ก่อนนั้นเป็นขุนนาง ว่าให้มาพิมพ์สิ เป็นบุญกุศลให้กับผู้ที่ล่วงลับ หนังสือเก่าๆที่ตกทอดมาจนถึงทุกวันนี้ ตั้งแต่ที่เขียนในสมัยรัชกาลที่1-2-3 มาถึงเราทุกวันนี้ได้ ก็เพราะประเพณีแจกหนังสือในงานศพ
แต่ตอนหลังคนไม่อ่านหนังสือกันแล้วเจ้าภาพทำก็ไม่มีคนอ่าน มีแต่พวกพ่อค้าของเก่ามารับไปขาย บางรายก็เลยเปลี่ยนเป็นแจกซีดีบ้าง หรือไม่ก็แจกของอย่างอื่น ตอนหลังก็ต้องหาของแพงๆมา เช่น ถ้วยสแตนเลส มาแจกให้สมฐานะ
ที่จริงแล้วเรื่องการแจกหรือการทำหนังสืองานศพนั้น เราไปเน้นเรื่องการสมเกียรติ แต่ที่จริงควรเน้นเรื่องความสมธรรม งานศพหลวงพ่อคำเขียนนั้น หลายคนก็อยากให้สมเกียรติ แต่อาตมาบอกว่าสิ่งสำคัญคือการจัดให้สมธรรม
สมธรรมของหลวงพ่อ ท่านสอนเรื่องความเรียบง่ายก็จัดให้มันเรียบง่าย ไม่ต้องมีการพระราชทานเพลิงศพ จัดงานศพไม่เกิน 15 วัน ไม่มีการทอดผ้าบังสุกุลด้วยเหตุผลอย่างที่ว่ามาแล้ว และสวดเป็นภาษาไทย อภิธรรมก็จริง แต่สวดเป็นภาษาไทย
เหล่านี้มีความหมาย มีจุดมุ่งหมาย ไม่เกี่ยวกับประเพณีพิธีกรรมที่เราทำกันมาแบบงมงาย โดยที่ไม่รู้ว่าบางอย่างนั้นเป็นของที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อเร็วๆนี้เอง เช่นทอดผ้าบังสกุล 60 ผืน 80 ผืน 100 ผืนเหล่านี้เพิ่งเกิดขึ้นมาไม่กี่ 10 ปีมานี้เอง
แม้กระทั่งการนุ่งผ้า ใส่เสื้อสีดำ สีขาว ก็เป็นประเพณีที่เพิ่งมา สมัยก่อนใส่เสื้อสีอะไรก็ได้ในประเพณีไทย แต่ตอนหลังประเพณีของชนชั้นกลางก็ต้องทำให้สวย ให้เป็นระเบียบ ก็ต้องใส่ชุดดำ เข้าใจได้
เพราะฉะนั้นงานศพนั้นถ้าเราเข้าใจ จุดมุ่งหมายนอกจากจะไม่สร้างภาระให้กับลูกหลานแล้ว ก็ยังช่วยส่งเสริมธรรมด้วย โดยเฉพาะปัจจุบันงานศพสิ้นเปลืองมาก สวดในกรุงเทพ 3 วันก็ 90,000 บาท เฉพาะสวดอย่างเดียวหรือเฉพาะงานในวัด ไม่นับค่ารถ ค่าโลงหรือค่าใช้จ่ายอื่นๆ ซึ่งไม่จำเป็นต้องเสียเงินมากขนาดนั้น
ถ้าเข้าใจสาระแล้วไม่ต้องสวดเลยก็ได้ ไปทำบุญเอาวันหลัง เผาวันนั้นเลย ไม่ต้องมีของชำร่วยแจกก็ได้ ไม่ต้องมีการทอดผ้าบังสุกุลก็ได้ ถ้าเข้าใจสาระ ไม่ผิดหลักพุทธศาสนา แต่เป็นพิธีกรรมเพื่อช่วยเยียวยาความทุกข์ ความเศร้าโศกของผู้ที่ยังอยู่ และเพื่อช่วยทำให้เกิดความสมานสามัคคีกัน
แต่ปัจจุบันนี้งานศพก็อาจจะไม่ได้ทำหน้าที่นั้นแล้วก็ได้ เพราะกลายเป็นเรื่องพิธีกรรมไปมาก ก็ให้เราทราบเอาไว้
อีกเรื่องหนึ่ง ที่วัดป่าสุคะโตวันนี้เรามีกิจกรรม ตามรอยหลวงพ่อคำเขียน ชีวิตและคำสอนของหลวงพ่อนั้นปรากฏเป็นรูปธรรมจากสถานที่ต่างๆในวัด ไม่ว่าจะเป็นศาลาหน้า หอไตร ศาลาไก่ หรือแม้กระทั่งสิ่งที่เป็นสวนที่เราเคยเรียกกันว่าพุทธเกษตร ใครสนใจ เชิญร่วมงานนี้ได้ เริ่ม 9.15 น.พบกันที่ศาลาหน้า จะมีพระอาจารย์สันติพงศ์หรือพระอาจารย์ตุ้มเป็นมัคคุเทศก์พานำ
ใครที่ยังไม่รู้จักหลวงพ่อคำเขียน หรือไม่รู้จักวัดนี้ก็เป็นโอกาสชม แล้วจะมาบรรจบที่กุฎิที่หลวงพ่อท่านได้มรณภาพ ซึ่งจะใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่งในเช้านี้.