พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 11 สิงหาคม 2568
มีคนสงสัยว่า ในเมื่อไม่มีตัวเราแล้วจะเจริญสติไปเพื่ออะไร เพราะว่าเมื่อไม่มีตัวเราก็ไม่มีเราเป็นผู้รับผลของการไม่มีสติ
อันนี้ฟังดูก็มีเหตุผล แต่ว่าจริง ๆ แล้วมันไม่ใช่อย่างนั้นทีเดียวนัก เพราะแม้ไม่มีตัวเราแต่มันก็ยังมีกายกับใจ ถ้าหากว่าไม่มีสติใจก็ถูกอกุศลธรรมครอบงำได้ง่าย มีความโกรธ มีความรุ่มร้อน มีความเศร้าความโศก โดยเฉพาะที่สำคัญคือมีกิเลสครอบงำ ซึ่งก็สามารถจะชักนำให้ทำบาป ผิดศีล หรือไปเบียดเบียนผู้อื่นได้
แน่นอนว่าเมื่อไปเบียดเบียนผู้อื่นเขาก็ต้องตอบโต้กลับมา เกิดผลกระทบที่กาย เกิดผลกระทบที่ใจ กายทุกข์ใจทุกข์ แต่มันไม่ใช่แค่นั้นเพราะว่าเมื่อไม่มีสติ ไม่มีความรู้สึกตัว มันก็มีการปรุงตัวกูขึ้นมา
ตัวกูที่ถูกปรุงขึ้นมานี่แหละที่มันจะเป็นผู้ทุกข์ เมื่อมีใครมาทำร้ายกายให้เจ็บ ไม่ใช่แค่กายที่เจ็บ ยังมีกูรู้สึกเจ็บด้วย เมื่อมีใครมาด่ามันก็ไม่ใช่แค่ลมปากเฉย ๆ มันจะมีความสำคัญมั่นหมายว่ากูถูกด่า ยังไม่ต้องพูดถึงว่า อกุศลธรรมที่จะเกิดขึ้นกับใจ ความโศกความเศร้า ความเครียด ความเกลียด ไม่เพียงแต่เผาลนจิตใจแต่มันทำให้ตัวกูพลอยทุกข์ไปด้วย
ที่จริงคำถามนี้ใกล้เคียงกับคำถามที่ว่า ทำไมเราต้องทำความดี ทำไมเราต้องปฏิบัติธรรม ในเมื่อไม่มีตัวกูเป็นผู้รับผลของการทำความชั่ว ไม่มีตัวกูเป็นผู้รับผลของการเบียดเบียนหรือผิดศีล
ถึงแม้ว่าจะไม่มีตัวกู แต่การกระทำไม่ว่าด้วยกายหรือด้วยใจ มันไม่สูญเปล่า ย่อมเกิดผลกระทบตามมา หากเป็นกรรมชั่วก็เกิดวิบากที่เป็นอกุศล เป็นกรรมดีก็เกิดวิบากที่ดีเมื่อมากระทบกับกาย เมื่อมากระทบกับใจ แล้วมันไม่ใช่แค่นั้น เป็นเพราะสำคัญมั่นหมายว่ากายนี้เป็นกู ของกู หรือสำคัญว่าใจนี้เป็นกู ของกู
อะไรกระทบที่กาย ถ้าเป็นทุกข์ มันไม่ใช่แค่กายที่ทุกข์ กูก็ทุกข์ด้วย เมื่อมีอะไรมันกระทบที่ใจ ไม่ใช่ใจที่ทุกข์อย่างเดียว มันก็มีกูทุกข์ด้วย
เพราะฉะนั้นถ้าไม่อยากให้มีความทุกข์เกิดขึ้นกับเรา เราก็ต้องหมั่นทำความดี รักษาศีล ปฏิบัติธรรม รวมทั้งการเจริญสติด้วย
จริง ๆ ถ้าพูดถึงความจริงแล้ว มันไม่มีตัวกู ไม่มีของกู อันนี้เป็นสัจธรรม แต่มันไม่สำคัญเท่ากับว่าหากเรามีความสำคัญมั่นหมายว่า มีกู มีของกู แม้ความสำคัญมั่นหมายมันจะไม่จริง มันจะเป็นแค่การปรุงแต่ง แต่มันก็มีผล มีอานุภาพ
ความสุขความทุกข์ของคนเราไม่ได้อยู่ที่ว่าความจริงคืออะไร แต่อยู่ที่ความเชื่อ ถ้านอนในบ้าน นอนในกุฏิแล้วเชื่อว่ามีผี มีงูซุกซ่อนอยู่ใต้เตียงหรือบนหลังคา หรือมีคนที่จะมุ่งทำร้ายเรา จ้องรอโอกาสอยู่ข้างนอก ความจริงไม่มีอะไรเลย ปลอดภัย
แต่ถ้าเชื่อว่ามันมีผี มีงู มีคนที่หมายปองร้ายแล้ว เกิดอะไรขึ้น ก็นอนไม่หลับ หวาดผวา ตื่นตระหนก บางทีถึงกับหัวใจวายเลยด้วยซ้ำ ถ้าเกิดมีเสียงกุกกักขึ้นมา จริง ๆ แล้วก็เป็นเสียงที่เกิดจากลมมาพัด กิ่งไม้มากระทบ แต่ว่าถ้าไปคิดปรุงแต่งว่ามันเป็นเสียงผี เสียงของคนที่มุ่งร้าย อาจจะช็อกได้
ความจริงเป็นอย่างไรไม่สำคัญเท่ากับว่าความเชื่อ มีผู้ชายคนหนึ่งไปตรวจสุขภาพ ตรวจทั้งตัวเลย ทั้งหัวใจทั้งปอด ตรวจเลือด สุดท้ายหมอบอกว่า คุณหัวใจรั่ว แกตกใจมากเลย เพราะแกเข้าใจว่าหัวใจรั่วก็หมายความว่าหัวใจมันมีรู เวลามันเต้นเลือดก็กระฉูดออกมา อย่างนี้ก็ตายสิ ปรากฏว่า 2 วันเท่านั้นต้องเข้าโรงพยาบาล ไม่กี่วันต่อมาก็เข้าห้องไอซียู แล้วไม่ได้ออกมาเลย
จริง ๆ หมอตั้งใจจะบอกแกว่า แกลิ้นหัวใจรั่ว ซึ่งลิ้นหัวใจรั่วนี่ก็ยังทำอะไรได้ปกติ เล่นกีฬาก็ยังได้ ความจริงคือลิ้นหัวใจรั่ว แต่ไปคิดว่าเป็นหัวใจรั่ว หัวใจรั่วแบบประเภทเลือดพุ่งออกมาตามรูรั่ว มันห่างจากความจริงเยอะเลย ลิ้นหัวใจรั่วไม่ได้ทำให้ตายแต่ความเชื่อว่าหัวใจรั่วทำให้ตายได้
เพราะฉะนั้นแม้จะไม่มีตัวกู ของกู แต่ตราบใดที่คนเรายังยึดมั่นว่า มีกู มีของกู ตรงนี้แหละที่มันสามารถจะก่อทุกข์ได้ เวลาพบว่ามีคนมากวาดเอาเงินไปหมดจากบัญชีธนาคาร ทั้งที่เงินไม่ใช่ของกู แต่เป็นเพราะสำคัญมั่นหมายว่า เงินของกู ๆ พอรู้ข่าวเข้า ช็อกเลย หรือไม่ก็กลัดกลุ้ม
ความจริงเป็นอย่างไรไม่สำคัญเท่ากับว่าเชื่ออย่างไร มีผู้หญิงคนหนึ่งได้รับโทรศัพท์กลางดึก ปลายสายบอกว่า ลูกของคุณจะประสบอุบัติเหตุ ขับรถชนตายคาที่
ผู้หญิงที่เป็นแม่นี่ช็อกเลย หัวใจวาย จริง ๆ ลูกก็ยังอยู่ ลูกไม่ได้ตาย แต่เพราะไปเชื่อว่าลูกตาย และยิ่งกว่านั้นไปยึดมั่นสำคัญหมายว่าเป็นลูกของกู ๆ ทั้งที่ความจริงลูกคนนั้นไม่ใช่ของใครเลย แล้วเขาก็ไม่ได้ตายด้วย
ความจริงเป็นอย่างไรไม่สำคัญเท่ากับว่าเราคิดอย่างไร หรือเชื่ออย่างไร
เพราะฉะนั้นแม้ว่าจะไม่มีตัวกูแต่ตราบใดที่ยึดมั่นสำคัญหมายว่ามีกู ๆ มีของกู ก็สมควรที่จะต้องทำความดี สมควรที่จะต้องปฏิบัติธรรม เพื่อไม่ให้เกิดความรู้สึกทุกข์ขึ้นมาเมื่อมีอะไรมากระทบกับกาย เมื่อมีอะไรมากระทบกับใจ เมื่อมีอะไรมากระทบกับคนรัก ทรัพย์สมบัติ เพราะตราบใดที่ยังยึดมั่นมาเป็นของกู ๆ มีอะไรมากระทบถ้าเป็นเรื่องร้าย มันไม่ใช่แค่กายที่ทุกข์ ไม่ใช่แค่ทรัพย์สมบัติที่หายไป แต่ว่ามันมีความรู้สึก กู กูทุกข์ กูสูญเสีย
และนี่คือเหตุผลที่เราควรปฏิบัติธรรม รวมทั้งการเจริญสติด้วย ทีแรกเราก็เจริญสติเพื่อรักษาใจไม่ให้อารมณ์อกุศลครอบงำ เวลามีอะไรมากระทบในทางลบ มีอนิฏฐารมณ์เกิดขึ้น รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสที่ไม่น่าพอใจ มากระทบกับตา หู จมูก ลิ้น กาย
หรือบางทีใจมันเผลอคิดไปสารพัดเลย คิดถึงเรื่องร้ายในอดีต ไปจ่อมจมอยู่กับความทรงจำที่เจ็บปวดเมื่อปีที่แล้ว หรือไปวิตกกังวลกับภาพอนาคตที่สร้างขึ้น ทั้งที่มันยังไม่เกิดขึ้นเลยแต่ว่ามันก็ทำให้เกิดความเศร้า เกิดความวิตกกังวล
อารมณ์พวกนี้แหละ ถ้าหากว่าไม่มีสติรักษาใจ มันก็จะไปครอบงำจิต เผาลนจิต กรีดแทงจิต และยิ่งมีความสำคัญมั่นหมายว่าอารมณ์เหล่านั้นเป็นกู เป็นของกู มันก็ไม่ใช่แค่จิตทุกข์แต่กูทุกข์ด้วย ไม่ใช่แค่มีความโศกความเศร้าเกิดขึ้น แต่ก็ยังมีกูผู้โศกผู้เศร้า กูผู้ทุกข์
แต่ถ้าหากว่าเรามีสติที่รวดเร็ว พอมีอารมณ์อกุศลเกิดขึ้นก็รู้ทันมัน รู้แล้วก็ จะเรียกว่าวางก็ได้ ที่จริงก็ไม่ใช่วาง แต่ว่าพอรู้แล้วอารมณ์นั้นก็ตั้งอยู่ไม่ได้ มันก็เลือนหายไปเหมือนกับไฟที่มอดดับเมื่อไม่มีออกซิเจน
อารมณ์พวกนี้เกิดขึ้นได้เมื่อมีความหลง แต่เมื่อสติเกิด ความรู้สึกตัวตามมา ความหลงหายไป อารมณ์พวกนี้ก็ดับไปด้วย มันดับไป เราก็เรียกว่าปล่อยก็ได้ สติทำให้รู้ทันอารมณ์นั้นแล้วก็วางมัน เพราะไม่อย่างนั้นก็จะไปยึดอารมณ์นั้น ไปยึดมั่นสำคัญหมายว่า เป็นกู เป็นของกู แล้วก็ปรุงไปใหญ่เลยด้วยความไม่รู้เนื้อรู้ตัว มันก็เติมเชื้อเติมไฟเข้าไป เติมเชื้อเติมฟืนเข้าไป
แต่พอเรามีสติรู้ทัน อารมณ์เหล่านี้ก็ดับไป เมื่อดับไปสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือความสงบ เป็นความสงบที่เกิดจากการรู้ทัน เป็นความสงบที่แม้จะมีอะไรมากระทบ แม้ตาจะเห็น หูจะได้ยิน แต่ว่าก็ยังสงบได้ ไม่ใช่เป็นความสงบที่เกิดจากการที่ไม่รับรู้อะไร ปิดตา หรือว่าเก็บตัวอยู่ในห้อง ไม่ไปเกี่ยวข้องกับใคร ไม่ไปรับรู้อะไรก็สงบได้ อันนั้นก็มีประโยชน์อยู่
แต่เนื่องจากเราต้องออกไปเกี่ยวข้องกับผู้คน แม้เป็นพระ แม้เป็นนักบวชอยู่ในวัดก็ต้องเจอผู้คน หรือเจอแมลง เจอสิงสาราสัตว์ เจอสิ่งที่ถูกใจบ้าง ไม่ถูกใจบ้าง เพราะฉะนั้นมันก็ย่อมมีการกระทบเกิดขึ้น แต่เมื่อมีการกระทบแล้ว แม้อารมณ์อกุศลเกิดขึ้นตามมาก็รู้ทันอารมณ์นั้น ไม่ปล่อยให้มันครอบงำใจ
อันนี้ก็เรียกว่าทำให้ใจสงบได้ ไม่มีอารมณ์มารบกวน ไม่ใช่ไม่มีอารมณ์เกิดขึ้น อารมณ์เกิดขึ้นแต่มันทำอะไรจิตใจไม่ได้ อันนี้เรียกว่าเกิดความสงบ เราปฏิบัติไป ๆ มันก็จะเกิดความสงบขึ้น แม้ทีแรกมันมีความคิดฟุ้งซ่านเกิดขึ้นมากมาย เพราะว่าเปิดตาแล้วก็ยกมือเคลื่อนไหว เดินไปมา ไม่ใช่หลับตานิ่ง นั่งนิ่ง แต่พอเรามีสติรู้ทันอารมณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น มันก็จะวางหรือทำให้อารมณ์นั้นดับไป ไม่ปรุงแต่งต่อ
ทีแรกเกิดความสงบ สงบตอนนี้จะเรียกว่าเป็นขั้นตอนสมถะก็ได้ เพราะสมถะนี้เป็นเรื่องของความสงบ ซึ่งก็เกิดขึ้นได้ทั้งจากการหลับตาและการลืมตา เกิดขึ้นได้ทั้งจากการที่อยู่ในที่เงียบ ๆ หรืออยู่ในที่ที่อึกทึก แต่ว่าก็มีสติรักษาใจไม่ให้อารมณ์นั้นเกิดขึ้น ไม่ให้อารมณ์นั้นมารบกวนจิตใจได้
แต่สงบมันแค่ขั้นต้น ต่อไปก็ต้องฝึกไปจนกระทั่งเห็นว่าความคิดและอารมณ์นั้นมันไม่เที่ยง มันมาแล้วก็ไป แล้วมันก็ตั้งอยู่ไม่ได้ ไม่ใช่เฉพาะอารมณ์อกุศล แม้กระทั่งความเพลิดเพลินยินดี ความสุข ความปีติ มันก็ตั้งอยู่ไม่ได้นาน อันนี้เรียกว่าเป็นทุกข์ ทุกขัง ทุกขังคือทนไม่ได้นาน ต้องแตกสลายไป
เมื่อวานนี้ปฏิบัติ เกิดปีติมากเลย หรือเมื่อเช้าเกิดปีติมากเลย แต่พอกลางวันมันหายไปเสียแล้ว อันนี้เรียกว่า ทุกขัง ที่จริงมันแสดงให้เราเห็นตลอดเวลา เวลาเราสุขสบายเพราะนั่งในท่าไหนก็ตาม จากเดินมาเป็นนั่ง นั่งก็สบาย แต่สบายได้ไม่นานเดี๋ยวความทุกข์มันก็แสดงตัวออกมา คือปวด คือเมื่อย
จากที่นั่งหลังตรงก็เป็นนั่งพิงเสา พอนั่งพิงเสาก็สบาย แต่พิงเสาได้ไม่นานก็ปวดเมื่อยอีก ฉะนั้นก็นอนเสียเลย นอนก็สบาย แต่พอนอนไปสักพักมันก็เริ่มปวด เริ่มเมื่อย เริ่มมีการขยับตัว ไม่มีใครนอนแล้วไม่มีการขยับ นอนแล้วก็ขยับ เพียงแต่ไม่รู้ตัว ทำไมถึงขยับ เพราะว่ามันปวด มันเมื่อย ร่างกายมันขยับเอง
อันนี้มันแสดงอะไร แสดงว่าความทุกข์นี่มันซ่อนอยู่ในทุกอิริยาบถ ไม่ว่าอิริยาบถไหนที่เราคิดว่ามันสบาย แต่ที่จริงแล้วมีความทุกข์ซ่อนอยู่ แล้วความสุขหรือความผ่อนคลายในตัวมันเองก็ตั้งมั่นไม่ได้นาน ก็เสื่อมสลายหายไป นี้เรียกว่า ทุกขัง
ฉะนั้นถ้าเราพิจารณาหรือเจริญสติก็จะเห็น มันไม่ใช่แค่อารมณ์ดี ๆ ที่ไม่เที่ยงและเป็นทุกข์ อารมณ์อกุศลก็เหมือนกัน ไม่เที่ยงและเป็นทุกข์
และตอนหลังเราก็จะเห็นได้ว่า มันก็ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา แต่ก่อนเวลามีความคิดก็ไปยึดว่านั่นแหละความคิดเป็นของเรา เวลามีความเครียดก็เราเครียด เวลามีความโกรธก็เราโกรธ แต่พอเจริญสติไปมันก็จะเห็น ความเครียดไม่ใช่เรา ความโกรธไม่ใช่เรา มันเป็นอีกอันหนึ่ง
ตอนนี้ก็จะต้องเห็นแล้วว่าความโกรธไม่ใช่เรา ความคิดไม่ใช่เรา ความเครียดไม่ใช่เรา ความปวดไม่ใช่เรา นี่แหละก็เริ่มเห็นความเป็นอนัตตาของฝ่ายนามธรรม อันนี้เขาเรียกว่าเริ่มจะมีปัญญาเห็นไตรลักษณ์แล้ว
แล้วไม่ใช่แค่ใจอย่างเดียว กายก็เหมือนกัน เวลาเราเดินจงกรม เดินอย่างมีสติ เดินด้วยความรู้สึกตัว ความสำคัญมั่นหมายว่า เราเดิน ๆ เรานั่ง ๆ มันก็จะหายไป มันจะเห็นเลยว่ามันเป็นรูปที่เดิน มันเป็นรูปที่นั่ง ไม่มีเรานั่ง ไม่มีเราเดิน อันนี้เรียกว่า ถอนความยึดมั่นในตัวตนออกไป หรือว่าเริ่มเข้าใกล้อนัตตามากขึ้น เริ่มเห็นแล้วว่ารูปไม่ใช่เรา ที่เดินมันเป็นรูปเดิน ไม่ใช่เราเดิน ที่นั่งมันเป็นรูปนั่ง ไม่ใช่เรานั่ง
จนกระทั่งต่อไปจะเห็นเวทนาด้วย ไม่ใช่แค่เห็นรูปกับนาม เห็นเวทนา ว่าเวทนาที่เกิดขึ้นกับกาย มันเป็นความปวดแต่ไม่ใช่เราปวด ความปวดเกิดขึ้นกับกายแต่ไม่มีเราที่เป็นผู้ปวด อันนี้เขาเรียกว่า เห็นเวทนา เห็นรูป เห็นนาม เห็นกาย เห็นใจ เห็นเวทนา
ตอนนี้แหละที่จะเห็นแล้วว่า เออ มันไม่มีตัวเราเลย มันเห็นทั้งดุ้นทั้งก้อนนี่เป็นรูปเป็นนาม เป็นกายกับใจ บางทีเราก็เรียกว่า เห็น แยกรูป แยกนาม
คำว่า แยกรูป แยกนาม ก็คือว่าเห็นเป็นรูป เห็นเป็นนาม แทนที่จะเห็นเป็นเรา มันก็กระจายออกมาเป็นรูปกับนาม เป็นกายกับใจ หลวงพ่อคำเขียนท่านใช้คำว่า ถลุง ก้อนแร่เมื่อผ่านการถลุงก็จะแยกออกมาเป็นแร่แต่ละชนิด ๆ
ฉะนั้นถ้าเราเจริญสติ สัมมาสติช่วยทำให้เห็นว่า มันไม่มีเรา ที่คิดว่าเป็นเรา เป็นกู ๆ สุดท้ายมันก็แยกออกมาเป็นรูปกับนาม ไม่มีกูซ่อนอยู่ตรงไหนเลย
ตรงนี้แหละที่มันจะทำให้เกิดปัญญาขึ้นมา ปัญญาในที่นี้ก็คือปัญญาที่เข้าใจไตรลักษณ์ ตรงนี้แหละที่เป็นวิปัสสนาแล้ว ไม่ใช่แค่ความสบายเพราะว่ากิเลสไม่รบกวน ไม่ใช่สบายเพราะว่าความโกรธไม่รบกวน ความฟุ้งซ่านไม่รบกวน อันนั้นมันเป็นแค่สมถะ แต่มันเกิดความสว่างขึ้นมาด้วย
ไม่ใช่แค่สงบ แต่สว่าง สว่างคือใจสว่าง มีปัญญาเห็น และพอเห็นว่ามันไม่มีตัวกู ของกู มันมีแต่รูปกับนาม ตรงนี้แหละที่จะช่วยทำให้ความทุกข์แม้มันจะเกิดขึ้นกับกายกับใจ แต่ว่ามันไม่มีกูผู้ทุกข์แล้ว ความทุกข์มันก็จะเบาบางลงไปเยอะ
และนี่คือเหตุผลที่เรามาเจริญสติ มาปฏิบัติธรรม เพื่อที่ความคิดว่า ไม่มีกู ไม่มีเรา มันจะไม่ใช่เป็นแค่ความคิด แต่มันจะเป็นการได้เห็นถึงความจริง เพราะตราบใดที่ยังเป็นแค่ความคิดแต่ว่าจิตไม่เอาด้วย มันก็ยังยึดว่ามีกู ยังคิดว่าเป็นของกูอยู่
เพราะฉะนั้นพอกายทุกข์มันก็จะเกิดกูทุกข์ขึ้นมา เวลาจิตมันมีความโศกความเศร้า มีความโลภ มันก็จะเกิดตัวกูขึ้นมาเป็นผู้โศกผู้เศร้า เป็นผู้โลภ แล้วก็นำไปสู่การลงไม้ลงมือ การกระทำที่ก่อทุกข์ตามมา
มันเป็นเรื่องสัจธรรม ความทุกข์ของคนเรามันอยู่ที่การกระทำ ถ้าทำไม่ถูกก็ทุกข์ ถ้าทำถูกก็ไม่ทุกข์ มันไม่เกี่ยวว่าจะมีความสำคัญมั่นหมายในตัวกูของกูหรือเปล่า
ฉะนั้นคำถามที่ว่า ในเมื่อไม่มีตัวกูแล้วปฏิบัติธรรมไปทำไม คำตอบมันก็ชัดอยู่แล้วว่า ถ้าไม่ปฏิบัติธรรมถึงเวลาความทุกข์เกิดขึ้น มันก็จะมีความรู้สึกว่า กูทุกข์ ๆ อยู่ เพราะความสำคัญมั่นหมายว่ากูยังมีอยู่ ความสำคัญมั่นหมายเกิดจากการที่ยังมีอวิชชาครอบงำใจ
เช่นเดียวกันกับในเมื่อไม่มีตัวกู แล้วทำไมเราไม่ควรกินเหล้า สูบบุหรี่ เพราะอะไร เพราะว่าถ้ากินเหล้าเยอะ ๆ สูบบุหรี่มาก ๆ พอเกิดความเจ็บความป่วยขึ้นมา จะรู้ว่ามีตัวกูหรือไม่มันก็หนีไม่พ้นที่จะต้องเกิดความเจ็บป่วยกับร่างกาย เกิดมะเร็ง มะเร็งปอด มะเร็งตับ ตับแข็ง และตราบใดที่ยังไม่มีการเจริญสติ ไม่มีปัญญา มันก็ยังมีความสำคัญมั่นหมายว่า กู มี กู อยู่
เพราะฉะนั้นเวลากายทุกข์ เป็นมะเร็งปอด ตับแข็ง มันก็ไม่ได้คิดว่าเป็นกายที่เป็นมะเร็ง ไม่ได้คิดว่ากายนี่เป็นตับแข็ง แต่มันคิดว่ากูเป็นมะเร็ง กูเป็นโรคตับแข็ง แล้วเวทนาที่เกิดขึ้นมันจะไม่ใช่เวทนาที่เกิดขึ้นกับกาย มันเกิดขึ้นกับกูด้วย เพราะยังมีความสำคัญมั่นหมายว่ามีกูอยู่ กูทุกข์ กูเจ็บ กูปวด มันไม่ใช่แค่กายเท่านั้นที่ทุกข์
ต่อเมื่อเจริญสติไม่ใช่แค่ระดับสมถะแต่ไปถึงวิปัสสนาแล้วก็เห็นว่ามันไม่มีตัวเราเลยตั้งแต่แรก เพราะฉะนั้นกายทุกข์มันก็เป็นเรื่องของกายอย่างเดียว ใจไม่ได้ทุกข์ไปด้วย เพราะไม่มีกูผู้ทุกข์ ที่จริงยังไม่ต้องให้มีปัญญาเห็นแจ่มแจ้งในอนัตตา แค่มีสติ ถ้ามีสติที่ดีพอ เร็วพอ เวลาเจ็บป่วยขึ้นมา สติก็ช่วยได้เยอะ เพราะว่าทำให้เห็นเวทนาโดยที่ไม่ไปยึดว่าเวทนาเป็นเรา เป็นของเรา
อย่างที่หลวงพ่อคำเขียนบอกว่า ความเจ็บความปวดมันไม่ได้ลงโทษเรา แต่ความเป็นผู้ปวดต่างหากที่มันลงโทษเรา ความปวดมีไว้เห็นไม่ใช่เข้าไปเป็น ความปวดนี้ไม่ได้ลงโทษเราเท่าไหร่ แต่ความเป็นผู้ปวดก็คือ กูปวด ๆ อันนี้เพราะอะไร เพราะไม่มีสติเห็นความปวดแต่เข้าไปเป็น
ที่หลวงพ่อท่านสอนว่า เห็น อย่าเข้าไปเป็น ก็ทำได้ด้วยสติ เห็นเวทนาแต่ไม่เป็นผู้เสวยเวทนา หรืออีกอย่างหนึ่งก็คือเห็นความปวดไม่เป็นผู้ปวด เพราะถ้ามีผู้ปวดเมื่อไหร่ มันจะทุกข์ทั้งกายทุกข์ทั้งใจ
และสิ่งที่จะช่วยทำให้เห็นความปวดไม่เป็นผู้ปวด หรือไม่มีตัวกู ไม่มีการปรุงตัวกูเป็นผู้ปวดนั้นคือสติ แต่สติทำงานได้เป็นจังหวะ ๆ หรือว่าชั่วคราว ต่อเมื่อมีปัญญาเห็นแจ้งในพระไตรลักษณ์นั่นแหละ ถอนความยึดมั่นสำคัญหมายในตัวกูของกูได้ จึงจะเรียกว่าไม่กลับมาเป็นผู้ปวด ผู้ทุกข์อีก
การที่จะมีสติเห็นความปวดไม่เป็นผู้ปวด มันยังเป็นแค่บางครั้งบางคราว เผลอสติเมื่อไหร่ก็ปวดใหม่ มีกูผู้ปวดขึ้นมา เพราะเมื่อไม่มีสติก็ปรุงตัวกูขึ้นมา
แม้ความคิดมันจะบอกว่าไม่มีตัวกู แต่ว่าจิตมันก็ปรุงตัวกูขึ้นมา แล้วมันก็ทุกข์ไปตามอำนาจของการปรุงแต่ง เพราะฉะนั้นการเจริญสติจึงเป็นเรื่องสำคัญ นี่คือบอกว่าทำไมเราถึงควรเจริญสติ ที่จริงก็มีเหตุผลมากกว่านั้นแต่ว่าในระดับของความทุกข์ การไม่เบียดเบียนตน หรือการไม่ซ้ำเติมเพิ่มทุกข์ให้กับใจ การเจริญสติช่วยได้มาก ทำให้เราอยู่ท่ามกลางความผันผวนปรวนแปรได้โดยที่ใจไม่ทุกข์.