PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ
PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ

Search

  • หน้าแรก
  • เสียง
  • พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล
  • เยาวชนไทยสนใจศาสนามากขึ้น
เยาวชนไทยสนใจศาสนามากขึ้น รูปภาพ 1
  • Title
    เยาวชนไทยสนใจศาสนามากขึ้น
  • เสียง
  • 14043 เยาวชนไทยสนใจศาสนามากขึ้น /aj-visalo/2025-08-13-06-57-11.html
    Click to subscribe
    • Share
    • Tweet
    • Email
    • Share
    • Share

ผู้ให้ธรรม
พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล
วันที่นำเข้าข้อมูล
วันพุธ, 13 สิงหาคม 2568
ชุด
ธรรมะสั้นๆ ก่อนอาหารเช้า 2568
  • แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]

  • พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 13 สิงหาคม 2568
    เมื่อเร็ว ๆ นี้ มีการสอบถามความเห็น รวมทั้งการประพฤติปฏิบัติของเยาวชนทั่วประเทศเกี่ยวกับศาสนา เป็นการศึกษาโดยศูนย์วิจัยความรู้นโยบายเด็กและครอบครัว เป็นองค์กรเอกชน ผลการศึกษานี้น่าสนใจ เขาบอกว่าเยาวชนไทย ถ้าดูจากบัตรประชาชน 98 เปอร์เซ็นต์ระบุว่ามีศาสนา ที่เป็นศาสนาพุทธ 90 เปอร์เซ็นต์
    แต่ว่าเขาไม่ได้ศึกษาแค่นั้น เขาทำแบบสอบถามเพื่อให้แน่ใจว่าการนับถือศาสนาในชีวิตจริงเป็นอย่างไร เขาพบว่า คน 98 เปอร์เซ็นต์ที่ระบุว่ามีศาสนาในบัตรประชาชน 83 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่นำศาสนาไปปฏิบัติในชีวิตจริง หรือว่านับถือศาสนาตามจริง ส่วนคนที่ระบุไว้ในบัตรประชาชนว่านับถือศาสนาพุทธ 90 เปอร์เซ็นต์ มีการนำเอาศาสนาพุทธไปปฏิบัติในชีวิตจริงประมาณ 72 เปอร์เซ็นต์
    อันนี้เป็นเรื่องที่ไม่เกินการคาดเดาอยู่แล้ว เพราะผู้ใหญ่ก็เป็นแบบนั้น ศาสนาที่ระบุในบัตรประชาชนกับศาสนาในชีวิตจริงต่างกันเยอะ แต่ว่ามีการพัฒนาการที่ดี อย่างเยาวชนที่นำศาสนาไปใช้ในชีวิตจริง ไม่ใช่ระบุในบัตรประชาชน ซึ่งอย่างที่ว่า มีประมาณ 83 เปอร์เซ็นต์ ถือว่าเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 65 ปี 65 เยาวชนที่นำศาสนาไปใช้ในชีวิตจริงมีเพียง 81 เปอร์เซ็นต์
    สำหรับเยาวชนที่นับถือศาสนาพุทธ หรือว่าระบุว่าเป็นพุทธในบัตรประชาชนก็เหมือนกัน ระบุไว้ว่า 90 เปอร์เซ็นต์ แต่ว่าปฏิบัติในชีวิตจริง 72 เปอร์เซ็นต์ แต่ถือว่าเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับ 3 ปีที่แล้ว 3 ปีที่แล้ว 70 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่นำเอาพุทธศาสนาไปปฏิบัติในชีวิตจริง 3 ปีผ่านไปเพิ่มขึ้นจาก 70 เปอร์เซ็นต์ เป็น 72 เปอร์เซ็นต์ ถือว่าเป็นพัฒนาการที่ดี
    รวมทั้งเยาวชนที่เขามองว่า ศาสนาไม่ใช่สิ่งล้าหลังคร่ำครึ หรือว่าก่อปัญหาให้สังคม ปัจจุบันก็เพิ่มขึ้น เกือบ 50 เปอร์เซ็นต์ อาจจะดูน้อย แต่ว่ามากว่าเมื่อ 3 ปีที่แล้ว 3 ปีที่แล้วมองศาสนาในทางลบ 14 เปอร์เซ็นต์ มองว่าศาสนา ไม่ว่าศาสนาใด ล้าหลัง คร่ำครึ หรือหนักกว่านั้นคือ ก่อปัญหาให้กับสังคม 3 ปีที่แล้ว เยาวชนที่คิดแบบนี้มีถึง 14-15 เปอร์เซ็นต์ แต่ปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 47 เปอร์เซ็นต์ ถ้าเทียบกับร้อย 47 อาจจะถือว่าน้อย แต่ถ้าเทียบกับ 14-15 เปอร์เซ็นต์เมื่อ 3 ปีที่แล้วก็ถือว่าเยอะ
    และเขาสอบถามว่า เยาวชนที่นับถือศาสนาที่เคร่งมีประมาณสักเท่าไร เขาพบว่า มีประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่เคร่งปานกลาง 60 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่ไม่ค่อยเคร่งเท่าไร 15 เปอร์เซ็นต์ ถือว่าเป็นตัวเลขที่ดี คนที่เขาระบุว่าตัวเองเคร่ง 25 เคร่งปานกลาง 60 และไม่เคร่งอีกประมาณ 15
    อย่างไรก็ตาม น่าคิดว่า ที่บอกว่าเคร่งมีความหมายแค่ไหน เพราะว่าเคร่งบางคนอาจจะหมายถึงการปฏิบัติตามพิธีกรรม แต่ว่าอาจจะไม่ได้เอาศาสนาไปใช้ในการดำเนินชีวิตอย่างแท้จริง หรือว่าอาจจะไม่ได้เอาธรรมะไปใช้ในการทำความเข้าใจเกี่ยวกับความถูกต้อง ความดีงาม พูดง่าย ๆ คือ อาจจะไม่เคร่งครัดเรื่องคุณธรรมหรือจริยธรรมก็ได้
    อย่างเช่น เขาถามว่า เห็นด้วยกับข้อความนี้ไหม “เราไม่ควรถูกตำหนิไหมถ้าคนอื่นก็ทำผิดเหมือนกัน” คนที่เคร่งศาสนาหรืออ้างว่าตัวเองเคร่งศาสนา เกือบ 20 เปอร์เซ็นต์ เห็นด้วยกับข้อความนี้ แต่ว่าคนที่ไม่เคร่งศาสนาที่เห็นด้วยกับข้อความนี้ มีแค่ 11 เปอร์เซ็นต์
    เขาถามว่า เห็นด้วยกับข้อความนี้ไหม “ปล่อยข่าวลือเพื่อปกป้องคนรักไม่ผิดอะไร” คนที่เคร่งศาสนา 12 เปอร์เซ็นต์ บอกว่าเห็นด้วย แต่คนที่ไม่เคร่งศาสนา 3.7 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่เห็นด้วย
    อีกข้อหนึ่ง เขาถามว่า เห็นด้วยกับข้อความนี้ไหม “การบิดเบือนคุณสมบัติของตัวเองไม่ผิดถ้าคนอื่นก็ทำเหมือนกัน” คนเคร่งศาสนาที่เห็นด้วยมี 8 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่คนไม่เคร่งศาสนาที่เห็นด้วยกับข้อความนี้มี 3.5 เปอร์เซ็นต์
    อันนี้ทำให้น่าคิดว่า คนเคร่งศาสนา ไม่ได้หมายความว่า เขาจะเคร่งจริยธรรมหรือมีธรรมะมากกว่าคนไม่เคร่งศาสนา
    ขณะที่คนไม่เคร่งศาสนามีจำนวนมากกว่าคนเคร่งศาสนา ที่มองว่า การโกหกก็ดี แม้จะทำเพื่อคนรัก หรือปกป้องคนรัก เป็นสิ่งไม่ถูกต้อง หรือมองว่า เมื่อทำผิดก็สมควรถูกตำหนิ แม้คนอื่นก็ทำผิดเหมือนกัน จะอ้างว่าใคร ๆ เขาก็ทำผิดเหมือนกัน เพราะฉะนั้นฉันไม่ควรถูกตำหนิถ้าทำผิด แบบนี้ ไม่ได้ คนที่ไม่เคร่งศาสนาจะมองแบบนี้มากกว่าคนที่เคร่งศาสนา
    อันนี้เป็นแง่คิดว่า การเคร่งศาสนาไม่ได้หมายความว่าจะเคร่งหรือจะยึดมั่นในคุณธรรมหรือจริยธรรม ในขณะที่คนที่ไม่เคร่งศาสนาหรือไม่มีศาสนาเลยเขาอาจจะมีจริยธรรมมากกว่าคนเคร่งศาสนาก็ได้
    อย่างไรก็ตาม แนวโน้มที่เยาวชนหันมาสนใจศาสนามากขึ้น รวมทั้งศาสนาพุทธด้วย อันนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่ได้ยินแล้วคงจะสบายใจ หรือรู้สึกว่าดีมากขึ้น แต่ควรมองว่าความสนใจศาสนาหรือมีศาสนา ต้องมีความหมายมากกว่าการเอาประเพณี พิธีกรรมมาปฏิบัติในชีวิตจริง แต่ว่าต้องเอาธรรมะมาใช้กับชีวิตจริง หรือมีสำนึกทางจริยธรรมควบคู่ไปด้วย
    นั่นคือ มองว่าเมื่อทำผิดก็สมควรถูกตำหนิ ไม่ว่าตัวเองทำคนเดียวหรือคนอื่นทำด้วยก็ตาม ไม่ใช่จะอ้างว่าใคร ๆ เขาก็ทำกัน ฉะนั้น ฉันไม่ผิด หรือว่าโกหกเพื่อปกป้องคนรัก ใส่ร้ายคนอื่นเพื่อปกป้องคนรัก ในเมื่อเจตนาดี ย่อมไม่ผิด แบบนี้ไม่ถูกต้อง เจตนาดี แต่ถ้าผิดศีลผิดธรรม ก็ย่อมผิดอยู่วันยังค่ำ
    การโกหกหรือให้ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับคุณสมบัติของตัวเองเวลาสมัครงานก็ผิดเช่นกัน จะอ้างว่าใคร ๆ เขาก็ทำกัน ฉะนั้น ฉันไม่ผิด คิดแบบนี้ก็ไม่ถูกต้อง น่าสนใจว่าคนไม่เคร่งศาสนาจำนวนมากกว่าคนเคร่งศาสนามองว่า การกระทำดังกล่าวไม่ถูกต้อง
    แสดงว่า แม้จะไม่มีศาสนา หรือไม่เคร่งศาสนา แต่อาจจะมีธรรมะหรือมีจริยธรรมมากกว่าคนที่มีศาสนาหรือเคร่งศาสนาก็ได้ ก็ขอฝากให้เป็นข้อคิดเอาไว้

logo

  • เกี่ยวกับเรา
  • ติดต่อเรา
  • จดหมายข่าว
  • Privacy Policy
  • Terms of Service