PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ
PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ

Search

  • หน้าแรก
  • เสียง
  • พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล
  • อาหารจานสุดท้ายของแม่
อาหารจานสุดท้ายของแม่ รูปภาพ 1
  • Title
    อาหารจานสุดท้ายของแม่
  • เสียง
  • 14036 อาหารจานสุดท้ายของแม่ /aj-visalo/2025-08-13-06-46-41.html
    Click to subscribe
    • Share
    • Tweet
    • Email
    • Share
    • Share

ผู้ให้ธรรม
พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล
วันที่นำเข้าข้อมูล
วันพุธ, 13 สิงหาคม 2568
ชุด
ธรรมะสั้นๆ ก่อนอาหารเช้า 2568
  • แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]

  • พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 6 สิงหาคม 2568
    ที่ประเทศญี่ปุ่น มีครอบครัวหนึ่ง พ่อ แม่ และลูกสาว ลูกสาวยังวัยรุ่น อยู่มาวันหนึ่ง ทั้งครอบครัวมานั่งกินข้าวพร้อมหน้ากัน แม่เป็นผู้ปรุงอาหาร ทำอาหารมาให้สามีและลูกจะได้กินพร้อมหน้า เตรียมจะนำอาหารมาวางบนโต๊ะ ยังไม่ทันจะวาง จู่ ๆ ผู้เป็นแม่ก็ล้มลงเพราะว่าหัวใจวาย มีการพาส่งโรงพยาบาล แต่ไม่ทัน ตัวผู้เป็นแม่เสียชีวิต
    เมื่อลูกสาวกลับมาที่บ้าน เห็นอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะก็กินไม่ลง สามีด้วย กินไม่ลง แต่จะทิ้งก็ไม่อยากทิ้ง เพราะว่ามันคืออาหารจานสุดท้ายที่แม่ทำ
    ลูกสาวอยากจะเก็บอาหารจานนั้นเอาไว้ เพราะมันคืออาหารจานสุดท้ายที่แม่ได้ทำ และเป็นอาหารที่เธอชอบด้วย เป็นหมูตุ๋น แม่ทำอร่อย เธอเติบโตมาด้วยอาหารนี้ หมูตุ๋น และยิ่งมาตระหนักว่านี่คืออาหารจานสุดท้ายที่แม่ทำ เมื่อทิ้งไม่ได้ เธอทำอย่างไร เธอเก็บแช่ตู้เย็น และแช่เป็นปี ๆ
    ผ่านไป 5 ปี เธอนึกถึงอาหารรสมือแม่ และรู้ว่าอาหารจานนั้นอยู่ในช่องฟรีซ เธอเอาออกมา แต่เธอไม่แน่ใจว่าจะกินได้ไหม และรสชาติจะเหมือนเดิมที่เธอเคยคุ้นหรือเปล่า เธอเลยติดต่อรายการโทรทัศน์รายการหนึ่ง มีชื่อมากในญี่ปุ่น ถ้าแปลแบบเป็นไทย ๆ คือว่า แฟนพันธุ์แท้เรื่องอาหาร
    อาหารจะปรุงที่ไหน วิทยากรหรือพิธีกรเขารู้หมด ไม่ใช่รู้เพียงแค่ว่าอาหารจานนี้มีอะไรเป็นส่วนประกอบบ้าง แต่รู้กระทั่งว่าทำที่ไหน เพราะว่าในญี่ปุ่นแต่ละแห่งแต่ละที่รสชาติอาหารไม่เหมือนกัน ไม่ได้เป็นรสที่สำเร็จรูป อาหารแต่ละแห่งมีเอกลักษณ์
    เธอเลยติดต่อพิธีกรโทรทัศน์รายการนี้ เขาก็ดี ส่งคนมาคนหนึ่ง เป็นนักวิทยาศาสตร์ด้านการอาหาร เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องจุลชีพ คือมาดูว่าอาหารปลอดภัยไหม มีเชื้อราไหม เขาดูแล้วบอกว่า ปลอดภัย กินได้ แต่ว่าต้องอุ่นก่อน เพราะว่ามันอาจจะมีแบคทีเรียบางชนิดอยู่ ต้องอุ่นหรือต้องเวฟเสียก่อน หรือไม่ก็ทำให้มันร้อน จะได้กินได้
    แต่มีปัญหาว่ารสชาติอาหารจะเหมือนเดิมไหม เพราะว่าแช่แข็งมา 5 ปีแล้ว มีผู้เชี่ยวชาญอีกคนหนึ่งเข้ามาดู เป็นเชฟใหญ่ เขามาดูอาหาร ดูสารรูปแล้วเขาบอกว่า รสชาติไม่น่าจะเปลี่ยนแปลง และเขาช่วยให้อาหารคืนชีพขึ้นมา และมีการเติมขิงนิดหน่อย เติมหัวหอมนิดหน่อย เสร็จสรรพแล้วก็ให้ลูกสาวของผู้ตายลองชิมดู
    พอเธอชิมคำแรกเธอร้องไห้เลย ร้องไห้ด้วยความดีใจ เพราะว่ารสชาติเหมือนกับรสชาติที่แม่เคยทำให้เธอกินตั้งแต่เล็ก กินอาหารจานนี้ แม้กระทั่งคำแรกก็นึกถึงแม่ เธอรู้สึกว่าเหมือนกับแม่มานั่งอยู่ กินอาหารกับเธอด้วย เธอร้องไห้ เธอดีใจมาก
    แม้กระทั่งเชฟเขาก็ร้องไห้ด้วย ร้องไห้ด้วยความดีใจที่สามารถจะทำให้ลูกสาวซึ่งเป็นผู้สูญเสียเธอได้รับการเยียวยา เธอคิดถึงแม่ และการกินอาหารที่แม่ทำ ซึ่งเป็นจานสุดท้าย มีความหมายต่อจิตใจเธอมาก
    เรื่องนี้ชี้ให้เห็นว่า สิ่งที่เราทำก่อนที่เราจะตายอาจจะไม่สำคัญสำหรับเรา แต่มันเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ที่ยังอยู่มาก ผู้ตายคงคิดไม่ถึงว่าอาหารที่เธอทำก่อนตายจะมีความหมายต่อลูก จนกระทั่งลูกต้องแช่อาหารนั้นเอาไว้ ไม่กล้าทิ้ง และเมื่อถึงวันที่ลูกคิดถึงแม่มาก ๆ การที่ได้กินอาหารจานนั้นมันเยียวยาจิตใจเธอให้คลายจากความเศร้าโศกมาก
    คนเราบางทีเราไม่รู้ว่าสิ่งที่เราทำ คำพูดที่เราเปล่งออกไป หรือว่าอาหารที่เราทำให้กับลูกของเรา ให้กับคนที่เรารู้จัก มันอาจจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่เราทิ้งไว้ให้เขา เพราะว่าคนเราบางครั้งก็ตายโดยที่ไม่ทันรู้ตัว แบบกะทันหัน
    สิ่งที่เราพูด สิ่งที่เราทำ ตอนนั้น ตอนที่ยังไม่ตาย เรารู้สึกว่าไม่สำคัญเท่าไร แต่ปรากฏว่ามันกลายเป็นสิ่งสำคัญขึ้นมา เพราะมันเป็นคำพูดสุดท้าย มันเป็นสิ่งสุดท้ายที่เรามอบ หรือเราทำให้กับคนที่เรารัก
    เพราะฉะนั้น ไม่ว่าเราพูด เราทำอะไรกับคนใกล้ตัว กับคนที่เรารัก พึงตระหนักว่า มันเป็นสิ่งสำคัญ เพราะว่ามันอาจจะเป็นคำพูดสุดท้าย อาจจะเป็นอาหารมื้อสุดท้ายที่เราทำให้กับเขาก็ได้ อันนี้เป็นเครื่องเตือนใจว่า สิ่งที่เราทำแต่ละอย่าง ๆ อย่าทำแบบขอไปที หรืออย่าทำไปตามอารมณ์ เพราะว่ามันอาจจะมีความหมายต่อคนที่เรารักที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังก็ได้
    เช่นเดียวกัน สำหรับคนที่ยังอยู่ เราพูดอะไรไป เราทำอะไรไปกับใครที่อยู่ใกล้ตัวเรา หรือเป็นคนที่เรารัก เราอาจจะไม่รู้เลยว่ามันอาจจะเป็นคำพูดสุดท้าย อาจจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาได้รับรู้จากเราก่อนที่เขาจะตาย
    เราอาจจะพูดไปด้วยความคะนองปาก หรือด้วยอารมณ์ เพราะเราไม่คิดว่าเขาจะตายในเวลาอีกไม่นาน แต่ว่าของแบบนี้คาดการณ์ไม่ได้ สิ่งที่เราพูดไปอาจจะกลายเป็นสิ่งสุดท้ายที่อยู่ในใจเขาก่อนที่เขาจะตายก็ได้
    และตรงนี้แหละที่มีความหมายต่อคนที่ยังอยู่ เพราะถ้าพูดอะไรไปไม่ดีจะเสียใจ เสียใจที่ว่าคำพูดสุดท้ายของเราที่มีให้กับเขาคือสิ่งสุดท้ายที่เขาได้ยินก่อนที่เขาจะตาย ถ้าพูดไม่ดีก็ทำให้คนที่ยังอยู่เสียใจมาก รู้สึกผิด
    อย่างมีพยาบาลคนหนึ่ง เช้าวันจันทร์เธอไปทำงาน งานยุ่งมาก คนไข้เยอะ บังเอิญน้องชาย เป็นวัยรุ่น สนิทกับเธอมาก มาเยี่ยมเธอที่โรงพยาบาล เธอไม่มีอารมณ์จะคุย เธอกำลังทำงาน แต่น้องชายก็ชวนคุย คุยโน่นคุยนี่ เธอเริ่มหงุดหงิดมากขึ้น พูดแต่ละคำกับน้องชายก็เริ่มมีอารมณ์
    จู่ ๆ น้องชายพูดขึ้นมาว่า พี่ พี่รักผมไหม เธอไม่มีอารมณ์จะพูดจะคุย กำลังหงุดหงิดอยู่ก็ไม่ตอบ และไล่น้องชายให้กลับไปบ้าน กลับไปไว ๆ วันนี้ฉันไม่มีอารมณ์ และน้องชายก็เชื่อ ไม่งอแง ขี่มอเตอร์ไซค์กลับบ้าน แต่ปรากฏว่าไม่ถึงบ้าน เจออุบัติเหตุ
    พอพี่สาวรู้ พี่สาวเข่าทรุดเลย เสียใจก็เสียใจที่น้องที่คุ้นเคยสนิทสนมตาย แต่ที่แย่กว่านั้นคือความรู้สึกผิดว่า คำพูดสุดท้ายที่เธอพูดกับน้องชายไม่ดีเลย มันจะดีเสียกว่าถ้าเกิดเธอตอบน้องชายว่า ใช่ พี่ก็รักน้อง แต่สิ่งที่เธอตอบคือการไล่ให้กลับบ้าน
    เธอไม่คิดเลยว่านี่เป็นคำพูดสุดท้ายที่น้องชายได้ยินจากปากเธอก่อนที่เขาจะตาย แน่นอน ถ้าเธอรู้ เธอคงจะพูดดี ๆ แต่เราไม่มีทางรู้ว่าคำพูดของเรากับคนที่เรารักจะเป็นคำพูดสุดท้ายที่เขาได้ยินจากเรา
    เพราะฉะนั้น เพื่อไม่ให้มีความผิดพลาด เวลาเราพูดกับใคร โดยเฉพาะคนที่เรารัก พยายามพูดดี ๆ อย่าใช้อารมณ์ เพราะเราไม่รู้เลยว่าคำพูดของเรา ถ้าเกิดใช้อารมณ์ขึ้นมา จะเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาได้ยินจากเรา และเราจะรู้สึกแย่ว่า ทำไมเราไม่สามารถจะพูดอะไรที่ดี ๆ ให้เขาได้ยินก่อนที่เขาจะตายได้
    ฉะนั้น ปฏิบัติกับคนที่เรารักเหมือนกับว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เขาจะอยู่กับเรา หรือวันสุดท้ายที่เราจะอยู่กับเขา ถ้าเราเตือนใจแบบนี้จะทำให้เราระมัดระวังคำพูด ระมัดระวังการกระทำ เพราะเราไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เราทำจะฝังใจเขาในทางบวกหรือทางลบถ้าเกิดว่าเราเกิดมีอันเป็นไปขึ้นมา
    และถ้าเกิดว่าเรามีอันเป็นไป สิ่งที่เราพูด สิ่งที่เราทำกับเขาควรจะเป็นสิ่งดี ๆ ที่ทำให้คนที่ยังอยู่เขามีความรู้สึกยินดี ดีใจที่ได้ระลึกนึกถึง ส่วนเราซึ่งเป็นผู้จากไปก็ไม่มีอะไรติดค้างใจ
    หรือถ้าเกิดว่าไม่ใช่เราที่ไป แต่คนอื่นที่เขาไป เราก็จะดีใจว่า อย่างน้อยเราได้พูดสิ่งดี ๆ ให้กับเขาก่อนที่เขาจะจากโลกนี้ไป ไม่ใช่ว่าเราไปพูดอะไรแย่ ๆ ที่ทำให้เรารู้สึกผิดติดค้างใจ บางทีตลอดชีวิตก็ยังคาใจอยู่ เพราะว่าปลดเปลื้องความรู้สึกผิดไม่ได้.

logo

  • เกี่ยวกับเรา
  • ติดต่อเรา
  • จดหมายข่าว
  • Privacy Policy
  • Terms of Service