พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 27 กรกฎาคม 2568
บ่ายวันหนึ่ง คุณป้าคนหนึ่งเธอเดินหาของในบ้าน เดินไปมองที่โต๊ะ แล้วเดินไปที่มุมห้อง เหมือนกับหาของอะไรบางอย่าง หาไม่เจอก็ไปอีกที่มุมห้องหนึ่ง ใช้เวลานานด้วย จะกระทั่งเธอเริ่มจะหงุดหงิดขึ้นมา
ลูกสาวอยู่ในห้อง สังเกตอาการของแม่ ทีแรกนึกว่าแม่หาโทรศัพท์มือถือ แต่ก็ไม่น่าใช่ เพราะว่าโทรศัพท์วางอยู่บนโต๊ะ แม่ก็ไปดูมาแล้ว และเดินผ่านไป หรือว่าแม่หากุญแจ ก็ไม่ใช่ เพราะว่ากุญแจวางอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้ง แม่ก็ไปดูแล้ว และน่าจะเห็นกุญแจ
หรือว่าแม่หาปากกา เธอก็บอกแม่ว่า “แม่หาปากกาหรือ”
แม่บอก “เปล่า”
เอ๊ะ แล้วแม่หาอะไร เลยถามแม่ว่า “แม่หาอะไร”
แม่บอก “แม่หาแว่นตา”
ลูกสาวก็นิ่งสักพัก แล้วบอกแม่ว่า “แม่ ไปหยิบกระจกที่โต๊ะเครื่องแป้ง”
“หยิบทำไม”
“เอาน่า ไปหยิบมา มาดู”
พอลูกสาวรบเร้าแบบนี้หลายครั้ง แม่เลยไปหยิบกระจกส่องหน้า แล้วถามลูกสาวว่า “หยิบมาทำไม”
ลูกสาวบอก “มองกระจกสิ”
พอมามองกระจกปุ๊บ เธอหัวเราะเลย เพราะเธอสวมแว่นอยู่ สวมแว่น แต่หาแว่น ไม่รู้ตัวว่าสวมแว่น
อันนี้ไม่ใช่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนแก่เท่านั้น บางทีคนหนุ่มคนสาวก็เป็น สวมแว่น แต่ไม่รู้ว่าสวม บางทีเอาแว่นมาพาดไว้บนหัวก็หาอยู่นั่นแหละว่าแว่นหายไปไหน อันนี้เรียกว่าขาดสติ เพราะว่าตอนที่สวมแว่นไม่รู้ตัว แล้วยิ่งความเคยชินกับการสวมทำให้ไม่สังเกตว่าตัวเองสวมแว่นอยู่
แต่บางคนลืมหนักกว่านั้น ลืมลูก แม่ลูกอ่อนเดินหาลูก ลูกยังเล็กอยู่เลย ไม่ถึงขวบ ไปหาบนเตียง ไปหามุมนั้นมุมนี้ ไปดูห้องนั้นห้องนี้ก็ไม่เจอลูก ใจเสีย สุดท้ายมีคนบอกว่า “เธออุ้มลูกอยู่นะ” กระเตง ๆ ลูกอยู่ข้างซ้าย อุ้มลูกด้วยมือข้างซ้าย ด้วยแขนข้างซ้าย แต่ไม่รู้ตัว กระเตงลูกไปก็เดินหาลูกไป
ที่จริงน่าจะสังเกตได้ว่ามันมีอะไรหนัก ๆ อยู่ตรงเอวข้างซ้าย แต่ว่าความคุ้น ที่จริงถ้ามีสติ ตอนที่อุ้มลูกมากระเตงที่ข้างซ้ายก็จำได้ว่าลูกอยู่ข้างตัว แต่ตอนนั้นคงจะเพลินกับโทรศัพท์มือถือ มือขวาถือโทรศัพท์มือถือ เล่นเฟซบุ๊ก หรือว่าดูติ๊กต็อก แล้วกระเตงลูกเอาไว้ข้างซ้าย
ตอนนั้นทำไปโดยไม่รู้ตัว พอไม่รู้ตัวเข้า เวลาจะหาลูก เกิดนึกขึ้นมาได้ หลังจากที่เพลินกับโทรศัพท์มือถือสักพักแล้วนึกขึ้นมาได้ นึกถึงลูกขึ้นมา หาลูกไม่เจอ แบบนี้ก็บ่อย ดีที่มือซ้ายไม่ปล่อยลูก ถ้าปล่อยลูก ลูกก็เจ็บหนักแน่นอน แล้วจะโทษตัวเอง
บางคน อย่างผู้ชายคนหนึ่งตามหาลูกเพราะมองไปที่รถเข็นที่เคยให้ลูกนั่งไม่มีลูก พาลูกไปห้างซูเปอร์มาร์เก็ต เอาลูกวางไว้ที่รถเข็นแล้วเข็นรถไประหว่างที่ซื้อของ ผ่านไปสักพัก หาลูกไม่เจอ เดินตามหาลูกใหญ่ สุดท้ายโทรศัพท์ไปบอกเมียว่าหาลูกไม่เจอ เผอิญมีคนเดินผ่านมา รู้ว่าชายคนนี้กำลังหาลูก เลยบอกชายคนนี้ว่า “คุณสะพายลูกอยู่ข้างหลังนะ”
เอาลูกใส่เป้ข้างหลังไว้ ใส่ตอนไหนไม่รู้ เพราะตอนนั้นกำลังเพลินกับโทรศัพท์มือถือ หรือนึกคิดอะไรสักอย่าง ตอนที่อุ้มลูกจากรถมาใส่เป้สะพายหลัง เพลิน ใจไปทำกับสิ่งอื่น ใจไปสนใจจดจ่อสิ่งอื่น อันนี้เรียกว่าไม่มีสติ ทำไปโดยไม่รู้ตัว แบบนี้ก็เยอะ หาลูก หาไม่เจอ หาเท่าไรก็ไม่เจอ เพราะว่าอุ้มเอาไว้ ถ้าไม่ใช่ที่บนเอวก็ข้างหลัง สะพายใส่เป้เอาไว้
คนเราแม้กระทั่งใส่แว่นก็ยังไม่รู้เลยว่าใส่แว่นอยู่ ที่จริงถึงแม้บางคนไม่มีแว่นใส่หรือไม่ได้ใส่แว่น แต่อาจจะลืมตัวไปว่า จริง ๆ ตัวเองมีแว่นชนิดหนึ่งอยู่ แว่นมี 2 อย่าง แว่นนอก กับ แว่นใน แว่นนอกทำด้วยกระจก แต่แว่นใน คือ ความคิดและอารมณ์
เวลาเราใส่แว่น ถ้าแว่นหมองมัว เราจะเห็นโลกภายนอกมัวไปด้วย แต่บางคนรู้ว่าแว่นมัว รู้จักเช็ดแว่นบ้าง แต่แว่นในส่วนใหญ่ไม่รู้ แว่นในคือความคิดและอารมณ์ เรามองโลกไม่ได้ผ่านแว่นอย่างเดียว เรามองโลกผ่านความคิดและอารมณ์ด้วย ถ้าเราคิดลบ เกิดความรู้สึกกังวลขึ้นมา เราจะเห็นโลกหม่นหมอง แต่ถ้าเรามีจิตใจที่แจ่มใส อารมณ์เบิกบาน เราก็เห็นโลกรอบตัวสว่างไสว
ความคิดและอารมณ์เป็นแว่นที่ครอบจิตเราเอาไว้ และเราต้องรู้ตัวว่าเมื่อไรควรใส่แว่น ควรถอดแว่น ถ้าเป็นแว่นนอก เรารู้ว่าตอนนี้ควรถอดได้แล้ว ตอนนี้ควรใส่แล้ว แต่ว่าแว่นในส่วนใหญ่ใส่แล้วลืมถอด และลืมไปด้วยซ้ำว่ากำลังใส่แว่นในอยู่
ความคิดและอารมณ์ของเรามีส่วนทำให้เราเห็นโลกหรือรับรู้โลกแตกต่างจากคนอื่น เพราะแต่ละคนก็มีแว่นในแตกต่างกัน
ลองสังเกต เวลาเรามีความคิดบางอย่าง เราจะเห็นโลก เห็นผู้คนอีกแบบหนึ่ง เช่น ถ้าเราคิดว่าคนเรามีแต่ความเห็นแก่ตัว เราก็จะเห็นคนที่อยู่รอบตัวเราเขาทำอะไรมีพิรุธ หวังประโยชน์จากเรา สายตาน้ำเสียงของเขามีพิรุธ แต่ถ้าเรามีความคิดว่าคนเรามีความใฝ่ดี ปรารถนาจะทำความดี เราจะมองเห็นคนที่อยู่รอบตัวเราอีกแบบหนึ่ง
มันเป็นธรรมดาที่เราต้องมีความคิดบางอย่างในการมองโลก แต่ต้องรู้ว่ามันเป็นแว่น ต้องรู้จักถอดมันบ้าง หรือว่าถ้าใส่ก็ต้องรู้ว่ากำลังใส่อยู่ ถ้าใส่แล้วไม่รู้ว่าใส่ มันก็เป็นความไม่มีสติอีกแบบหนึ่งที่ละเอียดอ่อนมาก
คุณป้าคนนั้นใส่แว่นแล้วไม่รู้ว่าใส่ ยังดีที่เธอหาแว่น แต่หลายคนสวมแว่นใน และเป็นแว่นที่หมองมัว บางทีเป็นแว่นสีด้วย แต่ไม่รู้ว่ากำลังสวมแว่น ใส่มันทั้งวันทั้งคืน เราเลยบ่นว่า โลกนี้ทำไมมันมืดมัวแบบนี้ เพราะว่าใส่แว่นกระจกคล้ำ คนที่เอาแต่บ่นว่า โลกนี้มันแย่ ทำไมใคร ๆ ก็เห็นแก่ตัว บางทีอาจเป็นเพราะว่าสวมแว่นสีคล้ำก็ได้ ถ้าถอดบ้างก็ดี จะได้เห็นโลกสว่างไสวบ้าง.