พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 12 กรกฎาคม 2568
ที่ประเทศคอสตาริกาเมื่อ 30 ปีที่แล้ว มีชาวประมงหนุ่มคนหนึ่งชื่อชิโต้ วันหนึ่งไปเจอจระเข้ตัวใหญ่นอนจมกองเลือดอยู่ริมฝั่งแม่น้ำใกล้หมู่บ้าน อาการของมันเพียบหนัก ถ้าเป็นคน ก็เรียกว่าหายใจแบบพะงาบพะงาบ อาการร่อแร่ใกล้ตายเพราะโดนยิงทะลุตาซ้าย ถ้าเป็นคนอื่นก็คงจะซ้ำเติมให้มันตายคาที่ไปเลย จะได้เอาเนื้อเอาหนังไปขายหรือเอาไปใช้ประโยชน์
แต่ชายหนุ่มชิโต้คนนี้กลับเอาจระเข้ตัวนี้ขึ้นเรือ แล้วพากลับบ้าน เอาไปทำไม เอาไปเยียวยารักษา จระเข้ตัวนี้ถือว่าปางตายแล้ว แต่แกก็ไม่ลดละความพยายาม ดูแลมันอย่างดี หาอาหารคือปลาบ้าง ไก่บ้าง มาให้มันกินวันละ 5 กิโล ก็ไม่น้อยสำหรับชาวประมงที่ไม่ได้ร่ำรวยอะไร เผลอๆตัวเองอาจจะไม่ได้กินไก่ด้วยซ้ำ กินแต่ปลา แต่ก็ยังอุตส่าห์หาไก่มาให้จระเข้ตัวนี้
กลางคืนก็นอนกับมัน แน่นอนมันทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว เพราะแค่เอาตัวรอดก็ยังไม่ไหว ช่วงแรก ๆมันไม่ยอมกินข้าว ไม่กินอะไรเลย ชิโต้ต้องถึงกับเอาเนื้อมาเคี้ยวในปากแล้วให้มัน เพื่อกระตุ้นให้มันกินอาหาร ไม่รู้ว่าใช้เนื้อไก่ เนื้อปลาที่หามาให้มันหรือเปล่า หรือว่าเอาอาหารที่เป็นของแกเอง เคี้ยวเหมือนกับเราจะสอนเด็กให้เคี้ยวข้าว แม่ก็ต้องเคี้ยวให้เด็กดู
ชิโต้ก็ทำอย่างนั้นกับจระเข้ ซึ่งตอนหลังตั้งชื่อว่าโปโช่ ดูแลมันอยู่ถึง 6 เดือน เรียกว่าแทบจะไม่ต้องทำอะไรเลย และไม่ใช่แค่หาอาหารให้มันกินเท่านั้น บางทีก็จูบ กอดแล้วก็ลูบมัน ตอนหลังไม่ได้ทำ นานๆที แต่ทำบ่อยๆทำเรื่อยๆ เอาอาหารมาให้ไม่พอต้องกอด ต้องจูบ ต้องลูบ
แกบอกว่าจระเข้ตัวนี้ต้องการความรักจากผม มันจะได้มีกำลังใจที่จะอยู่ต่อไป ปรากฏว่าในที่สุดโปโช่ก็รอด รอดได้ไม่ใช่เพราะอาหารหรือยาที่ชิโต้ให้เท่านั้น แต่เชื่อว่ารอดเพราะความรักที่ได้รับจากชิโต้ ซึ่งเรียกว่าไม่น่าเป็นไปได้เพราะอาการของมันถือว่าเพียบหนักมาก
พอมันหายดีแล้วชิ โต้ก็เอามันไปปล่อยในแม่น้ำ ปรากฏว่ามันไม่ยอมไป มันก็ยังมาว่ายวนอยู่ใกล้ๆชิโต้ สุดท้ายชิโต้ก็เลยต้องเลี้ยงมัน เลี้ยงมันในที่นี้หมายถึงว่าเอามันมาเป็นเพื่อน แต่การหากินนั่นโปโช่หากินเองได้แล้ว เพราะมันหายแล้ว ชิโตก็เลี้ยงโปโช่เหมือนกับญาติ เหมือนกับลูก ไปเยี่ยมมันทุกวันที่แม่น้ำ
และไม่ได้ไปเยี่ยมมันเฉยๆ แต่ว่ายเล่นกับโปโช่ด้วย จนใครๆประหลาดใจว่าจระเข้ซึ่งเป็นสัตว์เลื้อยคลานไม่น่ามีความผูกพันกับคน แต่โปโช่ก็ผูกพันกับชิโต้มาก และก็ไม่ทำร้ายใครด้วย แม้แต่มนุษย์คนหนึ่งก็ไม่ทำร้าย ทุกวันชิโต้จะเล่นน้ำกับโปโช่ เล่นกันอย่างสนุกสนานเหมือนกับเป็นเพื่อน เหมือนกับเป็นญาติ เหมือนกับเป็นลูก
จนกระทั่งวันหนึ่งมีคนหนึ่งมาเห็น เป็นคนในเมือง ก็เลยออกอุบายเอา 2 คนนี้ไปแสดงคล้ายๆบ่อจระเข้ที่สวนสัตว์จระเข้ ปากน้ำ คนก็มาดูกันใหญ่เลยจากทั่วโลก เพราะคอสตาริกามีชื่อเรื่องสิ่งแวดล้อมอยู่แล้ว คนมาดูชิโต้เล่นกับโปโช่วันละหลายรอบ แล้วมันก็รู้จักแสดงด้วย
เวลาชิโต้จะลงสระ โปโช่ก็จะว่ายเข้าไปหา แล้วก็อ้าปากกว้างๆ คนเห็นก็ตกใจคิดว่ามันจะงับคน พอโปโช่หรือจระเข้เข้ามาใกล้ถึงตัวชิโต้ มันก็รีบงับปากลงเลย รีบปิดปากสนิทเลย แล้วก็มาให้ชิโต้สัมผัส
บางทีมันก็ยอมให้ชิโต้ทูนหัว เอาหัวของชิโต้ทูนตรงปากของโปโช่ ทีแรกก็เห็นแต่โปโช่ลอยอยู่ในน้ำ สักพักทำไมหัวของโปโช่ลอยขึ้นมาเพราะมีหัวของชิโต้ทูนเอาไว้ ใกล้ชิดขนาดนั้น เรียกได้ว่ากลายเป็นคู่แฝด คู่รักหรือคู่แสดงที่มีชื่อมาก
เขาทำกันอย่างนี้อยู่ประมาณ 10 ปีได้ จนกระทั่งเมื่อ 10 ปีที่แล้ว โปโช่ตายเพราะ แก่ ตอนที่ตายก็อายุราว 40-50 ปี น้ำหนักเป็น 100 กิโล ตัวใหญ่ ตายไป ชิโต้ก็เศร้าโศกมาก มีการทำพิธีศพอย่างสมเกียรติ
ถือเป็นเรื่องที่แปลกที่จระเข้ซึ่งถือเป็นสัตว์เลื้อยคลานซึ่งมีสมองน้อยและน่ากลัวไม่น่าไว้วางใจ แต่โปโช่ตัวนี้แสดงถึงความรักความผูกพันกับมนุษย์โดยเฉพาะกับชิโตเหมือนกับเป็นพี่ เป็นน้อง เป็นเพื่อนกันเลย เรื่องแบบนี้ดูเหมือนเหนือธรรมชาติแต่ก็มีจริง บางเรื่องก็น่าทึ่งมาก
ที่ประเทศศรีลังกาเมื่อสัก 20 ปีที่แล้ว มีหมู่บ้านหนึ่งอยู่ริมทะเลซึ่งก็คือมหาสมุทรอินเดีย ลึกเข้าไปจากชายหาดมีสระน้ำใหญ่และลึก ไม่รู้ว่าเป็นสระน้ำจืดหรือน้ำเค็ม ชายคนหนึ่งซึ่งคงจะอยู่แถวนั้น ทุกเช้าแกก็จะเอาอาหารที่เหลือมาเลี้ยงปลา วันดีคืนดีปรากฏว่ามีจระเข้ตัวหนึ่งโผล่ขึ้นมารับอาหารด้วย แกก็ให้ทุกวัน มีคนท้วงว่าอย่าไปให้มัน จระเข้ไว้ใจไม่ได้
แต่ชายคนนั้นก็ไม่สนใจ ยังคงให้มันทุกวันจนจระเข้มันรู้เวลา พอถึงตอนเช้าก็จะมารับอาหารจากชายคนนี้พร้อมกับปลาตัวอื่นๆด้วย แล้ววันหนึ่งคือวันที่ 26 ธันวาคม 47 ตอนสายๆ ปรากฏว่าเกิดคลื่นยักษ์สึนามิจากภูเก็ต พังงา มาถึงประเทศศรีลังกา คลื่นสึนามิสูงมาก ซัดเข้ามาในแผ่นดิน แล้วลากถอยกลับไปในทะเล
ตอนที่มันถอยกลับไปในทะเล คลื่นก็ลากเอาทั้งคนทั้งสัตว์และสิ่งของต่างๆ ลงไปในทะเลลึกด้วย ชายคนนี้ก็โดนคลื่นลากลงไป อาจจะไม่ถึงกลางทะเลแต่ว่าก็อยู่ไกลจากชายฝั่ง จมน้ำลงไปจนแทบจะเอาตัวไม่รอด ก็พยายามหาทางว่ายน้ำเพื่อจะขึ้นถึงผิวน้ำให้ได้ มือก็พยายามจับโน่นจับนี่ แต่ว่าไม้ต่างๆก็หลุดจากมือ จนกระทั่งไปเจอซุงอยู่ท่อนหนึ่งแกก็รีบฉวย
แล้วก็อาศัยซุงนี้พาตัวขึ้นสู่ผิวน้ำ ซึ่งตอนนั้นคลื่นก็แรงมาก แต่แกก็พยายามเกาะซุงเอาไว้เพราะเหนื่อยแล้ว ไม่มีแรงพยุงตัว แต่สักพักก็สังเกตว่าซุงท่อนนี้ไม่ได้ไหลไปตามทางทะเล แต่กลับไหลเข้าหาฝั่ง ซึ่งผิดวิสัยที่ซุงจะทวนน้ำ ปรากฏว่ามันไม่ใช่ซุงแต่มันคือจระเข้ แล้วจระเข้ตัวนั้นก็พาเขาเข้าถึงฝั่งอย่างปลอดภัย
ภายหลังเขาก็มารู้ว่าจระเข้ตัวที่ช่วยชีวิตเขาไว้ก็คือ จระเข้ตัวที่เขาให้อาหารมันเป็นประจำ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อ ดูเหมือนเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมาแต่พอมาฟังเรื่องของโปโช่ ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เมค make ขึ้นมา เป็นเรื่องจริงเพราะก็มีกรณีแบบนี้อยู่ไม่ใช่กรณีเดียว
กรณีอย่างนี้ก็ชี้ให้เห็นว่า สัตว์นั้นแม้กระทั่งสัตว์เลื้อยคลาน เช่น จระเข้ที่ดุร้ายก็มีความรู้สึกผูกพันกับมนุษย์ได้ มีความกตัญญู และอาจจะมีความรักชนิดที่เรียกว่าพร้อมจะช่วยเหลือคนที่มันผูกพันได้
สัตว์มีน้ำใจที่ทำให้การที่เราจะปฏิบัติต่อสัตว์อย่างไร้น้ำใจเหมือนมันไม่มีความรู้สึกใดๆ แบบนั้น ถือเป็นความเข้าใจที่ผิด มันมี แต่อยู่ที่ว่าเราจะปฏิบัติต่อมันอย่างไร อันนี้ต่างหากที่สำคัญ.