พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 29 พฤษภาคม 2568
เมื่อ 2 ปีก่อน ที่รัฐฟลอริดาในอเมริกาออกกฎหมายห้ามเด็กนักเรียนใช้โทรศัพท์มือถือระหว่างที่ไปโรงเรียน กลายเป็นข่าวฮือฮากันมาก
2
ปีหลังจากนั้นปรากฏว่า มีรัฐต่างๆ ทำตาม ตอนนี้มี 26 รัฐแล้ว เกินครึ่งของอเมริกาที่มีกฎหมายควบคุมการใช้โทรศัพท์มือถือของนักเรียน บางรัฐห้ามใช้มือถือระหว่างที่เข้าห้องเรียน แต่บางรัฐเข้มงวดกว่านั้น ห้ามเอาโทรศัพท์มือถือเข้าไปในโรงเรียนเลย หรือมิเช่นนั้นก็ต้องมีการล็อก การยึด ไม่ว่าจะอยู่นอกห้องเรียนหรืออยู่ในห้องเรียนถ้ายังอยู่ในโรงเรียน ก็ใช้ไม่ได้
นอกนั้นยังมีประมาณสัก 7 รัฐที่แม้จะไม่มีกฎหมายห้ามการใช้โทรศัพท์มือถือในโรงเรียน แต่ว่าก็มีคำแนะนำให้กับโรงเรียนในท้องถิ่น เพราะว่าหลายรัฐในอเมริกา ในระดับท้องถิ่น เช่น เมือง เขามีอำนาจมากกว่ารัฐ อำนาจทางการศึกษาเขากระจายไปสู่ท้องถิ่น
โรงเรียนท้องถิ่นนี้จะมีอิสรภาพหรือว่าความเป็นตัวของตัวเองมากกว่า รัฐจะไปบังคับไม่ได้ รัฐเหล่านี้ก็เลยให้คำแนะนำกับโรงเรียนและท้องถิ่น เกี่ยวกับเรื่องการควบคุมการใช้โทรศัพท์มือถือของเด็กนักเรียนในโรงเรียน
เพราะตอนนี้ข้อเสียหรือผลกระทบต่อนักเรียนนี้ชัดเจนมาก วุฒิสมาชิกคนหนึ่งในรัฐคอนเนตทิคัต ซึ่งเป็นคนที่ผลักดันกฎหมายให้รัฐนี้ออกกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องการควบคุมการใช้โทรศัพท์มือถือของเด็กนักเรียน
เขาบอกเลยว่า โทรศัพท์มือถือเป็นเหมือนกับมะเร็งสำหรับเด็กเลย ไม่ใช่มะเร็งทางกาย แต่เป็นมะเร็งทางสติปัญญาและทางจิตใจ เพราะมันทำให้เด็กปลีกตัวแยกขาดจากคนอื่น ทำให้เกิดความโดดเดี่ยวอ้างว้าง ทำให้ความสนใจแย่ลง และทำให้เกิดปัญหาทางจิต เช่น เกิดความซึมเศร้า เกิดความรู้สึกด้อย ไร้ค่า หรือบางทีก็ถูกบูลลี่ ถูกเพื่อนด้วยกันกลั่นแกล้ง ด่าว่า นอกจากนั้นผลการเรียนก็แย่ลงด้วย การเรียนรู้ของเด็กนี้แย่หมดเลย
มีหลายรัฐเขาก็ผลักดันเรื่องนี้โดยให้เหตุผลว่า มันไม่ใช่เป็นผลเสียต่อการเรียนเท่านั้น แต่ยังมีผลเสียต่อสุขภาพจิตของเด็ก
อันนี้ก็เป็นเรื่องที่คนที่เป็นครู เป็นพ่อแม่นี้ควรจะรับรู้เอาไว้แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในอเมริกา ก็ควรจะรับรู้ไว้ว่าผลเสียของโทรศัพท์มือถือที่มีต่อเด็ก เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าส่งผลทั้งในแง่การเรียนรู้ของเด็ก ทั้งในแง่ของสุขภาพจิตของเด็ก และก็คงไม่ใช่แค่ 26 รัฐ ต่อไปก็จะมีรัฐอื่นๆ ทยอยออกกฎหมายที่ว่านี้มาเรื่อยๆ
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องเฉพาะครูเท่านั้นที่ควรจะห่วงใยการใช้โทรศัพท์มือถือของเด็กนักเรียน พ่อแม่ก็ต้องห่วงใยด้วย เพราะว่ากฎหมายที่ว่านี้ห้ามเด็กใช้เฉพาะเวลาไปโรงเรียน
แต่เวลาอยู่นอกโรงเรียนรวมทั้งเวลาอยู่บ้าน ถ้าเด็กยังใช้โทรศัพท์มือถือกันอย่างไม่บันยะบันยังอย่างนี้ เด็กก็แย่ เด็กบางคนนี้พอกลับถึงบ้านนี้ก็จะเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง ฝรั่งเขามีห้องส่วนตัวไม่ให้พ่อแม่เข้าไปยุ่มย่าม จะเข้าไปก็ต้องขออนุญาตก่อน
เด็กเข้าไปเก็บตัวในห้อง ไม่ใช่ว่าไปทำการบ้าน แต่เล่นมือถือ และมือถือที่เด็กใช้นี้บางทีก็บั่นทอนไม่ใช่แค่สุขภาพจิตของเด็ก แต่รวมถึงทัศนคติด้วย เพราะว่าเดี๋ยวนี้มีโซเชียลมีเดีย มีเว็บไซต์ มีช่องทางที่เด็กจะถูกปลุกปั่นให้เกิดความโกรธ ความเกลียดชังเกี่ยวกับเรื่องคนที่คิดต่างจากตัว ผิวสีที่ต่างจากตัว นับถือศาสนาที่ต่างจากตัว
แม้กระทั่งนักเรียนชาย ก็ถูกปลุกปั่นให้เกลียดผู้หญิงได้ เพราะว่าเดี๋ยวนี้ในเมืองนอกนี้ ผู้หญิงมีความรู้ มีโอกาสมากขึ้น นักเรียนที่ทำคะแนนดีๆ เป็นที่หนึ่งเป็นผู้หญิงเยอะมาก คณะต่างๆ ที่เข้ายากส่วนใหญ่ก็เป็นผู้หญิง ผู้ชายถูกปลุกปั่นให้เกลียดผู้หญิงเพราะว่าแย่งโอกาส ทำให้ตัวเองรู้สึกด้อย
และเดี๋ยวนี้ผู้หญิงบางคนถ้าเจอถ้านักเรียนผู้ชายเรียนไม่เก่ง ไม่หล่อ ไม่รวย ผู้หญิงก็ไม่คบ เขาก็เลยเกิดความรู้สึกเกลียดชัง ถึงขั้นลงมือทำร้ายผู้หญิงได้
เมื่อเร็วๆ นี้เขาก็ทำเป็นหนังซีรีย์ เด็กอายุ 13 ปีไปฆ่าเพื่อนที่เป็นผู้หญิง เพราะว่านอกจากเรียนเก่งกว่าแล้ว ก็ยังไม่ไยดี ไม่สนใจเขา รู้สึกด้อย อันนี้ส่วนหนึ่งก็เพราะถูกปลุกปั่นทางโซเชียลมีเดีย เว็บไซต์ต่างๆ ทำให้รังเกียจ ให้เกลียดชังผู้หญิง
และไม่ใช่เรื่องผู้หญิงอย่างเดียว คนต่างผิวก็เกลียด คนที่คิดต่างจากตัวในทางการเมืองก็เกลียด ถึงขั้นลงมือทำร้ายกัน ก็เป็นวัยรุ่นถูกปลุกปั่นขณะอยู่ที่บ้าน ยังไม่นับประเภทที่ว่าติดเกมจนไม่เป็นอันเรียนหนังสือ ไม่เป็นอันนอน ติดการพนัน หมดเนื้อหมดตัว
ถึงแม้ว่ารัฐต่างๆ จะมีกฎบังคับเด็กให้จำกัดการใช้มือถือ แต่เด็กก็ยังไม่ปลอดภัยเพราะกลับไปบ้านถ้าพ่อแม่ไม่สนใจ ปล่อยให้เด็กใช้มือถือ เด็กก็เสียผู้เสียคนได้ง่าย
อันนี้ก็เป็นอุทาหรณ์สอนใจพ่อแม่คนไทยด้วย เพราะเดี๋ยวนี้เรามักจะให้เด็กให้ลูกให้หลานใช้มือถือตั้งแต่ยังไม่เข้าเรียนเลย 2-3 ขวบก็ใช้มือถือใช้แท็บเล็ตแล้ว เพราะว่ารำคาญที่เด็กร้องไห้ก็ยัดโทรศัพท์มือถือยัดแท็บเล็ตให้ เด็กจะได้เลิกร้องไห้ จะได้เลิกกวนพ่อแม่หรือว่าปู่ย่าตายาย หารู้ไม่ว่านี่คือการยัดยาพิษให้กับเด็ก ยาพิษทางสติปัญญา ทางจิตใจ
แต่เดี๋ยวนี้พ่อแม่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเพราะเด็กร้องขออยากได้มือถือ ถ้าไม่ได้ก็เอะอะโวยวาย รู้สึกด้อยเพื่อนๆ ก็มีกันทำไมเรามีไม่ได้ เด็กบางคนถึงกับฆ่าตัวตายเพราะพ่อแม่ไม่ซื้อมือถือให้ ก็เป็นการตัดสินใจที่ยากลำบากของคนที่เป็นพ่อแม่หรือปู่ย่าตายาย แต่อย่างน้อยก็ต้องรู้ไว้ว่ามันมีโทษ
และที่จริงตัวพ่อแม่เองก็ต้องระวัง เพราะมือถือนี้ไม่ใช่บั่นทอนจิตใจของเด็กอย่างเดียว ผู้ใหญ่ก็เหมือนกันเสียผู้เสียคนก็เพราะมือถือ ติดเกมส์ออนไลน์ ติดพนัน ยังไม่นับประเภทว่าเปิดเป็นช่องทางให้มิจฉาชีพมาหลอกเอาเงินไป หมดกันไปเป็นแสนๆ เป็นล้านก็มี
อันนี้ก็เป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวัง ประโยชน์ก็มี แต่โทษก็เยอะ และเดี๋ยวนี้มันไม่ใช่แค่มือถือ มือถืออาจจะจิ๊บจ๊อยไปก็ได้ เพราะตอนนี้มี AI แล้ว มีปัญญาประดิษฐ์
เมื่อเร็วๆ นี้มีครูคนหนึ่งในอเมริกา เขาบอกนักเรียนของตัวเองเดี๋ยวนี้อ่านไม่เป็นแล้วเพราะว่า AI หรือมือถือมันทำงานให้ เวลาเจอข้อความเจอประโยคยาวๆ นี้อ่านไม่ออกไม่เป็นไร เพราะมือถือหรือ AI จะอ่านให้ฟัง
เดี๋ยวนี้เด็กนอกจากอ่านไม่เป็นแล้ว เขียนไม่เป็นด้วย เพราะว่า ChatGPT เขียนให้ ทำการบ้านส่งครูก็ไม่ต้องใช้ปัญญา สั่งให้ ChatGPT ทำ ครูบอกให้นักเรียนเขียนเรียงความ 5 ประโยค ซึ่งน้อยมาก แต่เด็กเขียนได้แค่ 2 ประโยค เขียนต่อไม่ได้ เพราะว่าคิดไม่ออก แต่เวลาพูดนี้พูดได้ยาวเป็นชั่วโมง เพราะว่าสมองถูก AI ทำร้ายจนกระทั่งคิดไม่เป็น
แต่ก่อนคำนวณ คิดในใจก็ไม่เป็นเพราะว่าใช้เครื่องคิดเลข แต่นั่นยังไม่หนักเท่ากับว่าอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้เพราะว่า ChatGPT หรือว่า AI ทำงานแทนให้ ดูเหมือนว่าสะดวกสบาย แต่ว่ามันกลับบั่นทอนสติปัญญาของเรา เหมือนกับมีรถยนต์นี้สะดวกสบาย แต่ทำให้ร่างกายของคนนี้อ่อนแอเพราะว่าเดินไม่เป็น ก็เลยเป็นโรคหัวใจ โรคนานาชนิด เป็นเพราะมีความสะดวกสบายมาก ซึ่งเป็นความสะดวกทางกาย
สะดวกสบายทางสติปัญญามากๆ ก็ไม่ดี อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ คิดไม่เป็น พูดง่ายๆ หัวสมองเป็นขี้เลื่อยเลย และจะอยู่ได้อย่างไรในโลกทุกวันนี้.