PAGODA

  • Create an account
  • Forgot your username?
  • Forgot your password?
or

Connection

Your e-mail is required to ensure the proper functioning of the Website and its services and we make a commitment not to reveal it to third parties

  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ
PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ

เข้าสู่ระบบ / สมัครสมาชิก

เข้าสู่ระบบ

  • สมัครสมาชิก
  • ลืมชื่อผู้ใช้?
  • ลืมรหัสผ่าน?

Search

  • หน้าแรก
  • เสียง
  • พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล
  • ความดีที่น่าทำ
ความดีที่น่าทำ รูปภาพ 1
  • Title
    ความดีที่น่าทำ
  • เสียง
  • 13928 ความดีที่น่าทำ /aj-visalo/2025-06-04-04-21-08.html
    Click to subscribe
    • Share
    • Tweet
    • Email
    • Share
    • Share

ผู้ให้ธรรม
พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล
วันที่นำเข้าข้อมูล
วันพุธ, 04 มิถุนายน 2568
  • แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]

  • พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 27 พฤษภาคม 2568
    มีหมอชาวญี่ปุ่นคนหนึ่ง อายุเกือบ 70 แล้ว ชื่อ ฮิโรชิ เป็นหมอด้านผ่าตัด เชี่ยวชาญด้านระบบประสาท เขาเกิดที่โอกินาวา แต่ว่าไปทำงานที่ไซตามะ ไซตามะอยู่ใกล้โตเกียว แต่ทุกเดือนเขาต้องมาที่โอกินาวาเพื่อมาเยี่ยมเยียนดูแลผู้ป่วย เดือนละครั้ง ก็ถือโอกาสมาเยี่ยมบ้านเกิดด้วย
    วันหนึ่ง ขณะที่จะนั่งรถไฟที่โอกินาวา เห็นชายหนุ่มคนหนึ่ง ท่าทางเป็นนักเรียน อายุสัก 16-17 กำลังค้นอะไรสักอย่าง และท่าทางจะหาไม่เจอ เพราะว่าสีหน้าไม่ดีเลย หมอฮิโรชิเลยถามว่าเกิดอะไรขึ้น
    เขาบอกว่า วันนี้เขาตั้งใจจะไปงานศพของลุง ลุงคนนี้อยู่ที่เกาะโยนากุนิ ไม่ไกลจากโอกินาวา แต่ต้องนั่งเครื่องบิน และเครื่องบินมีน้อย มีไม่กี่เที่ยวในแต่ละวัน แต่ว่าเงินที่เขาเตรียมมาหาย หายทั้งกระเป๋า เลยร้อนใจมาก
    หมอเลยถามชายหนุ่มคนนี้ ชื่อ ซากิโมโตะ ว่าค่าเครื่องบินเท่าไร 60,000 เยนครับ ถ้าคิดเป็นเงินบาทประมาณเกือบ 20,000 บาท หมอฮิโรชิเขาไม่ลังเล เขายื่นเงินให้เลย 60,000 เยน ซากิโมโตะดีใจใหญ่
    เมื่อหมอฮิโรชิกลับไปโตเกียว ก็เล่าเรื่องนี้ให้เพื่อน ๆ รวมทั้งหมอที่ไซตามะ หลายคนพูดเสียงเดียวกันว่า คุณถูกหลอกแล้วล่ะ คนที่ถูกหลอกแบบนี้มีหลายคน แต่ว่าหมอฮิโรชิเขาว่า ไม่เป็นไร 60,000 เยน สำหรับเขาแล้ว ไม่ได้มากมายอะไร แต่เขายังเชื่อว่าหนุ่มคนนี้คงไม่หลอกเขาหรอก
    ผ่านไป 1 เดือน มีเพื่อนมาบอกว่า หนุ่มคนที่คุณให้เงินตอนนี้ออกข่าวแล้วในหน้าหนังสือพิมพ์ และยื่นหนังสือพิมพ์ให้หมอฮิโรชิ ข่าวที่ว่าไม่ใช่เป็นข่าวอาชญากรรมหรืออะไร แต่เป็นประกาศแจ้งความจากซากิโมโตะ บอกว่าตามหาผู้มีพระคุณที่ให้เงิน 60,000 เยน
    เรื่องของเรื่องคือว่า ซากิโมโตะเป็นคนที่เกาะโยนากุนิ และอยู่กับลุง ลุงเลี้ยงดูมา ตอนหลังซากิโมโตะมาเรียนที่โอกินาวา วิทยาลัยเทคนิค และแทบจะไม่ได้กลับไปเยี่ยมลุงเลย จนกระทั่งได้ข่าวว่าลุงตาย เขาเลยตั้งใจว่าจะไปงานศพลุง พ่อให้เงิน 60,000 เยนให้กับซากิโมโตะเพื่อไปซื้อตั๋วเครื่องบิน แต่ว่าตอนที่เขานั่งรถไฟไปสนามบิน กระเป๋าเงินหาย ไม่รู้ทำอย่างไร
    แต่โชคดี ได้คนใจบุญ คือหมอฮิโรชิ ให้เงิน แต่ด้วยความรีบร้อน เขาเลยไม่ได้ถามชื่อถามที่อยู่ของหมอฮิโรชิ เพราะตั้งใจว่าจะรีบไปงานศพให้ทัน พอเสร็จงานศพก็เล่าเรื่องนี้ให้พ่อฟัง พ่อบอกว่า เงินที่เขาให้มาเราต้องคืนเขา แต่จะคืนอย่างไร เพราะว่าไม่ได้ถามชื่อ ไม่ได้ถามที่อยู่อะไรเลย ซากิโมโตะบอก พ่อเลยบอกว่า อย่างนั้นต้องหา ตามหาให้ได้
    สุดท้ายซากิโมโตะเลยไปประกาศแจ้งความโดยการแนะนำของอาจารย์ แจ้งความในหน้าหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นโอกิโอกินาวา บอกว่า ต้องขอบคุณผู้มีพระคุณคนหนึ่งที่ให้เงินผม 60,000 เยน ตอนนั้นผมรีบไปหน่อย เลยไม่ได้ถามชื่อที่อยู่เพื่อที่จะหาเงินคืนให้ ต้องขอโทษด้วย แต่ถ้าเกิดว่าท่านผู้มีพระคุณได้อ่านประกาศนี้ ขอให้ช่วยติดต่อด้วย ผมพร้อมจะคืนเงิน และมีของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้
    พอหมอฮิโรชิได้อ่านประกาศ เลยติดต่อไป ซากิโมโตะดีใจมากที่ได้เจอหมอฮิโรชิ และคืนเงินให้ 60,000 เยน พร้อมกับที่ทับกระดาษขนาดเล็ก ๆ แต่ว่าสวย เป็นของขวัญเป็นเครื่องตอบแทน
    มีคนไปถามว่า ทำไมฮิโรชิถึงกล้าให้เงินกับคนที่ไม่รู้จักตั้ง 60,000 เยน ฮิโรชิบอกว่า ตอนสมัยที่เขายังหนุ่ม เคยไปเล่นสกีที่ยุโรป และมีคราวหนึ่งเกิดอุบัติเหตุบาดเจ็บที่ขา เดินแทบไม่ได้ และตอนนั้นหิมะตกหนัก ตอนนั้นอยู่ในป่า บังเอิญมีคนฝรั่งเศสคนหนึ่งมาช่วยเอาไว้ พาเขากลับที่พัก ฮิโรชิขอบคุณใหญ่ ชาวฝรั่งเศสคนนั้นบอก ไม่เป็นไร แล้วหายไปเลย
    ฮิโรชิซาบซึ้งใจมาก เลยตั้งใจว่า ในชีวิตนี้อยากจะขอตอบแทนความดีของชายคนนี้ด้วยการช่วยเหลือผู้อื่น เขาเป็นหมอ เขาเลยตั้งใจช่วยคนที่เดือดร้อนโดยที่ไม่เกี่ยงเรื่องรายได้หรือว่าค่าตอบแทน และเขาช่วยมาแล้ว 300 คน และเมื่อเขาเห็นเด็กหนุ่มคนนี้ ซากิโมโตะ เขาเห็นว่าเขาเดือดร้อน เลยอยากจะช่วย
    อันนี้คือแรงจูงใจที่ทำให้คนคนหนึ่งพร้อมที่จะช่วยคนแปลกหน้า ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าเขาพูดจริงหรือเปล่า แต่ปรากฏว่าเขาพูดจริง เงินเขาหายจริง ๆ และตอนหลังซากิโมโตะก็ได้เงินคืน มีคนเจอกระเป๋า และส่งเงินมาคืนเขา
    คนญี่ปุ่นเขาดี แม้เขาไม่ได้ถือศีล 5 หรือรับศีลเป็นประจำทุกวันอย่างคนไทย แต่ว่าเวลาเขาเจอเงินใครตก เขาไม่เก็บ เขาหาทางคืน มีน้อยมากที่จะเอาไว้ใช้ส่วนตัวหรือเอาเข้ากระเป๋าตัวเอง เขาจะพยายามหาเงินคืน เป็นอันว่าเรื่องนี้จบลงด้วยดี
    เรื่องนี้สอนอะไรเรา อย่างแรกที่ได้บอกเราคือว่า เวลาเราทำความดี ความดีจะไม่ได้ยุติแค่คนคนที่เราช่วย แต่ว่าจะส่งผลกว้างไกลออกไปเรื่อย ๆ เหมือนกับคลื่นน้ำ
    อย่างชาวฝรั่งเศสคนนั้นช่วยหมอฮิโรชิ เป็นเหตุดลใจให้หมอฮิโรชิเขาช่วยคนอื่น รวมทั้งช่วยซากิโมโตะ และเชื่อว่าซากิโมโตะ เมื่อเขามีโอกาส เขาคงจะช่วยคนที่เดือดร้อน เป็นลูกโซ่ต่อเนื่องกันไป ฉะนั้น ความดีที่เราทำไม่ได้แค่ยุติตรงที่คนที่เราช่วย แต่ว่าจะกระจายกว้างไกลออกไป
    อีกอันหนึ่งคือเรื่องนี้ชี้ว่า เวลาเราเจอคนที่เราไม่รู้ว่าเขาเดือดร้อนจริงหรือเปล่า การช่วยเขาย่อมเกิดผลดีกว่าไม่ช่วย อย่างซากิโมโตะ หมอฮิโรชิไม่รู้จัก แต่เมื่อเขาตัดสินใจช่วยซากิโมโตะ มันเกิดผลมาก เพราะว่าพอชายหนุ่มคนนั้นมีเงินค่าเครื่องบิน เขาก็ได้มีโอกาสตอบแทนบุญคุณของลุง
    แต่ถ้าเกิดว่าหมอฮิโรชิไม่ช่วย มันคงจะเป็นแผลค้างคาใจในใจของซากิโมโตะ พูดง่าย ๆ คือว่า การช่วยของหมอฮิโรชิสามารถเปลี่ยนชีวิตของซากิโมโตะได้ แต่ถ้าไม่ช่วย อาจจะทำให้ซากิโมโตะมีตราบาปอยู่ในใจ
    แต่สมมุติว่าซากิโมโตะหลอก ไม่ได้ไปงานศพของลุงหรอก เป็นแค่มิจฉาชีพ ถ้าหมอฮิโรชิช่วย ก็แค่เสียเงินไป 60,000 เยน แต่ถ้าหมอฮิโรชิไม่ช่วย ก็ไม่เกิดอะไรขึ้น หักลบกลบหนี้แล้ว การช่วยมีผลดีกว่าไม่ช่วย และการไม่ช่วยเขามีผลเสียมากกว่า ถ้าหากว่าคนที่เราช่วยนั้นเขาเดือดร้อนจริง หรือเป็นคนที่ซื่อสัตย์จริง ๆ
    ฉะนั้น เวลาเราเจอกรณีแบบนี้ เจอคนที่เราไม่รู้จักและบอกเราว่าเขากำลังเดือดร้อน เช่น กำลังจะไปเยี่ยมพ่อที่ป่วยหนักที่ต่างจังหวัด กำลังจะไปเยี่ยมลูกที่ประสบอุบัติเหตุรุนแรงเป็นตายเท่ากัน หรือจะไปดูใจย่ายายที่กำลังจะตาย แต่เขาไม่มีเงินค่าเดินทางเลย เพราะเงินหาย ถูกคนขโมยไป เราไม่รู้เขาพูดจริงหรือเปล่า เราควรจะทำอย่างไร ควรช่วยเขา คือให้เงินเขา หรือไม่ให้ เพราะเป็นไปได้ว่าเขาอาจเป็นมิจฉาชีพ ตั้งใจหลอกเราเพื่อเอาเงิน
    ลองคิดแบบนี้ก็ได้ว่า หากเขาพูดจริงแล้วเราให้เงินเขา ย่อมเกิดผลดีกว่า การไม่ให้เงินเขาแล้วพบว่าที่จริงเขาตั้งใจหลอกเรา เพราะถ้าเราให้เงินเขา เขาก็สามารถไปเยี่ยมพ่อที่กำลังจะตาย แต่ถ้าเขาหลอกเราแล้วเราไม่ให้เงินเขา เราก็แค่ไม่เสียเงิน
    ขณะเดียวกันถ้าเกิดว่าเขาพูดจริงแล้วเราไม่ให้เงินเขา ก็จะเกิดผลเสียมากกว่าการให้เงินเขาแล้วพบในเวลาต่อมาว่าเขาหลอกเรา เพราะว่าถ้าเราไม่ให้เงินเขา เขาก็คงจะเศร้าโศกเสียใจมาก
    แต่ถ้าเราให้เงินเขาเพราะถูกหลอก เราก็แค่เสียเงินไม่มาก เทียบกันระหว่าง ความเศร้าโศกเสียใจจนอาจค้างใจเขาไปจนตาย กับการที่เราเสียเงินไม่กี่บาทแล้ว อย่างแรกมีผลเสียที่รุนแรงกว่า
    อันนี้เป็นแง่คิดที่น่าพิจารณาเวลาเราเจอคนที่เราไม่รู้จักและเขาต้องการความช่วยเหลือจากเรา
    แม้เราไม่แน่ใจว่าเขาพูดจริงหรือไม่ แต่เมื่อบวกลบคุณหารหรือชั่งน้ำหนักดูแล้ว เราอาจจะพบว่า การช่วยดีกว่าไม่ช่วย โดยเฉพาะถ้าเราช่วยตามกำลังของเรา ถ้าเราถูกหลอกก็เสียเงินนิดหน่อย แต่ถ้าเขาพูดจริง การช่วยของเราเกิดผลมากทีเดียว เรียกว่าคุ้มมาก ผลดีมีมากกว่าผลเสีย อันนี้เป็นเรื่องที่น่าจะเอาไปพิจารณา.

logo

  • เกี่ยวกับเรา
  • ติดต่อเรา
  • จดหมายข่าว
  • Privacy Policy
  • Terms of Service