พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้า วันที่ 22 พฤษภาคม 2568
ไม่กี่ปีมานี้เองที่พวกเราได้เจอสิ่งที่ไม่เคยเจอมาก่อนคือ วิกฤติโควิด คงจำได้ 3-4 ปีก่อนนี้ คนทั้งประเทศต้องเจอกับภาวะเงินล็อกดาวน์ เดินทางไปไหนมาไหนไม่ได้ เท่านั้นไม่พอหลายคนก็ทำมาหากินไม่ได้ เพราะว่าร้านค้าก็หยุดขายของ ร้านอาหารก็ต้องปิด โรงงานก็ต้องหยุดทำงาน หลายคนก็ต้องกลับไปบ้าน ไม่มีงานทำ และก็ไม่ไม่มีเงินใช้
แต่อย่างนั้นก็ยังดีกว่าหลายคนที่พอเจ็บป่วยเพราะโควิด ต้องล้มตาย แม้จะได้รับการพยาบาลที่ดีที่สุด อยู่โรงพยาบาลที่แพงที่สุดก็ยังตาย ยังไม่ต้องพูดถึงจำนวนไม่น้อยที่ไม่สามารถไปโรงพยาบาลได้ เพราะโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดนั้นไม่มีเตียง แถมไม่มีคนพาไปโรงพยาบาลด้วย เพราะอยู่คนเดียว หรืออยู่กันสองคน ทั้งสองคนก็ป่วย มีแต่คนที่ใจดีคอยเอาอาหารมาส่งให้ แต่บางทีก็กินไม่ได้ หรือไม่มีแรงไปหยิบอาหารที่เขาแขวนไว้หน้าประตู บางคนก็ต้องตายอยู่ที่บ้านทั้งๆ ที่คนภายนอกก็รู้แต่ว่าไม่สามารถจะช่วยได้ เพราะโรงพยาบาลไม่มีเตียง ไม่มีคนช่วย
และนี่คือสิ่งที่คนไทยทั้งประเทศที่จริงก็ทั้งโลกนี้ไม่เคยเจอ และหลายคนก็รู้สึกว่าชีวิตนี้ทำไมมันโหดร้ายแบบนั้น แต่ตอนนั้นอาตมาก็เคยบอกไว้แล้วว่า วิกฤตโควิดนี้มันเป็นเผาหลอก ยังมีเผาจริงรอเราอยู่ เพราะว่าโควิดนี้มันมีวันยุติ ซึ่งตอนนี้ก็ยุติไปได้หลายปีแล้ว จนบางคนนี้ลืมไปแล้วว่าชีวิตเราเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มา เราก็ใช้ชีวิตเหมือนเดิม ลั้ลลาเหมือนกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
และก็ไม่ได้เรียนรู้จากเหตุการณ์นั้นเลย ว่ามันจะมีอะไรที่ร้ายแรงเกิดขึ้นกับเราก็ได้ อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ในยุคนี้ คนก็กลับมาสู่ความประมาท หลงลืม ไม่ได้คิดเตรียมตัวป้องกันวิกฤตครั้งต่อไปที่จะเกิดขึ้น ซึ่งไม่ใช่มีแค่โควิด ตอนนี้วิกฤตอีกอย่างหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นมาทีละเล็กทีละน้อย ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นมา และกำลังจะกลายเป็นพายุใหญ่ก็คือ วิกฤตโรคร้อน
หลายคนสนุกกับชีวิต เพลิดเพลินกับความสะดวกสบาย จนลืมไปว่าตอนนี้เรากำลังอยู่ท่ามกลางวิกฤตโลกร้อน ตอนนี้เพิ่งเริ่มต้นต่อไปก็จะรุนแรงกว่านี้ และที่มันแย่กว่าโควิดก็คือว่า ไม่รู้ว่ามันจะเลิกเมื่อไหร่ จะหยุดเมื่อไหร่ อาจจะยาวนานเป็นศตวรรษก็ได้
และถ้ามันรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็หมายความว่าอาจจะเกิดน้ำทะเลท่วมกรุงเทพ อาจจะเกิดความแห้งแล้งขนานใหญ่ พืชพันธุ์ธัญญาหารไม่สามารถปลูกได้ ข้าวยากหมากแพงก็จะเกิดขึ้น น้ำก็จะหายาก โรคระบาดก็จะแพร่หลาย มีโรคนานาชนิดเกิดขึ้น เหล่านี้ผู้คนไม่ค่อยได้เตรียมตัวเตรียมใจรับมือกับมันเท่าไหร่ หรือไม่คิดที่จะหาทางบรรเทา ตอนนี้ป้องกันคงยากแล้วแต่ว่าช่วยบรรเทาให้มันคลายความรุนแรงนี้ อันนี้ก็ยังอยู่ในวิสัยที่จะทำได้
ตอนนี้โลกร้อนเป็นปัญหาใหญ่ ปัญหาใหญ่กว่าปัญหาต่างๆที่เป็นข่าวหน้าหนึ่ง เพราะว่าปัญหาต่างๆ นี้ แม้จะเป็นปัญหาสงครามจะรุนแรงแค่ไหน มันก็มีวันยุติในอีกไม่กี่ปี อย่างมากก็ 20 ปี แต่ว่าโลกร้อนนี้เป็นศตวรรษ มันยืนยาวขนาดนั้น
เมื่อเร็วๆ นี้ตอนต้นเดือนมีข้อมูลที่น่าสนใจ อาจจะไม่ได้เกี่ยวกับความรุนแรงของวิกฤตโลกร้อน แต่ก็ชี้ให้เห็นถึงที่มา หรือตัวการที่ก่อปัญหาโลกร้อนให้รุนแรงมากขึ้น คือเขาพบว่าคนที่มีฐานะทางเศรษฐกิจที่ดี ร่ำรวย มีส่วนในการทำให้โลกร้อนรุนแรงมากขึ้น
ถ้าหากว่าจัดอันดับคนทั้งโลก จากกลุ่มคนยากจนที่สุดไปถึงกลุ่มคนรวยที่สุด 10% แรกเป็นตัวการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่บรรยากาศของโลกสูงถึง 65%
ก๊าซเรือนกระจกที่เป็นตัวการทำให้เกิดโลกร้อน 65% มาจากการใช้ชีวิต การบริโภค หรือนโยบายเศรษฐกิจที่ส่งเสริมปรนเปรอสนับสนุนคนร่ำรวยหรือคนมีฐานะดี 10% หรือคน 10% แรก ซึ่งกลุ่มนี้เป็นตัวการก่อปัญหา ปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึง 65% ในบรรยากาศโลกทุกวันนี้
แปลว่าคนส่วนใหญ่ 90% นี้ก่อให้เกิดปัญหาเรือนกระจกนี้แค่ 35 %
เขาก็ยังวิเคราะห์เจาะลึกลงไปอีกว่า ในบรรดาคนร่ำรวย 10% แรกนี้ ปรากฏว่า 1% แรก ก็คือเอาคนที่รวยสูงสุดนี้ 1% นี้มาดู เขาพบว่า 1% ของประชากรโลกซึ่งมีฐานะการเงินดีมากเป็นตัวการปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึง 20% คิดดู 1% แต่ว่าก่อปัญหาปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึง 20%
และเจาะลึกลงไปอีก ในบรรดาคน 1% ที่ว่านี้ หรือว่าที่ร่ำรวยที่สุด คือ 0.1% ปล่อยก๊าซเรือนกระจก ให้กับโลกนี้ 8%
ในแง่หนึ่งมันก็เป็นการชี้ว่าปัญหาโลกร้อนนี้ มันไม่ได้เป็นเรื่องของภัยธรรมชาติ แต่มันเป็นเรื่องของการใช้ชีวิต และการบริโภค คนที่ร่ำรวยมีเงินเขาบริโภคเยอะ และเขาก็ไปส่งเสริมสนับสนุนนโยบายที่ทำให้เกิดปัญหาโลกร้อนคือปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นจำนวนมาก เช่น สนับสนุนให้มีการผลิตไฟฟ้า อาจจะด้วยการเผาน้ำมันถ่านหินเพื่อจะได้มีชีวิตที่สะดวกสบาย อันนี้ไม่รวมถึงการสร้างเขื่อนที่ทำให้เกิดน้ำท่วมป่า สารพัดเลย
โลกร้อนนี้ มันไม่ได้เกิดจากภัยธรรมชาติ แต่มันเกิดจากวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคน คนที่รวยมาก เขาก็มีส่วนทำให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง และมันก็ชี้ให้เห็นว่า ถ้าจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ก็ต้องมาหันมาให้ความสำคัญกับการปรับเปลี่ยนการบริโภค การใช้ชีวิตของคนที่มีเงินมีฐานะ
อันนี้ก็เป็นเรื่องที่ตอนนี้มีข้อมูลยืนยันแล้วว่า คนที่ยิ่งรวยมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งก่อปัญหาให้กับโลก และคนที่จะเดือดร้อนเต็มๆ จากปัญหาโลกร้อนก็คือ ประเทศที่ยากจน โดยเฉพาะประเทศที่อยู่แถวศูนย์สูตร หรือแอฟริกา คนพวกนี้ยากจน วิถีชีวิตของตนเองก็ปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อย แต่ว่าต้องรับเคราะห์จากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากการใช้ชีวิตของคนที่มีเงินมีฐานะ ก็เรียกว่ามันเกิดความไม่เป็นธรรมขึ้น
เพราะฉะนั้น ตอนนี้เขาก็เลยรณรงค์ที่จะผลักดันให้ประเทศที่ร่ำรวยและคนมีฐานะต้องรับผิดชอบกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือว่าสร้างปัญหาโลกร้อน เรื่องนี้ก็เกี่ยวกับเราเพราะว่าคนในประเทศอย่างเมืองไทยนี้ก็มีทั้งคนรวยและคนจน คนมีฐานะ คนที่เป็นคนชั้นกลาง คนที่มีเงิน แม้กระทั่งมีอันจะกิน หรือว่าอยู่ดีกินดีนี้ ก็ย่อมมีส่วนในการทำให้โลกนี้ร้อนขึ้นในสัดส่วนที่มากกว่าคนยากจน
อย่างที่เขาก็พบว่าคนรวย 10% นี้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากกว่าคนทั่วไปหรือคนที่อัตราเฉลี่ยนี้ 6.5 เท่า
ส่วนคนที่รวย 1% แรก ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากกว่าคนทั่วไปนี้ถึง 20 เท่า
และคนที่รวย 0.1% นี้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากกว่าคนทั่วไปนี้ถึง 76 เท่า
แต่ว่าคนที่รับเคราะห์จริงๆ ก็คือ คนยากจนนั่นแหละ เพราะว่าพอเจอปัญหาโลกร้อน น้ำท่วม ฝนแล้ง คนที่ยากจนก็รับเคราะห์ไปเต็มๆ ไม่มีทางหนี ทั้งๆ ที่โลกร้อนนี้ไม่ได้เกิดจากฝีมือตัวเองมากเท่าไหร่ มีส่วนเหมือนกันแต่ว่ามีส่วนน้อยกว่าคนอีกกระจุกหนึ่งซึ่งมีแค่ 10%
คน 10% สร้างปัญหาให้คน 90% ต้องรับเคราะห์ แต่ไม่ได้แปลว่า 90% ไม่มีส่วน ก็มีส่วน แต่ว่าน้อยกว่า 10% โดยเฉพาะถ้าเจาะลงไปนี้ 1% และก็ 0.1% นี้ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่
พวกเรานี้ที่มีฐานะอาจจะไม่ได้อยู่ในบรรดา 10% แรกที่เขาพูดถึง แต่ก็อาจจะอยู่ในระดับ 20% หรือ 30% แรก เพราะฉะนั้น ก็มีส่วนในการสร้างปัญหาก๊าซเรือนกระจก ปัญหาโลกร้อนให้กับคนทั่วไป ก็ต้องใส่ใจรับผิดชอบ เช่น ปลูกต้นไม้ให้มากขึ้น และใช้พลังงานให้น้อยลง อันนี้ก็ช่วยได้เยอะรวมทั้งการกินอยู่อย่างเรียบง่ายมากขึ้น
ถ้าเราเป็นอยู่ที่เรียบง่ายมากขึ้น ใช้พลังงานน้ำมันน้อยลง ใช้พลังงานไฟฟ้าน้อยลง ปลูกต้นไม้มากขึ้น ทิ้งขยะให้น้อยลง มันก็ช่วยโลกได้ไม่น้อย แม้ว่ามันจะดูเหมือนเล็กน้อย แต่ว่าถ้ารวมกันแล้ว ก็มีอานิสงส์มีผลมากเหมือนกัน
ก็เป็นเรื่องที่เราต้องตระหนักเอาไว้ รวมทั้งรัฐบาลมีนโยบายอะไรที่จะทำให้โลกร้อนมากขึ้น ก็ต้องออกเสียงคัดค้านไม่เห็นด้วย ต้องช่วยกันคนละไม้คนละมือ ถึงแม้ว่ามันจะป้องกันไม่ได้ แต่ว่าอย่างน้อยมันก็คงช่วยบรรเทาได้บ้าง.