พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 15 พฤษภาคม 2568
เมื่อ 2-3 วันก่อนพูดถึงผู้ชายคนหนึ่ง อยู่ที่อำเภอจตุรัส จ.ชัยภูมิ ชื่อว่าเป้ ทุกเช้าแกก็จะเอาอาหารไปเลี้ยงหมาจรที่ไปอยู่รวมกลุ่มกันแถวลานขยะ หรือบ่อขยะจัตุรัส เนื้อที่ก็เป็นไร่ ๆ หมาจรราวเจ็ดแปดร้อยอาจจะถึงพันตัวก็ได้
ถ้าเกิดว่าแกไม่ชักชวนให้คนมารับลูกหมาไปเลี้ยง และบางทีก็บริการส่งลูกหมาให้กับคนที่อยากได้ถึงบ้านเลย เขาทำอย่างนี้ทุกวัน จนเป็นที่รักของหมาจรมาก
แต่ก็มีบางคนแทนที่จะชื่นชมก็กลับว่าแกว่า สร้างภาพ เขียนข้อความทางเฟซบุ้กว่า สร้างภาพ เป้ก็ดี ไม่โกรธ ไม่ต่อว่า หรือตอบโต้ในลักษณะที่ด่าทอ แต่แกก็บอกว่า ถ้ามีคนสร้างภาพแบบผมสักสิบเปอร์เซ็นต์ หมาจรก็จะกินดีทั้งประเทศเลย อยากให้มาสร้างภาพแบบนี้บ้าง
และบอกอีกว่า ถ้ามีคนสร้างภาพแบบผม หมาก็จะสุขสบายกันเยอะ ที่จริงแล้วที่เขาเลี้ยงหรือให้อาหารแก่หมา ไม่ได้ต้องการคำชื่นชมสรรเสริญ ถ้าอยากจะสร้างภาพ ไปทำอย่างอื่นไม่ดีกว่าหรือ
มีบางรายบอกว่าเขาเกาะหมาดัง เขาก็เลยบอกว่าถ้าอยากจะดังนี้ เอาเงินนี้แทนที่จะไปทำอาหารเลี้ยงหมา ไปแจกคนไม่ดีกว่าหรือ เขาบอกว่าวันหนึ่งใช้เงิน 4,000 บาท เป็นเงินที่ไม่ได้เรียกร้องขอเงินบริจาคจากใคร หากเขาแทนที่จะใช้เงินนี้เป็นค่าอาหารหมา เอาไปแจกคน ก็ดังกว่าเยอะเลย ไปแจกคนที่ยากจนที่อยู่ริมถนนคนละ 1,000 วันละ 4 คนก็ดังแล้ว
อันนี้ก็เป็นการตอบโต้คำต่อว่าที่น่าสนใจ คือ ไม่ได้ตอบโต้ด้วยการด่า แต่ด้วยการชี้ให้เห็นว่า ถ้าจะสร้างภาพ ก็สร้างภาพ มาสร้างภาพแบบผมดีกว่า เพราะว่ามันจะช่วยทำให้สัตว์ที่เดือดร้อนได้สุขสบายขึ้น
เวลาใครทำความดีหรือว่าเลี้ยงหมาจรจัด หมาข้างถนน เป็นต้น ทำมาเป็นปีๆ แล้วถูกคนมาต่อว่ามาเหน็บแนมแบบนี้ ก็ให้ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา
ที่จริงถ้าจะตอบโต้หรือสื่อสารกับคนเหล่านั้นก็บอกเขาว่า เข้าใจที่เขาคิดแบบนี้ เพราะว่าเดี๋ยวนี้ที่ไหน ๆ ก็มีแต่คนที่เห็นแก่ตัว เอาประโยชน์ใส่ตัวทั้งนั้นแหล่ะ ฉะนั้น คนที่จะมองฉันหรือผมแบบนี้ ก็เข้าใจได้ แต่ว่าถ้าจะต่อว่าฉันหรือผมว่าสร้างภาพ เกาะหมาดัง ก็ไม่เป็นไร แต่ว่าอย่าไปทำอย่างนั้นกับคนที่เขาทำความดี เพราะว่าคนทำความดีตอนนี้ก็มีน้อยอยู่แล้ว ไปต่อว่าเขาทำให้เขาหมดกำลังใจ แต่ควรจะให้กำลังใจเขา
ต่อว่าผมไม่เป็นไร แต่ว่ายังไงก็อย่าลืมหมาจร เวลาเห็นหมาจรเมื่อใด ก็ช่วยเขา ดูแลเขานะ ว่าผมไม่เป็นไรหรอก แต่ว่าอย่าละเลยหมาจร หมาที่กำลังทุกข์ยากลำบาก หรืออยากจะพูดอยากจะต่อว่าผมสร้างภาพก็ได้ แต่ว่าอย่าไปทำอย่างนั้นกับคนที่ทำความดี เพราะจะทำให้เขาหมดกำลังใจ ควรจะให้กำลังใจเขามากกว่า
เพราะถ้าเราจะไปตอบโต้ด้วยการด่าว่าเขา มันไม่มีประโยชน์ หรือถ้าเราจะไปโกรธเขา มันก็บั่นทอนจิตใจตัวเราเอง แต่ว่าชักชวนให้เขาทำความดี ไม่ทำกับเรา ก็ทำกับคนอื่นก็ได้ ไม่เป็นไรนะ อันนี้มันก็จะเรียกว่าดีต่อใจเราด้วย อีกทั้งยังอาจจะทำให้คนที่เขาต่อว่าเรา ได้คิดขึ้นมาว่า สิ่งที่ควรทำนี้มันคืออะไร
อันนี้ก็เป็นข้อเตือนใจสำหรับคนที่ทำความดี ไม่ว่าเฉพาะเลี้ยงหมาจร จะทำความดีกับคน กับส่วนรวม กับสิ่งแวดล้อม ช่วยเหลือคนที่หิวโหย คนที่ไม่มีข้าวกิน บางทีช่วยโดยที่ไม่ได้เผยแพร่อะไร กลับมาเป็นข่าวเสียเอง กลับเป็นข่าวเพราะมีคนมาเผยแพร่ด้วยความประทับใจ มันก็ธรรมดาที่จะมีคนที่หมั่นไส้หรือว่าระแวง
อย่างมีคำพูดว่า ทำดี แต่อย่าเด่น จะเป็นภัย อันนี้ก็เป็นภาษิตของหลวงวิจิตรวาทการ ซึ่งติดปากคนมา 60-70 ปีแล้ว กลายเป็นคติความเชื่อของคนไทยว่า ถ้าทำดีแล้วเด่น เดี๋ยวจะเกิดเรื่องเพราะคนจะหมั่นไส้
เพราะฉะนั้นเวลาที่เราทำความดี แม้จะไม่อยากเด่น แต่ว่ามันเกิดเด่นเสียเอง มันก็ธรรมดาที่จะมีคนมาหมั่นไส้ เพราะเดี๋ยวนี้เราขาดมุทิตาจิตกันมาก หรือถึงไม่หมั่นไส้ก็ระแวงว่า สร้างภาพหรือเปล่า หวังผลประโยชน์ส่วนตัวไหม เพราะมันมีแบบนี้กันเยอะ ก็ธรรมดาที่จะมีความคิดความเข้าใจแบบนั้น
เพราะฉะนั้น เวลาเจอคำวิพากษ์วิจารณ์แบบนี้ก็อย่าไปหวั่นไหว อย่าไปท้อแท้ ให้ถือว่ามันเป็นธรรมดา จะว่าไปแล้ว คำต่อว่าคำวิพากษ์วิจารณ์นี้มันก็สอนธรรมกับเรา หลวงพ่อพุธท่านเคยถูกเด็ก 5 ขวบว่าท่าน มึงบ่แม่นพระดอก ท่านยังกลับเอามามองว่า เด็กคนนี้คืออาจารย์ของท่าน มาสอนธรรมให้กับท่าน
หรือว่าคนที่หย่อนบัตรสนเทศใส่บาตรให้กับพระอาจารย์ทองรัตน์ ถึงกับขู่ว่าจะยิง จะเอาลูกกระสุนมายิงใส่ท่าน เพราะว่าท่านมีพฤติกรรมบางอย่างที่เขาไม่เข้าใจ ท่านก็ไม่โกรธ ท่านพูดกับเณรว่า นี่คืออมฤตธรรม คนที่ทำนี่เขาเป็นเทวดา มาให้อมฤตธรรมแต่เช้าเลย อันนี้ก็เรียกว่า รู้จักเปลี่ยนก้อนหินให้กลายเป็นดอกไม้
คำต่อว่า ด่าทอ คำวิพากษ์วิจารณ์แบบนี้มันก็เป็นเสมือนของดี ถ้ามองให้ดีก็คือมาสอนธรรมให้เราเห็นว่า จะทำอะไรก็ตาม มันมีทั้งคนเห็นด้วยและคนไม่เห็นด้วย ขึ้นชื่อว่าคำสรรเสริญแล้วมันก็มักจะตามมาด้วยคำนินทาว่าร้าย อยู่เฉยๆ ก็ยังมีคนนินทาเลย การทำความดีก็เหมือนกัน
เพราะฉะนั้น ถ้ามองว่าเวลาทำความดีก็อย่าไปหวังผลหวังคำชื่นชมสรรเสริญ เพราะถ้าหวังคำชื่นชมสรรเสริญก็จะทุกข์เวลาเจอคำตำหนิ เจอคำต่อว่า เจอคำวิพากษ์วิจารณ์ คนดีหลายคนท้อแท้เป็นทุกข์เพราะว่าทำดีแล้วไม่มีคนเห็น
นี่ยังดีมีคนเห็นเพราะว่า บางทีคนที่เขาเห็นเขาวิพากษ์วิจารณ์ด้วย ซึ่งก็เป็นธรรมดาเป็นสัจธรรมอย่างหนึ่งเรียกว่า โลกธรรม 8 มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ ได้รับคำสรรเสริญก็เจอคำนินทาว่าร้าย
เพราะฉะนั้น เวลาที่เราทำความดี ก็ให้นึกถึงประโยชน์ของผู้ที่จะได้รับความช่วยเหลือจากเรา อย่าไปหวังอะไรกับตัวเองเลยในทางที่เป็นเรื่องของคำชื่นชมสรรเสริญ เพราะถ้าหวังคำชื่นชมสรรเสริญก็อาจจะทุกข์ได้ เพราะว่าคนที่ชื่นชมก็มี บางทีมีคำชื่นชมสักร้อยราย ยังไม่ทำร้ายจิตใจเราเท่ากับเจอคำด่าว่าสักหนึ่งราย
แต่ถ้าทำใจได้ว่ามันเป็นธรรมดา ธรรมดาโลก หรือว่าไม่ได้คาดหวังคำสรรเสริญ มันก็ไม่ทุกข์เมื่อเจอสิ่งตรงข้ามคือคำนินทาว่าร้าย ก็ยังทำความดีต่อไปได้ แล้วก็มีความสุข ไม่ว่าจะทำดีช่วยหมา ช่วยคน หรือช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม มันก็ต้องอย่าลืมทำใจด้วย
และเวลาเจอคำต่อว่าด่าทอก็อย่าใช้อารมณ์ตอบโต้ แต่ว่าชี้แนะชักชวนให้เขาหันมาทำความดี ไม่ทำความดีกับเรา ก็ทำความดีกับคนอื่นก็ได้ จะต่อว่าเราก็ไม่เป็นไร แต่อย่าไปบั่นทอนจิตใจคนอื่นที่เขาทำความดี จะว่าเราสร้างภาพก็ได้ แต่อย่าลืมช่วยเหลือหมาจรจัด ไม่ว่าที่ไหนก็ตาม.