พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 14 พฤษภาคม 2568
ระยะหลังไปที่ไหน ๆ คนก็บ่นว่าเศรษฐกิจไม่ค่อยดี ขายของไม่ค่อยได้ ตอนนี้จะว่าไปแล้วเศรษฐกิจของประเทศก็น่าห่วงจริง ๆ ตัวชี้วัดว่าเศรษฐกิจน่าห่วงอย่างไร วัดจากการเป็นหนี้ เป็นตัวชี้วัดอันหนึ่ง ตอนนี้หนี้สินในเมืองไทยเพิ่มสูงมาก และหนี้ที่น่าเป็นห่วงคือ หนี้ครัวเรือน
หนี้มีหลายประเภท หนี้สาธารณะ เช่น เกิดจากการที่รัฐบาลไปกู้เงินมาทำการพัฒนาลงทุน หรือว่าหนี้ธุรกิจ อันนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแพร่หลาย เป็นเรื่องธรรมดา เพราะว่าจะค้าขายต้องมีการไปกู้ยืมเงินมาประกอบการทำธุรกิจ แต่ที่น่าเป็นห่วงคือ หนี้สินครัวเรือน ซึ่งไม่ได้เกิดจากการที่มีรายได้น้อยเท่านั้น แต่ว่าที่สำคัญคือ เกิดจากการใช้จ่ายเกินตัว นี่คือสาเหตุหลัก
เรามีหนี้สินครัวเรือนสูงถึง 89 เปอร์เซ็นต์ของ GDP GDP คือรายได้ประชาชาติ หรือรายได้ที่เกิดขึ้นในประเทศ เรามีรายได้ 100 แต่ว่ามีหนี้สิน 89 ถือว่าสูง และมันสูงเพิ่มขึ้นมากในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา
หนี้ครัวเรือนไม่ใช่เป็นหนี้ที่เกิดจากการที่ไปกู้เงินมาซื้อรถเพื่อใช้ทำมาค้าขาย หรือว่าเพื่อซื้อบ้านอยู่อาศัย หรือเพื่อใช้ในการศึกษา ที่สำคัญคือเป็นหนี้เพราะว่าติดหรู อยู่สบาย หรือว่าเกิดจากการใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือย คนไทยเวลานี้ แม้ว่ามีเงินเดือนน้อย แต่ว่าใช้เงินเกินตัว หมดไปกับการซื้อสินค้าแบรนด์เนม ใครมีฉันก็มีบ้าง ทั้ง ๆ ที่คนที่เขามีเขาอาจจะรวย ส่วนเรามีเงินน้อย แต่ว่าอยากจะมีเหมือนเขาบ้าง
ค่านิยม กินหรู อยู่รวย ตอนนี้แพร่ระบาดมาก โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ จะไปกินอะไรก็ต้องกินของดี ๆ ราคาแพง กินกาแฟก็ต้องกินกาแฟที่มีชื่อยี่ห้อดัง จะใช้มือถือก็ต้องมีระดับ เช่น iPhone มีมือถือไม่พอ ต้องมีแท็บเล็ต และมีอีกหลายอย่าง รวมทั้งนาฬิการาคาแพง กระเป๋า รองเท้าราคาเป็นหมื่น เพื่อจะได้ทัดหน้าเทียมตาผู้คน ที่จริงมันเกินฐานะของตัวเอง แต่ต้องการสร้างภาพว่าฉันเป็นคนมีรสนิยม ฉันเป็นคนมีฐานะ
เดี๋ยวนี้คนไทยเน้นเรื่องการสร้างภาพมาก หากสร้างภาพด้วยการทำความดี มีสติปัญญา มีความสามารถ ประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจ ในการกีฬา ในการเรียน อันนี้เป็นเรื่องที่น่าส่งเสริม แต่ว่าสร้างภาพโดยอาศัยสินค้าแบรนด์เนม พวกนี้เป็นการสร้างปัญหาให้กับตัวเอง ให้กับครอบครัว
และยังไม่พอ นอกจากติดหรู อยากอยู่สบาย สร้างภาพแล้ว บางทีก็เพลินกับการเสพ การเล่น การพนัน เกมออนไลน์ จึงสร้างปัญหาให้กับคนไทยจำนวนมาก โดยเฉพาะคนหนุ่มสาว แม้แต่เด็ก ๆ เดี๋ยวนี้อย่างน้อย ๆ ต้องมีโทรศัพท์มือถือ มีแท็บเล็ต ถ้าไม่มีปัญญาหามาเพราะไม่รู้จักเก็บหอมรอมริบ ก็ต้องไปขอเงินจากพ่อแม่ บางทีก็ประท้วงเพื่อให้พ่อแม่ซื้อ ซื้อมือถือไม่พอ ต้องมีค่าบริการ หมดเงินไปเยอะ ซึ่งเป็นค่านิยมที่ใช้จ่ายเกินตัวเพราะสร้างภาพ
แล้วพอเป็นหนี้เป็นสินมาก ๆ เข้าเพราะว่าใช้จ่ายเกินตัว รายได้ไม่พอ ปรากฏว่าเครียด เป็นโรคซึมเศร้าก็เยอะ ตอนนี้คนไทยเป็นโรคซึมเศร้า เป็นโรคเครียดหนักเพราะว่าใช้จ่ายเกินตัวถึง 4 ล้านคน ส่วนใหญ่ก็เป็นเพราะว่าเจอแรงกดดันจากโซเชียลมีเดีย
เห็นใครมี ก็ต้องมีบ้าง แล้วทุกคนก็พยายามสร้างภาพด้วยการหาของดี ๆ มาใส่ หรือไม่ก็ไปกินร้านอาหารที่ราคาแพง แล้วถ่ายรูปโพสต์ขึ้นเฟซขึ้น อินสตราแกรม อวดคนโน้นคนนี้ คนอื่นเห็นก็อยากจะทำบ้าง แข่งกันอวด แข่งกันรวย สุดท้ายก็เป็นหนี้เป็นสิน และเป็นโรคเครียด ซึมเศร้า
ฉะนั้น ตอนนี้เป็นเรื่องที่จะต้องให้ความสำคัญ คนที่เป็นพ่อแม่จะต้องทำตัวให้เป็นแบบอย่าง และรู้จักสอนลูกด้วย สอนลูกให้รู้จักบริหารเงิน พ่อแม่ต้องทำด้วย การบริหารเงิน การจัดการเงินเป็นเรื่องที่สำคัญมาก
หลายคนเรียกว่าส่วนใหญ่ไม่มีการทำรายรับรายจ่ายในแต่ละเดือน หรือไม่มีการกำหนดงบประมาณว่าแต่ละเดือนจะจ่ายเท่าไร เลยจ่ายเพลิน ถ้าเรากำหนดว่าจะต้องจ่ายเท่าไรในแต่ละเดือน พอถึงกำหนดพบว่าจ่ายเงินเกินโควตาไปแล้ว อย่างน้อยก็รู้จักยับยั้งบ้าง ไม่จ่ายเงินเกินกำหนด
และเขามีการแนะนำว่าต้องรู้จักออม มีผู้รู้แนะนำว่า อย่างน้อยเมื่อได้เงินเดือนมา ก่อนที่จะใช้ แบ่ง 10 เปอร์เซ็นต์ออกมาเก็บออมเอาไปฝากที่ธนาคาร อีก 5 เปอร์เซ็นต์อาจจะไปใช้ลงทุนก็ได้ ลงทุนกองทุนรวม อันนี้จะทำให้มีหลักประกันในอนาคต
ตรงกับคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า เวลาได้เงินมาต้องแบ่งเป็น 4 ส่วน ให้ 1 ส่วน ไว้ใช้จ่าย อีก 2 ส่วน ไว้ใช้ประกอบกิจการงาน เช่น ซื้อรถ ผ่อนรถ ถ้าเกิดว่าทำการค้าขาย ถ้าเป็นสมัยก่อนอาจจะลงทุนซื้อวัว ซื้อปศุสัตว์เอาไว้เลี้ยง ซื้อปุ๋ย แต่เดี๋ยวนี้คนไทยเราทำการเกษตรน้อย เราทำการค้าเยอะ รู้จักเอาเงินมาใช้ประกอบกิจการงาน ที่เหลือคืออีก 1 ใน 4 เก็บไว้ เผื่อไว้ในยามที่ประสบอุบัติเหตุ เจ็บป่วย หรือยามแก่เฒ่า
คำสอนของพระพุทธเจ้า บอกไว้ว่า 2 ส่วนใน 4 ส่วน หรือเท่ากับ 50 เปอร์เซ็นต์ เอาไว้ใช้ประกอบกิจการงาน แต่ผู้รู้แนะนำว่า แค่เอา 5 เปอร์เซ็นต์มาลงทุน เข้ากองทุนรวม แค่นี้หลายคนก็ทำไม่ได้แล้ว เพราะว่าใช้จ่ายเยอะจนแทบไม่เหลือสำหรับการเก็บออมหรือการลงทุน แต่ถ้าเราฝึกไว้ตั้งแต่ตอนนี้ อานิสงส์ในวันข้างหน้าจะเกิดขึ้นกับเราได้
แต่นอกจากบริหารเงินแล้ว ต้องบริหารใจด้วย โดยเฉพาะบริหารความอยาก เดี๋ยวนี้เราบริหารความอยากกันไม่เป็น ปล่อยให้ความอยากครองใจ บริหารความอยากคือว่า รู้ทันเวลาเกิดความอยาก อยากกิน อยากเสพ อยากได้ อยากมี อยากอวดรวย อดทนอดกลั้นบ้าง ไม่ใช่ทำตามความอยากอย่างเดียว
และรู้จักเปลี่ยนความอยากเสพ อยากมี ให้เป็นการอยากทำ แทนที่จะอยากไปเที่ยวห้างก็เปลี่ยนเป็นความอยากปลูกต้นไม้ อยากวาดรูป อันนี้ทำให้เกิดความสุขแบบใหม่ ความสุขจากการทำ ไม่ใช่ความสุขจากการเสพ เดี๋ยวนี้เรารู้จักแต่ความสุขที่เกิดจากการเสพ แต่ความสุขที่เกิดจากการทำเราไม่รู้จัก เดี๋ยวนี้พอว่างต้องเสพแล้ว อย่างน้อยก็ไถมือถือ เล่นเกม
สมัยก่อนเราถูกสอนมาว่าให้รู้จักทำงานอดิเรกบ้าง ว่าง ๆ ก็ทำงานอดิเรก เพราะงานอดิเรกนอกจากเกิดประโยชน์สร้างสรรค์แล้ว มันทำให้เกิดความสุขด้วย แต่เดี๋ยวนี้ผู้คนไม่รู้จักแล้ว รู้จักอย่างเดียวคือความสุขจากการเสพ กิน ดื่ม เที่ยว เล่น ช้อป ถ้าเปลี่ยนมาหาความสุขจากการทำ จะทำให้ความอยากเสพน้อยลง
และที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือว่า พยายามอยู่ห่างไกลจากสิ่งล่อเร้าเย้ายวนให้อยาก โซเชียลมีเดีย เฟซบุ้ก อินสตราแกรม เป็นตัวการสำคัญสำหรับคนสมัยนี้ เพราะว่าใช้บ่อย ๆ ไถบ่อย ๆ ก็เกิดความอยาก อยากมี อยากได้ และถ้าไม่มีอย่างเขา ไม่ได้อย่างเขาก็รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ รู้สึกว่าเราไม่ทันเขา เราด้อยกว่าเขา
เพราะฉะนั้นวิธีการจัดการกับความอยากอย่างหนึ่งคือว่า ลดการเสพโซเชียลมีเดีย หรือว่าสิ่งที่กระตุ้นให้เราเกิดความอยาก ถ้าเราไม่รู้จักบริหารจัดการความอยาก แถมบริหารเงินก็บริหารไม่เป็น จะเกิดหนี้สินขึ้นมา พอเป็นหนี้สินแล้วก็ลำบากแล้วคราวนี้ การงานก็ย่ำแย่ จิตใจก็เสื่อมโทรม สุดท้ายชีวิตก็ตกต่ำลำบาก
อันนี้เฉพาะสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวบุคคล ไม่นับถึงปัญหาที่จะเกิดกับประเทศชาติโดยรวม อย่างที่บอก หนี้ครัวเรือนตอนนี้สูงมาก เฉลี่ยครอบครัวหนึ่งเป็นหนี้ครัวเรือน 600,000 บาท ทั้งปีหาได้ยังไม่ถึงล้านหรือบางทีก็ไม่ถึงห้าแสนด้วยซ้ำไป แต่ว่าเป็นหนี้ไปแล้วหกแสนต่อครัวเรือน
อันนี้เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงมาก แต่ว่าไม่เกินวิสัยที่เราจะจัดการ โดยเฉพาะกับตัวเราเอง หรือครอบครัวของเราได้.