พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 29 เมษายน 2568
มีผู้ชายคนหนึ่ง เวลาเดินทางไปไหนแกก็จะเอาน้ำดื่มติดตัวไปด้วย เป็นน้ำบรรจุขวดพลาสติก พอดื่มเสร็จแกก็จะโยนขวดออกนอกหน้าต่าง ไม่ว่าจะเป็นหน้าต่างรถ หรือว่าหน้าต่างรถไฟ ทำอย่างนี้เป็นประจำ
แล้วแกเป็นคนที่ชอบเดินทางด้วยรถไฟเป็นประจำ ดื่มน้ำเสร็จหมดขวด แกก็จะโยนออกนอกหน้าต่าง แต่ก็ยังดีถ้าเกิดว่ารถไฟผ่านเขตเมือง หรือกำลังแล่นผ่านเมือง แกก็ยั้งไว้ก่อน เพราะขืนโยนออกนอกหน้าต่างนี่มันก็ดูน่าเกลียด แต่พอออกนอกเมือง ผ่านทุ่งนา แกก็โยนไปเลย
วันหนึ่งแกนั่งรถไฟ แล้วก็ดื่มน้ำขวดจนหมด เหลือแต่ขวดเปล่า ก็จะโยนอยู่แล้ว แต่ว่าเห็นว่ามันเป็นเขตเมือง ก็รอให้พ้นเขตเมืองก่อน ผ่านทุ่งนามาแล้วก็จะโยน พอดีมีโทรศัพท์ดังขึ้น
มีเสียงเรียกโทรศัพท์เข้ามา แกก็เลยคุยโทรศัพท์ คุยอยู่พักใหญ่ เสร็จก็พอดีผ่านทุ่งนา แกก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะโยนขวด แล้วก็โยนจริงนะ แต่ไม่ใช่ขวดพลาสติก เป็นโทรศัพท์มือถือที่โยนออกนอกหน้าต่าง เพราะว่ามือที่โยนขวดพลาสติกปกติเป็นมือขวา แต่เช้าวันนั้นมือขวาจับโทรศัพท์อยู่ ส่วนมือซ้ายถือขวดพลาสติกเอาไว้
แต่ด้วยนิสัยที่ทำจนเป็นอัตโนมัติ พอเห็นทุ่งนาก็โยนเลย โยนไปถึงรู้ตัวว่า มันโทรศัพท์เรานี่ ใจหายเลย ต้องรอให้รถถึงสถานีก่อน แล้วค่อยลงจากสถานีไปตามหาโทรศัพท์ ซึ่งก็คงเป็นเรื่องใหญ่ เพราะว่ากว่ารถจะจอดสถานีมันก็นาน แล้วก็ไม่รู้ว่าไปถึงที่ที่โยนโทรศัพท์ไปจะเจอหรือเปล่า เพราะว่าอาจจะมีคนเห็นก็ได้
อันนี้ก็เป็นเพราะว่านิสัย ความเคยชิน ที่ชอบโยนขวดพลาสติกออกนอกหน้าต่างรถ ทำเป็นประจำ จนกระทั่งเป็นอัตโนมัติ แล้วบังเอิญวันนั้นมือขวาที่เคยถือขวดพลาสติกมันกลายเป็นมือที่จับโทรศัพท์ ด้วยความที่ทำอะไรเป็นอัตโนมัติ ก็เลยโยนโทรศัพท์ออกไปนอกหน้าต่าง
จะว่าไปนี่มันก็เหมือนกับเป็นการใช้กรรมนะ เพราะว่าประเภทที่ชอบโยนของออกนอกหน้าต่าง โดยไม่สนใจว่ามันจะกลายเป็นขยะหรือไม่ มันสร้างความเดือดร้อน ถ้าไม่ใช่ผู้คนก็ส่วนรวม มีอะไรอยู่ในมือ ใช้เสร็จก็โยนๆ สุดท้าย สิ่งที่โยนกลายเป็นของที่สำคัญคือโทรศัพท์
ถ้าเกิดว่าชายคนนี้แกเป็นคนที่ทิ้งของที่ไม่ใช้แล้ว หรือขยะ ลงถังขยะ ถึงแม้แกทำเป็นอัตโนมัติ แล้วบางวันโยนโทรศัพท์มือถือลงถังขยะ มันก็ยังไม่เสียหายเท่าไหร่ เพราะว่าไปหยิบออกมาได้ แต่นี่ด้วยความมักง่าย ชอบโยนออกนอกหน้าต่าง หน้าต่างรถ หน้าต่างรถไฟ วันดีคืนดีโยนสิ่งอื่นแทนด้วยความไม่รู้ตัว ก็เลยต้องรับกรรมไป
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าถ้าจะโยนอะไร ให้โยนใส่ถังขยะดีกว่า หากว่าบางวันเผลอโยนกุญแจ โทรศัพท์มือถือ หรือว่าของมีค่า รู้ตัวแล้วก็ยังเอากลับมาได้ แต่เรื่องนี้มันเป็นเรื่อง ไม่ใช่เป็นเพราะความที่ทำอะไรเป็นนิสัยเป็นอัตโนมัติอย่างเดียว มันเป็นเพราะว่าความลืมตัว
แล้วความลืมตัวส่วนหนึ่งไม่ใช่เกิดจากการทำอะไรเป็นอัตโนมัติ เกิดจากการใช้โทรศัพท์ คุยโทรศัพท์ แล้วก็เรื่องที่คุยอาจจะทำให้เกิดความวิตกกังวลขึ้นมา ยิ่งลืมตัวเข้าไปใหญ่เลย พอจะโยนของออกนอกหน้าต่างก็เลยโยนโทรศัพท์มือถือออกไป โทรศัพท์นี่มันเป็นตัวดูดสติที่สำคัญมากนะ
หลายคนไม่ค่อยตระหนักว่า ตัวดูดสติที่สำคัญมันอยู่ใกล้มือเรานี่เอง คือโทรศัพท์ที่เราถือ ถ้าใช้มันต้องระวัง เพราะว่าหลายคนพลาดท่าเสียทีเพราะว่าขาดสติ เนื่องจากโทรศัพท์มือถือ
มีพระรูปหนึ่ง ทำหน้าที่ปัดกวาดศาลา เวลาปัดกวาดแกคงเบื่อ ปัดไปก็เลยดูมือถือไป อาจจะเปิดดู TikTok ก็ได้ มือซ้ายถือโทรศัพท์ มือขวาก็จับไม้กวาด กวาดพื้นศาลา กวาดไปกวาดมา ไปถึงหน้าโต๊ะหมู่บูชา ก็เห็นว่าเบาะก็ดี หนังสือทำวัตรสวดมนต์ก็ดี ของเจ้าอาวาส วางไม่เป็นระเบียบ ก็ต้องจัดให้เป็นระเบียบ แกก็เลยเอาไม้กวาดที่จับด้วยมือขวา เอามาหนีบไว้ใต้รักแร้ซ้าย แล้วก็ใช้มือขวามือเดียวจัดของ
มือซ้ายยังถือโทรศัพท์อยู่ เผลอจัดไปด้วยดูโทรศัพท์มือถือไปด้วย จัดเสร็จจะกวาดต่อ หาไม้กวาดไม่เจอ ไม้กวาดหายไปไหน เมื่อกี้เพิ่งกวาดอยู่ดีๆ ไม้กวาดหายไปไหน ลืมไปเลยนะว่าไม้กวาดอยู่ใต้รักแร้ข้างซ้าย หาไม่เจอ กวาดตาไปโดยรอบแล้ว ประหลาดใจ
คงคิดว่าเมื่อกี้เราเพิ่งวางไม้กวาดอยู่หยกๆ ทำไมไม้กวาดหาย ก็เลยไปเอาไม้กวาดอันใหม่มากวาด กวาดไปกวาดมา รักแร้ซ้ายที่คีบไม้กวาดอันเดิมมันก็คลาย ไม้กวาดก็เลยตกลงมา ตกมากระแทกพื้นเสียงดัง ก็ตกใจ ไม้กวาดเมื่อกี้หายไปทำไมโผล่มาได้ยังไง มองไปที่เพดาน มีผีหลอกหรือเปล่า มองไปรอบๆ ผีหลอกหรือเปล่า รีบๆ กวาดแล้วรีบไปเลย เพราะเชื่อว่าผีหลอก
ที่จริงไม่ใช่หรอก เพราะตอนหลังไปดูกล้องวงจรปิด ก็พบว่าที่แท้ไม้กวาดเก่าไม่ได้หายไปไหนหรอก ไม่มีใครเอาไป แต่ว่าหนีบไว้ใต้รักแร้ซ้าย
อันนี้เพราะว่าโทรศัพท์เป็นเหตุด้วย เพราะว่าตอนที่เอาไม้กวาดไปหนีบไว้ที่ใต้รักแร้ ทำไปแบบอัตโนมัติ เพราะว่าตาก็มองโทรศัพท์มือถือในมือซ้าย จะเป็นอย่างนี้กันเยอะ ทำอะไรไปแล้วก็ลืมตัว ไม่รู้ว่าทำอะไรไป เสร็จแล้วพอรู้ตัวเข้า ตกใจ บางทีเกิดความเสียหายขึ้นมา พลาดท่าเสียที
ยังดีก็แค่เสียท่าเสียรู้ หาไม้กวาดไม่เจอ แต่บางรายอาจจะเสียหายหนักกว่านั้น โดยเฉพาะคนที่ใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับรถ
เพราะฉะนั้นนิทานเรื่องนี้มันก็สอนว่า ใช้โทรศัพท์ต้องระมัดระวัง อย่าทำอะไรพร้อมกันสองอย่าง ใช้โทรศัพท์ไปด้วย ทำงานอื่นไปด้วย สิ่งที่ทำมันอาจจะเสียหายได้ รวมทั้งเวลาจะโยนของอะไรออกนอกหน้าต่าง ถ้าเลิกได้ก็ดี โยนใส่ถังขยะดีกว่า เพราะถ้าเกิดว่าเผลอโยนโทรศัพท์มือถือลงไป ก็ยังหาเจอ ไปหยิบเอาออกมาจากถังขยะได้ แต่ถ้าโยนโทรศัพท์มือถือออกไปนอกหน้าต่าง เพราะคิดว่ามันเป็นขวดบรรจุน้ำ ขวดเปล่า เดือดร้อนมากเลย.